เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 651 กฎลับ
ชิ้งชิ้ง!
ทหารขอบเขตจินกังหลายสิบคนที่อยู่ข้างหลังล้วนดึงดาบออกมาซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีกลิ่นอายที่เป็นสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์เกาะแห่งบาปนี้ร่ำรวยและมีอำนาจมากนัก แม้แต่ทหารธรรมดาของพวกเขายังใช้สิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์กันเลย เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ มันก็ดูมีเหตุผลในเรื่องค่าเข้าเกาะแห่งนี้ สองพันก้อนต่อคนและพวกเขาก็ยังแลกเปลี่ยนศิลาสวรรค์ห้าร้อยก้อนกับสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์ ก็คงจะจินตนาการได้ว่าตระกูลทั้งหลายในเกาะแห่งบาปนั้นร่ำรวยเพียงใด
ทหารทั้งหมดแผ่กลิ่นอายสังหารของพวกเขาไปที่เจียงอี้และคนของเขาแม้ว่าเฟิ่งหลวนและมังกรวารีสีทองจะเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุน แต่พวกเขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเลย เจียงอี้เองก็มั่นใจว่าเขาสามารถสังหารคนพวกนี้ได้หมด แต่จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปล่ะ? เขาจะใช้วิชาหลีกสวรรค์หนีไปหรือ? หากเขาอยู่เกาะแห่งบาปไม่ได้แล้วเขาจะไปที่ไหนได้อีก?
เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนำราชวังจักรพรรดิออกมาและส่งข้อความเสียงให้ทุกคนหยุดบ่มเพาะพลังจากนั้นเขาก็นำทุกๆคนออกมาจากราชวังทีละคน
“นายน้อย!”
ทันทีที่เจียงเสี่ยวนู๋ออกมาดวงตาที่งดงามของนางก็มองไปที่เจียงอี้ทันทีขณะที่เจียงอี้รีบจับแขนของนางเพื่อบ่งบอกให้นางเงียบ ส่วนชิงหยี, เฟิ่งหลวนและมังกรวารีสีทองก็พากันคว้าหยุนเฟยและคนอื่นๆเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาตกลงไปในทะเล ทุกคนมองหน้ากันและไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“ทั้งหมดเก้าคนครบแล้ว!”
หลังจากที่ลู่เฟยเหลือบมองพวกเขาเขาก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจและพูดกับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนที่เกาะอัสนีฟ้ากระจ่างว่า “ลู่ตี๋ ข้าส่งพวกเขาให้เจ้าดูแลต่อด้วยแล้วกัน พวกเจ้าทุกคนจงฟัง เชื่อฟังผู้บัญชาการลู่ตี๋ซะ และหลังจากที่ทำงานเสร็จครบหนึ่งปีแล้ว พวกเจ้าจะมีอิสระในการเดินทางในเผ่าฟ้าประทาน ทุกคนที่ถูกพบตอนเดินเตร็ดเตร่อยู่รอบๆโดยไม่มีป้ายของเผ่าจะถูกประหารชีวิต”
จากนั้นลู่เฟยก็กลายเป็นลำแสงและบินกลับไปส่วนผู้บัญชาการลู่ตี๋ก็กวาดตามองไปที่กลุ่มของเจียงอี้และพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรว่า “พวกเจ้าทั้งหมดลงไปข้างล่างซะ”
ผู้บัญชาการลู่ตี๋ลงไปที่จัตุรัสเล็กๆด้านหน้าปราสาทก่อนส่วนเจียงอี้ก็ส่งสายตาให้ทุกคนทำตามอย่างเงียบๆ
ตูม!ตูม! ตูม!
สายฟ้าฟาดลงมาที่เกาะอย่างต่อเนื่องแต่มันก็ยังค่อนข้างห่างจากที่นี่หลายพันกิโลเมตร ในสถานที่แห่งนี้ นอกเหนือจากปราสาทเล็กๆแล้วก็ยังไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากพื้นที่รกร้าง ไม่มีดอกไม้หรือพืชใดๆนอกจากป่าและเขาที่อยู่ห่างออกไปไกลลิบตา
“ทุกคนหยุดอยู่ตรงนี้!”
หลังจากบินลงไปยังจัตุรัสแล้วผู้บัญชาการลู่ตี๋ก็เหลือบมองอย่างรวดเร็วก่อนที่จะตะโกนออกมาอย่างเย็นชาพร้อมกับศาสตราวุทธที่ปรากฏขึ้นในมือของเขาขณะที่ฝ่ามือของเขาเปล่งประกายด้วยแก่นแท้พลัง เขาอธิบายให้ฟังด้วยความหงุดหงิด “พวกเจ้าทุกคนต้องการเข้าเผ่าฟ้าประทานและรับใช้เราเป็นเวลาหนึ่งปี ดังนั้น ตอนนี้พวกเจ้าจึงถือว่าเป็นทาสของเผ่า ตามกฎของเผ่าเราแล้ว…หน้าผากของพวกเจ้าจะถูกทำเครื่องหมายทาสเอาไว้และหลังจากครบเงื่อนไขก็สามารถลบเครื่องหมายนี้ออกได้ จากนั้นพวกเจ้าจะได้รับป้ายประจำตัวของเผ่าและพวกเจ้าทุกคนจะเดินทางไปยังที่ใดก็ได้ภายในเผ่าของเรา ทุกคนจงอยู่นิ่งๆซะ ไม่เช่นนั้นก็อย่าตำหนิข้าที่จะทำให้หัวของพวกเจ้าหลุดออกจากบ่าก็แล้วกัน”
หลังจากที่ผู้บัญชาการลู่ตี๋อธิบายเสร็จแล้วศาสตราวุธก็สว่างขึ้นและยิงแก่นแท้พลังสีเขียวออกมาซึ่งมันเล็งไปที่หน้าผากของเจียงอี้
“นายน้อย!”
“นายน้อย!”
เฟิ่งหลวนและคนอื่นๆตกใจและเจียงเสี่ยวนู๋เกือบจะเปลี่ยนร่างของตัวเองและเริ่มจู่โจมเขาแล้วแต่เจียงอี้ก็ตะโกนออกมาด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมว่า “ทุกคน อย่าขยับ!”
จี๊!จี๊!
ขณะที่แก่นแท้พลังกระพริบและปะทะเข้ากับหน้าผากของเจียงอี้เขาก็รู้สึกแสบและถอยหลังไปสองก้าว แต่มันก็ไม่ได้มีเลือดไหลออกมา มีคำว่า ทาส ปรากฏขึ้นบนหน้าผากของเขา ถ้อยคำนั้นชัดเจนมากและมันเปล่งกลิ่นอายที่เป็นเอกลักษณ์ออกมา
“ทาส….”
เจียงอี้หัวเราะอย่างขมขื่นและพบว่ามันไม่มีอะไรพิเศษนอกเหนือจากคำที่ถูกเพิ่มมาบนหน้าผากของเขาเขาพยักหน้าให้เฟิ่งหลวนและคนอื่นๆ และพวกเขาเหล่านั้นก็ไม่กล้าส่งเสียงหรือเคลื่อนไหวใดๆ
ฟรึ่บ!ฟรึ่บ! ฟรึ่บ!
ลู่ตี๋ปล่อยแก่นแท้พลังสีเขียวออกมาอย่างรวดเร็วและทำเครื่องหมายคำว่าทาส ไว้ที่หน้าผากของทุกคน และมันทำให้ทุกคนรู้สึกอึดอัดและอับอายมาก ด้านสัตว์อสูรหยาจื้อและมังกรวารีสีทองก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้เพราะพวกมันเป็นสัตว์วิญญาณและเป็นทาสอยู่แล้ว มันไม่มีความแตกต่างใดๆกับการมีคำว่าทาสเพิ่มเข้ามาในตอนนี้
“เอาล่ะ!”
ลู่ตี๋เก็บศาสตราวุธของเขากลับไปและหันกลับเข้าไปในปราสาทจากนั้นเขาก็โบกมือและพูดว่า “ลู่ถง พาพวกเขาไปยังเมืองอัสนีฟ้ากระจ่างและบอกพวกเขาเกี่ยวกับกฎของเราซะ”…ไอลีนโนเวล
หนุ่มน้อยคนหนึ่งเดินมาที่นี่เขาอาจจะอยู่เพียงขอบเขตจินกังขั้นที่สามแต่เขามองทุกคนด้วยความหยิ่งผยอง เขาหยุดอยู่ตรงเฟิ่งหลวนและเจียงเสี่ยวนู๋ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะกวักมือและพูดว่า “ตามข้ามา!”
เขาทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าและบินตรงไปข้างหน้าส่วนราชวังจักรพรรดิก็ส่องสว่างขึ้นในมือของเจียงอี้ในขณะที่เขากำลังจะพาเจียงเสี่ยวนู๋และคนอื่นๆเข้าไป แต่เจียงเสี่ยวนู๋ส่ายหน้าบ่งบอกว่านางไม่ต้องการเข้าไปเพราะนางเป็นห่วงเจียงอี้
จากนั้นเมื่อเจียงอี้มองไปที่หยุนเฟยและคนอื่นๆพวกเขาทั้งหมดก็ส่ายหัวเช่นเดียวกันหมด เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเก็บสัตว์อสูรหยาจื้อและมังกรวารีสีทองเข้าไป จากนั้นเขาก็อุ้มเฉียนว่านก้วนและจ้านอู๋ซวงในขณะที่เฟิ่งหลวนและชิงหยีก็อุ้มอีกสองคนที่เหลือและตามลู่ถงไป
“ฮึ่มเจ้าหนู ข้าขอแนะนำอะไรเจ้าหน่อยนะ”
หลังจากที่ลู่ถงบินไปได้ครู่หนึ่งเขาก็หันกลับมาและยิ้มเยาะ “หากข้าเป็นเจ้า ข้าจะไม่เผยสมบัติออกมานอกจากยามจำเป็น การเผยสมบัติของเจ้าออกมาในเผ่าฟ้าประทานมันไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย!”
เจียงอี้ตกใจมากในขณะที่เขาพยักหน้าด้วยความขอบคุณอย่างรวดเร็วและพูดว่า“ขอบคุณท่านที่ชี้แนะ”
ดูเหมือนว่าลู่ถงจะอายุยังไม่ถึงสามสิบปีเขาพยักหน้าและส่งข้อความเสียงไปหาเจียงอี้ในทันใดว่า “เจ้าหนู ข้าเห็นว่าเจ้าก็ค่อนข้างฉลาด ข้าขอแนะนำอีกหน่อยแล้วกัน หากไม่มีผู้สนับสนุนใดๆในเกาะอัสนีฟ้ากระจ่าง เจ้าก็จะตายไวเช่นกัน เจ้าอาจจะมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนสองคน แต่หากเจ้าตกเป็นเป้าของทาสที่ทรงพลังบนเกาะนี้ ข้ารับประกันได้เลยว่าพวกเจ้าจะตกตายไปในเวลาไม่ถึงเดือน อ้อ…ผู้บัญชาการลู่ตี๋ของเราเป็นหนึ่งในสิบผู้บัญชาการบนเกาะอัสนีฟ้ากระจ่าง หากเขาเรียกใช้ทาสที่ทรงพลังบนเกาะ การรอดชีวิตของเจ้าบนเกาะนี้น่ะจะยิ่งน้อยลงไปอีกนะ!”
“มันหมายความเช่นไรกัน?”
เจียงอี้ขมวดคิ้วและคิดว่านี่เป็นกฎที่ถูกเรียกว่ากฎลับอยู่?คนผู้นี้กำลังบอกเจียงอี้ให้ติดสินบนเขาอยู่หรือ?
เขานิ่งไปชั่วขณะและตอบกลับอย่างรวดเร็วด้วยการส่งข้อความเสียงไป“โอ แน่นอน นี่เป็นศิลาสวรรค์พันก้อน ข้าจะรบกวนท่านส่งต่อไปให้ท่านผู้บัญชาการได้หรือไม่? มันเป็นเพียงคำขอบคุณเล็กน้อยจากข้า”
“ฮึฮึ!”
ลู่ถงเยาะเย้ยและกล่าวว่า“เจ้าประเมินตระกูลลู่ของเราต่ำไปแล้ว ตระกูลลู่ของเราเป็นหนึ่งในสิบสามตระกูลเผ่าเทพประทาน เจ้าคิดว่าพวกเราขาดแคลนศิลาสวรรค์หรือ? เจ้าหนู ผู้บัญชาการน่ะไม่ได้ชอบศิลาสวรรค์หรือสมบัติใดๆ เขาชอบ….หญิงงามน่ะ พวกนางทั้งสี่คนนี้เป็นสาวใช้ของเจ้าหรือเปล่า?”
“เอ่อ…”
สีหน้าของเจียงอี้มืดมนลงทหารคนนี้บอกใบ้ให้เขายกเฟิ่งหลวนและคนอื่นๆให้ผู้บัญชาการลู่ตี๋หรือ? แม้ว่ามันจะเป็นคำใบ้ที่ละเอียดอ่อน แต่มันก็ทำให้เขาโกรธจนแทบคลั่ง ใจของเขาสาดส่องไปด้วยกลิ่นอายสังหารในขณะที่เขาเกือบจะปลดปล่อยเจตจำนงสังหารออกมาสังหารคนผู้นี้แล้ว
เฟิ่งหลวนและชิงหยีเป็นผู้หญิงของเขาส่วนเจียงเสี่ยวนู๋อาจเป็นสาวใช้ของเขา แต่พวกเขาทั้งสองก็เหมือนพี่น้องกัน และหยุนเฟยเองก็เป็นภรรยาของจ้านอู๋ซวงและถือว่าเป็นพี่สะใภ้ของเขาเลย
อย่าว่าแต่มอบพวกนางให้เลยเพียงแค่คำพูดมันก็ทำให้เขาโกรธมากแล้ว
เขาอดกลั้นต่อความโกรธที่อยู่ในใจเขาและส่งข้อความเสียงกลับไปว่า“ข้าต้องขออภัยด้วย หญิงสาวเหล่านี้ไม่ใช่สาวใช้ของข้าและข้าคงไม่สามารถมอบพวกนางให้ได้!”
“เหอะๆถือว่าข้าไม่ได้พูดอะไรแล้วกัน ไปกันเถอะ”
สีหน้าของทหารคนนั้นเปลี่ยนไปทันทีและเขาบินไปข้างหน้าทันทีเขาไม่หันมาเหลือบมองเจียงอี้และคนอื่นๆอีกต่อไป
“ฮู่วว…”
สีหน้าของเจียงอี้ดีขึ้นเล็กน้อยดูเหมือนว่ากฎของตระกูลลู่จะเข้มงวดมากและทหารคนนี้ก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ไม่เช่นนั้นเขาคงจะไม่บอกใบ้อย่างชาญฉลาดเช่นนี้ ทั้งสิบสามตระกูลนั้นเป็นผู้ปกครองที่ควบคุมเกาะนี้และหากตระกูลของพวกเขาไม่มีกฎที่เข้มงวด ลู่ตี๋ก็คงจะบังคับเอาตัวพวกนางไปแล้ว
หากคนพวกนี้ไม่กล้าทำอะไรโดยประมาทเจียงอี้ก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมาเล็กน้อย ส่วนเรื่องของทาสพวกนั้นล่ะ? มันคงยากที่จะบอกว่าใครจะเป็นผู้รอดไปได้ ในเวลาเดียวกัน เขาเองก็ไม่เชื่อว่าทาสที่ไม่สามารถส่งศิลาสวรรค์สองพันก้อนให้พวกเขาได้จะมีพลังมากมายนัก