เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 664 ปล้นกลางวันแสกๆ
“แต้มความดีความชอบหนึ่งร้อยล้านแต้ม สำหรับเข้าเกาะและอาศัยอยู่ในเมือง?”
เจียงอี้ลูบใบหน้าของเขาและมองไปยังหญิงชราด้วยดวงตาที่เบิกกว้างและถามว่า “ท่านไม่ได้หลอกข้าเล่นใช่ไหมขอรับ?”
เขาออกไปเสี่ยงชีวิตและได้หินอัสนีมามากกว่าหนึ่งพันก้อน และหากเขาจะแลกมันทั้งหมดเป็นแต้มความดีความชอบ เขาก็จะได้แต้มมาแค่พันกว่าแต้มเท่านั้น
“มีอะไรให้ต้องหลอกเจ้าด้วยล่ะ?”
หญิงชราไม่ได้โกรธและพูดอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้าออกไปถามใครสักคนที่รู้เรื่องนี้ก็ได้ อย่าว่าแต่เกาะเทพประทานเลย แม้แต่หมู่เกาะมังกรขาวเองก็ต้องใช้แต้มความดีความชอบเพื่อเข้าไปเช่นกัน หากไม่มีแต้มนี้ เจ้าจะทำได้แค่ออกไปตระเวนอยู่ข้างนอกและอาจถูกสังหารได้ทุกเมื่อ ในเผ่ามังกรขาวนี้ เจ้าสามารถเข้าได้เพียงเมืองอัสนีฟ้ากระจ่าง และเมืองนี้เองก็ยังต้องใช้หินอัสนีด้วยมิใช่หรือ? เผ่ามังกรขาวมีเมืองเล็กๆร่วมร้อยเมือง มีเมืองหลักๆอยู่สิบเมืองและเมืองใหญ่อยู่หนึ่งเมือง หากเจ้าต้องการอยู่ในเมืองเล็กๆ เจ้าจะต้องมีแต้มอย่างน้อยหนึ่งแสนแต้ม เมืองหลักห้าแสนแต้มและเมืองใหญ่หนึ่งล้านแต้ม ตอนนี้เจ้ารู้ถึงความสำคัญของแต้มความดีความชอบแล้วใช่ไหม?”
เจียงอี้ช่างโง่เขลานัก!
เดิมทีเขาคิดว่าหากเขาได้หินอัสนีมามากพอแล้ว เขาจะสามารถออกไปท่องข้างนอกได้โดยไม่ต้องกังวลใดๆ แต่เขาไม่ได้คิดว่ามันจะห่างไกลกับที่เขาคิดถึงเพียงนี้
นอกจากเมืองต่างๆในเกาะแห่งบาปนี้แล้ว ก็ไม่มีที่ไหนปลอดภัย หากเขาต้องการให้ทั้งกลุ่มมีชีวิตและฝึกฝนได้อย่างสงบสุข เขาจะต้องหาเมืองอยู่ให้ได้!
และถึงแม้ว่าเขาจะสามารถเก็บหินอัสนีมาพออยู่ได้เกือบครึ่งปี แต่เขาก็ยังต้องคิดหาทางที่จะได้แต้มความดีความชอบมาและเข้าอยู่ในเมือง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะฝึกฝนอย่างสงบที่เขตนอกเมืองเพราะพวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่าจะมีใครปรากฏตัวขึ้นมาหรือลอบสังหารพวกเขาตอนไหน
จิตใจของเจียงอี้ทำงานอย่างรวดเร็วในขณะที่เขานึกถึงสิ่งต่างๆ จากนั้นเขาก็ป้องมือถามว่า “ท่านใต้เท้า มีทางอื่นที่จะหาแต้มความดีความชอบได้หรือไม่ขอรับ?”
“มีแน่นอน”
นางพยักหน้าและกล่าวว่า “มีหลายวิธีที่จะได้แต้มมา ทางแรก เจ้าสามารถแลกเปลี่ยนกับข้าโดยใช้ศิลาสวรรค์, สมบัติต่างๆ, ซากศพสัตว์อสูร, สมุนไพรวิญญาณและหลายอย่างอีกมากมาย ทางที่สองคือเจ้าสามารถทำหน้าที่เป็นคนงานในเกาะอัสนีฟ้ากระจ่าง, หุบเขามังกรปฐพี, ทะเลมาร, และสถานที่อื่นๆอีกมากมาย แต่แน่นอนว่า…เมื่อเจ้าอยู่ครบสัญญาในเกาะอัสนีฟ้ากระจ่างแล้วและต้องการจะอยู่ที่นี่ต่อ เจ้าจะต้องจ่ายเงินเพิ่มเป็นสองเท่า ทางที่สาม เจ้าสามารถเข้าร่วมกองทัพตระกูลลู่และจะได้แต้มห้าพันแต้มในทุกๆปีซึ่งมันจะทำให้เจ้าอยู่ในเมืองได้โดยไม่ต้องจ่ายอะไร ทางที่สี่คือเจ้าสามารถไปดูประกาศในเมืองต่างๆ และประกาศนั้นอาจเป็นการไล่ล่าและสังหารคนในประกาศซึ่งเจ้าจะได้แต้มในภายหลัง มันยังมีอีกหลายทางที่จะหาแต้มได้ ซึ่งเจ้าน่าจะได้รู้เมื่อเจ้าไปยังเมืองต่างๆ….”
“เราจะใช้ศิลาสวรรค์กี่ก้อนเพื่อแลกกับแต้มความดีความชอบหนึ่งแต้มหรือขอรับ?”
เจียงอี้ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อนางบอกจำนวนมา หูซานกล่าวไว้ว่าหินอัสนีก้อนเดียวจะมีค่าเท่ากับศิลาสวรรค์แปดร้อยก้อน ซึ่งมันควรจะเป็นแปดร้อยก้อน แต่ที่นี่กลับเรียกศิลาสวรรค์ถึงพันก้อน ตระกูลลู่นี่เป็นโจรจริงๆและนี่มันปล้นกันกลางวันแสกๆชัดๆ
“ขอรับ ขอบคุณท่านที่ชี้แนะ หากข้ามีหินอัสนีมากกว่านี้ ข้าจะมาแลกแต้มนะขอรับ!” เจียงอี้คำนับพร้อมป้องกำปั้นของเขาและถือเป็นการกล่าวอำลา
หญิงชรายิ้ม, พยักหน้าและไม่พูดอะไรอีก เมื่อนางเห็นว่าเจียงอี้ออกไปแล้ว ใบหน้านางก็เย็นชาลงทันที นางเย้ยหยันและพูดว่า “ป้าเตา ในเมื่อข้ารับศิลาสวรรค์หมื่นก้อนมาจากเจ้าแล้ว ข้าก็ทำสิ่งที่ควรจะทำเสร็จแล้ว มันก็ขึ้นอยู่กับดวงของเจ้าแล้วว่าเด็กนี่จะออกจากเมืองหรือไม่ เจ้าหนู…อย่าโทษข้าเลย ถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่ตายด้วยน้ำมือของป้าเตา แต่หากอีกปีหนึ่งเจ้ามีแต้มความดีความชอบไม่พอ เจ้าก็จะต้องพบชะตานี้เช่นกันนั่นแหละ”
….
เจียงอี้กลับไปที่ลานบ้านของเขาด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้ง ระหว่างทาง มีสายตาแปลกๆมองมาที่เขา แต่เขาก็ไม่ได้สนใจมันเลย.ไอลีนโนเวล.
หลังจากกลับมาที่ลานบ้าน เขาก็หยิบป้ายส่งข้อความออกมาและในไม่ช้า หูซานก็เข้ามา หูซานมอบป้ายนี้ให้แก่เขาและเขาบอกว่าจะใช้มันเมื่อใดก็ตามที่เจียงอี้ต้องการข้อมูล
หลังจากใช้ศิลาสวรรค์ไปพันกว่าก้อน เจียงอี้ก็ได้ข้อมูลที่เขาต้องการมา หญิงชรานั่นไม่ได้โกหกเลยแม้แต่คำเดียวและทุกเมืองในเกาะแห่งบาปจะไม่ให้ผู้คนเดินเพ่นพ่านในยามค่ำคืน หากใครสักคนไม่มีบ้านในเมืองและกล้าเดินเตร่ไปมาบนถนน คนผู้นั้นก็จะถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม!
ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่ลานบ้านเล็กๆในเมืองเล็กๆก็ยังต้องใช้แต้มหนึ่งแสนแต้ม
หากไม่มีแต้มความดีความชอบแล้ว คนเหล่านั้นจะต้องเร่ร่อนไปเรื่อยๆและอาจถูกปล้นหรือสังหารได้ตลอดเวลา หมู่เกาะและเขตทะเลภายในเกาะแห่งบาปเองก็เป็นกลุ่มโจรที่ปล้นฆ่าเพื่อเลี้ยงชีพและปลาอ้วนๆอย่างเจียงอี้ก็คงไม่แคล้วถูกตามล่าอย่างไม่รู้จบ
เจียงอี้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากหูซานมา เขาพบว่ามีหินอัสนีมากมายอยู่ในสันเขาอัสนี แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปเก็บมันเลย มีเพียงแค่เขาที่มีไข่มุกวิญญาณเพลิงเท่านั้นที่กล้าไปที่นั่น
ดังนั้น ตราบใดที่เจียงอี้สามารถหลีกเลี่ยงการไล่ล่าและเข้าไปในสันเขาอัสนีได้ เขาก็จะขุดหินอัสนีมาได้
สันเขานี้ครอบครองเกือบสองในสามส่วนของเกาะอัสนีฟ้ากระจ่าง หากเขาจะหาหินอัสนีมาได้ทั้งหมดและแม้ว่ามันจะมีไม่มากนัก แต่อย่างน้อยๆมันก็น่าจะได้มาหลายหมื่นก้อนและมันจะทำให้เขาอยู่ที่เมืองอัสนีฟ้ากระจ่างอย่างสงบสุขได้หลายปีก่อนที่เขาจะวางแผนการอีกครั้ง
แต่ปัญหาคือ….เขาจะไปถึงสันเขาอัสนีอย่างปลอดภัยได้เช่นไร?
คนของป้าเตาและหัวหน้าหลงคงจะตามล่าเขาอย่างแน่นอน เจียงอี้คิดว่าก่อนที่เขาจะออกไปนอกเมืองก็คงจะมีคนกลุ่มใหญ่รอเขาอยู่ข้างนอกแล้ว และถึงแม้ว่าเขาจะออกไปที่สันเขาอัสนีได้ แล้วเขาจะกลับมาที่เมืองได้เช่นไรกัน? พวกนั้นจะต้องส่งคนไปดักเขาไว้ที่ประตูเมืองอย่างแน่นอน
หลังจากที่หูซานออกไป เขาก็เปิดใช้ข้อจำกัดที่ลานบ้านของเขาและจมอยู่กับความคิด ส่วนคนที่เหลืออยู่ในราชวังจักรพรรดิกัน ซึ่งเจียงอี้นั่งอยู่คนเดียวทั้งวันและเมื่อยามราตรีมาถึง เขาก็คิดบางสิ่งขึ้นได้
หูซานเพิ่งชี้แจงให้เขาฟังว่าในยามราตรี สายฟ้าจะหยุดผ่าลงมา แต่ภูเขาทั้งหลายจะเต็มไปด้วยเปลวเพลิงอัสนีทุกหนทุกแห่งซึ่งมันเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงไม่มีใครกล้าอยู่ด้านนอกฝั่งตะวันออกของเมือง
คนอื่นๆไม่กล้าออก แต่เขากล้า!
ตราบใดที่เขาไม่เข้าใกล้มันมากเกินไปเขาก็จะไม่เป็นอะไร และเมื่อเปลวเพลิงอัสนีกระจายไปทั่ว เขาก็ย้ายร่างฉับพลันได้
“อืม….อีกครึ่งเดือนข้าจะออกไปขุดหินอัสนีทั้งหมดในสันเขาอัสนี ฮึฮึ ข้าจะให้ป้าเตาและหัวหน้าหลงรอไปสักครึ่งเดือนก่อนแล้วกันและค่อยๆให้พวกนั้นหงุดหงิดจนกระอักเลือดก่อนแล้วข้าค่อยออกไปก็ได้”
เจียงอี้ตัดสินใจแล้วว่าเขาจะฝึกฝนก่อนครึ่งเดือนและเพิ่มระดับแก่นพลังของเขาให้สูงขึ้นอีกเล็กน้อยก่อน เพราะทางนี้จะทำให้เขาเร็วขึ้นและมันจะเพิ่มอัตราการรอดชีวิตได้มาก
เขาจะออกไปนอกเมืองตอนกลางดึกและขุดหินอัสนีทั้งหมดเสียก่อน หากว่าคนของป้าเตาและหัวหน้าหลงยังคงดักรออยู่ที่ประตูเมือง เขาก็จะไม่กลับไปที่เมืองและอยู่ที่สันเขาสักสองสามเดือน ถ้าเขาส่งมอบหินอัสนีทั้งหมดแล้ว มันจะทำให้เขาอยู่รอดไปได้อีกห้าเดือน และเขาก็ไม่เชื่อว่าป้าเตาและคนอื่นๆจะรอเขาอยู่ที่ประตูเมืองได้นานขนาดนั้น
เขามองเข้าไปดูในราชวังจักรพรรดิและเห็นว่าทุกคนกำลังรอเขาอยู่ เขาจึงนำทุกคนออกมาและไม่ได้พูดอะไรมากนัก เขาพูดเพียงว่าเขาได้ส่งหินอัสนีสำหรับการอยู่ที่นี่หนึ่งร้อยวันแล้วและทุกคนจะได้อยู่และฝึกฝนอย่างสงบสุข เจียงอี้บอกพวกเขาว่าอย่าคิดมากและหากจะต้องเกิดการต่อสู้ เขาจะบอกให้ทุกคนล่วงรู้ล่วงหน้า
จ้านอู๋ซวง, เฉียนว่านก้วน, หยุนเฟยและเจียงเสี่ยวนู๋ต่างก็มุ่งมั่นขณะที่พวกเขากลับเข้าไปในราชวังจักรพรรดิเพื่อฝึกฝนต่อ ส่วนเฟิ่งหลวนยังคงนั่งอยู่ในห้องของนางและขัดเกลาสิ่งประดิษฐ์ที่มีรูปร่างคล้ายกระสวยอยู่ ส่วนมังกรวารีสีทองก็ไปที่มุมหนึ่งของลานบ้านเพื่อฝึกฝนและให้เจียงอี้กับชิงหยีได้อยู่ด้วยกัน
“ชิงหยีน้อย ข้าจะเข้าสู่สันโดษครึ่งเดือนเพื่อฝึกฝนแก่นแท้พลังของข้า ในสองสัปดาห์นี้เจ้าจะเบื่อหรือเปล่า?”
เจียงอี้เห็นว่าชิงหยีไม่มีอะไรทำ เขาก็ขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “ทำไมเจ้าไม่เข้าไปในราชวังจักรพรรดิก่อนล่ะ เมื่อเฟิ่งเอ๋อร์ขัดเกลาสิ่งประดิษฐ์เสร็จแล้ว ข้าก็จะนำนางกลับเข้าไปอีกครั้ง หยุนเฟยเองก็ยังอยู่ในนั้น เจ้าจะได้ไม่เหงาด้วย”
ชิงหยีพยักหน้าแล้วสายตาของนางก็แผ่ความรุ่มร้อนออกมา ร่างอันบอบบางของนางค่อยๆเอนกายไปทางเจียงอี้ในขณะที่นางค่อยๆลูบไล้ไปบนแผ่นอกอันแข็งแรงของเจียงอี้ จากนั้นชิงหยีก็มองเจียงอี้ด้วยสายตาเร่าร้อนแล้วพูดว่า “นายน้อย พักนี้ข้าไม่ได้พบท่านเลย ชิงหยีคิดถึงท่านเหลือเกิน ทำไม…ไม่ให้ชิงหยีได้กินอะไรอร่อยๆสักมื้อเพื่อดับความกระหายในใจก่อนล่ะเจ้าคะ?”
“ซนจริงๆ”
เจียงอี้มองไปยังชิงหยีที่มีเสน่ห์และน่าดึงดูด เขายิ้มแล้วกล่าวว่า “เจ้ายังไม่อาบน้ำหรือ?”