เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 672 รูปแบบเต๋าอัสนี
สามสิบนาทีต่อมา สาวใช้ก็เดินออกมา นางมองไปที่ป้าเตาและหัวหน้าหลงอย่างไม่แยแสและพูดว่า “นายหญิงบอกว่านางเข้าใจดีว่าเหตุใดพวกท่านถึงได้มาที่นี่ แต่นางกำลังทำความเข้าใจรูปแบบเต๋าอยู่ นางไม่มีเวลามาสนใจเรื่องราวที่ซับซ้อนอะไรเช่นนี้ รอไปอีกไม่กี่เดือนก่อนแล้วค่อยมาหานางอีกครั้ง”
“ไม่กี่เดือน?”
มุมปากของป้าเตากระตุก พวกเขาจะมาหานางทำไมหากรู้ว่าจะต้องรอไปอีกสองสามเดือน? พวกเขาได้ตรวจสอบเรื่องของเจียงอี้อย่างละเอียดแล้วและรู้ว่าเจียงอี้ส่งหินอัสนีสำหรับเวลาห้าเดือน ดังนั้นเขาจะต้องกลับมาที่นี่ภายในห้าเดือน เมื่อถึงเวลานั้น พวกเขาก็จะหยุดเขาที่ประตูเมืองได้อย่างง่ายดาย
ที่พวกเขาต้องการจะกุดหัวเจียงอี้นั่นเป็นเพราะชื่อเสียงของพวกเขา ที่สำคัญไปกว่านั้น มันเป็นเพราะขวัญกำลังใจของผู้ใต้บัญชาของพวกเขาด้วย
เมื่อขวัญกำลังใจของลูกน้องของพวกเขาลดลงแล้วมันก็ยากที่จะเป็นผู้นำพวกเขาได้ ในหลายปีมานี้ ในที่สุดพวกเขาก็รักษาความมั่นคงในเมืองอัสนีฟ้ากระจ่างได้ แต่กระนั้น หมาป่าเดียวดายก็ปรากฏตัวขึ้น บางทีหลังจากนี้ คงจะมีฉายาเช่น “หมาป่าอัคคี” หรือแม้แต่ “หมาป่าผู้เหี้ยมโหด” ขึ้นมาด้วยซ้ำ
หัวหน้าหลงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “หมาป่าเดียวดายนั่นมาปล้นหินอัสนีของเราในทุกๆรุ่งสาง เช่นนั้นมันก็แปลว่าเขากำลังดูถูกเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานอยู่ ในเมื่อมีคนกล้าท้าทายอำนาจของเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวาน เราก็ควรสังหารมันซะ เราจะต้องไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ยืดเยื้อออกไปอีก…”
เสียงของหัวหน้าหลงไม่ได้ดังหรือเบาเกินไป แต่เขาใช้ความสามารถพิเศษบางอย่างที่ทำให้ทุกๆสิ่งที่เขาพูดออกมาสะท้อนและดังก้องไปทั่วบริเวณนั้นอย่างชัดเจนซึ่งมันทำให้คนหลายๆคนได้ยินเช่นกัน เจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานที่อยู่อีกลานบ้านหนึ่งเองก็ได้ยินเช่นกัน อันที่จริงแล้ว…เขาทำแบบนี้เพื่อที่จะให้นางได้ยินสิ่งนี้
สาวใช้เองก็รู้ดีว่าหัวหน้าพวกนี้คงไม่กลับไปง่ายๆเช่นนั้น แต่นางจะกล้าท้าทายความต้องการของเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานได้อย่างไร? ตอนที่นางกำลังจะบอกให้พวกเขากลับไป เสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากลานบ้าน “พวกเจ้าทั้งหมดควรกลับไปซะ ข้าจะไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ พวกเจ้าทุกคนก็ควรจะไปคิดหาทางกันเอาเองนะ!”
น้ำเสียงนั้นดูนุ่มนวลและน่าฟังแต่มันก็เต็มไปด้วยความหนักแน่นราวกับว่านางจะไม่ยอมให้ผู้ใดมาตั้งคำถามกับการตัดสินใจของนาง หัวหน้าหลง, ป้าเตาและคนอื่นๆพากันมองหน้ากันและถอนหายใจออกมาพร้อมกับจากไปอย่างไม่พอใจเท่าใดนัก
หลังจากที่ทุกคนออกไปแล้ว สาวใช้ก็เดินกลับเข้าไป นางมองไปยังหญิงสาวที่งดงามที่กำลังดื่มชาอย่างสบายใจอยู่ในห้องโถงขณะที่ถามด้วยความสงสัยว่า “นายหญิง เหตุใดท่านจึงไม่สังหารเด็กนั่นล่ะเจ้าคะ? ในช่วงสองวันที่ผ่านมา จำนวนหินอัสนีที่เสี่ยวตงจือและคนอื่นๆนำมาให้ลดลงมาก ที่หัวหน้าหลงพูดมานั้นก็จริงเช่นกัน เด็กนั่นกำลังท้าทายอำนาจของท่านนะเจ้าคะ”
หญิงสาวที่งดงามมีรูปร่างที่เยาว์วัยและท่วงท่าของนางนั้นมีเสน่ห์มาก
เรือนร่างของนางค่อนข้างกระชับเต่งตึง แต่นางก็ไม่ได้ดูอวบนัก ในอีกทางหนึ่งมันกลับมีเสน่ห์อย่างยิ่งโดยเฉพาะดวงตาที่น่าหลงใหลของนาง แม้แต่สาวใช้เองก็ยังรู้สึกได้ถึงความเย้ายวนนั้นเพียงแค่นางเหลือบมอง
นางกวาดตามองไปยังสาวใช้ก่อนที่จะตอบอย่างเฉยเมยว่า “ข้ามีเหตุผลของข้าที่ทำเช่นนั้น แล้วเจ้ามาตั้งคำถามในตัวข้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
ร่างของสาวใช้สั่นสะท้านขณะที่นางคุกเข่าลงด้วยความตกใจ “ข้าน้อยผิดไปแล้วเจ้าค่ะ”
เจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาและเม้มปากของนาง กระดิ่งที่หน้าอกของนางเริ่มสั่นเบาๆขณะที่มันเกิดเสียงดังขึ้นมา นางสวมกระโปรงยาวสีฟ้าอ่อนหลวมๆในขณะที่กระพรวนสีชมพูห้อยอยู่ตรงกลางระหว่างหน้าอกของนางซึ่งทำให้นางดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น
หลังจากที่จิบชายไปหลายอึก สายตาของนางก็มองทะลุผ่านออกไปที่ท้องฟ้านอกหน้าต่างขณะที่นางพึมพำกับตัวเอง “ตอนข้าอายุสิบสามปี ข้าเริ่มเร่ร่อนไปรอบๆหมู่เกาะมังกรขาวโดนไม่มีที่อาศัย ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ข้าพบเจออันตรายมากมายจนนับไม่ถ้วน ข้ามักจะตัดสินผู้คนได้อย่างแม่นยำและไม่เคยผิดพลาดมาก่อน เด็กคนนี้เป็นคนที่ไม่มีข้อจำกัดในตัวเอง อย่างน้อยๆ…เมืองอัสนีฟ้ากระจ่างเล็กๆนี่ก็คงรับมือเขาไม่ได้ และเมื่อมันเป็นเช่นนั้น ทำไมข้าจะต้องบาดหมางกับเขาด้วยล่ะ? ฮึฮึ เดี๋ยวเราก็ได้เห็น อีกห้าเดือน เด็กนั่นจะกลับมาที่เมืองโดยไม่เป็นอะไร และเมื่อเขากลับมา จงมาแจ้งข้าทันที”
หลังจากนางพูดจบนางก็ดื่มชาจนหมดและหันกลับเข้าไปที่ห้องโดยทิ้งสาวใช้ที่งุนงงเอาไว้ สีหน้าของสาวใช้ผู้นั้นมีความตกตะลึง สุดท้ายนางก็พึมพำออกมาหลังจากที่นิ่งงันอยู่นาน “ไม่ใช่ว่าเด็กเหลือขอนั่นอยู่แค่เพียงขอบเขตจินกังหรอกหรือ? เขาจะเข้ามาในเมืองโดยมีหัวหน้าทั้งหกคอยขัดขวางเข้าได้อย่างไรถึงแม้ว่าเขาจะมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนขนาบข้างอยู่สองคนก็เถอะ? แต่นี่คือหัวหน้าทั้งหกเลยนะ!”.ไอรีนโนเวล.
สาวใช้นั้นก็ยังไม่เข้าใจเรื่องนี้ อย่าว่าแต่คนธรรมดาอย่างเจียงอี้เลย แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนระดับกลางอย่างป้าเตา, หัวหน้าหลงและคนอื่นๆก็คงไม่สามารถเข้ามาในเมืองได้ภายใต้การสกัดกั้นของหัวหน้าทั้งหกคนพร้อมกับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนมากมาย เว้นแต่ว่าเขาจะไม่ธรรมดาเหมือนเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวาน!
แต่นางบอกว่าเขาจะกลับเข้ามาได้แน่นอน หรือว่าเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานจะบอกว่า….เด็กนี่จะมีความแข็งแกร่งเท่านางในอีกห้าเดือนให้หลัง? นี่มันไม่ดูเหมือนจินตนาการไปหน่อยหรือ?
….
เนื่องจากเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานจะไม่เข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ มันจึงทำให้ป้าเตาและคนอื่นๆรู้สึกเจ็บปวด และเมื่อพวกเขามุ่งหน้าไปหาเหลิ่งอ้าวเทียนและหัวหน้าหลี่ พวกเขาก็ได้รับแจ้งว่าทั้งคู่กำลังเข้าสู่สันโดษเช่นกัน
ป้าเตาสบถออกมา เพราะเมื่อคืนที่ผ่านมา เหลิ่งอ้าวเทียนไปที่ซ่องและอยู่กับโสเภณีห้าหกคน แต่วันนี้เขากลับเข้าสู่สันโดษ? คงจะมีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะเชื่อเรื่องนี้
พวกเขายังเข้าใจว่าที่ทั้งสองคนนี้เป็นเช่นนี้เพราะว่าน่าจะเป็นเพราะการตัดสินใจของเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวาน และมันยิ่งทำให้พวกเขากังวลกันมากขึ้น เมื่อทั้งสามคนนี้ไม่เต็มใจที่จะพบพวกเขา ป้าเตาและคนอื่นๆเองก็จนปัญญาเช่นกัน
สันเขาอัสนีกว้างใหญ่เกินไปและเจียงอี้ไม่เคยออกมาในช่วงกลางวันและซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกของสันเขา ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขาทั้งหก พวกเขาก็อยู่ในนั้นได้เพียงครึ่งวันจึงทำให้พวกเขาหาเจียงอี้ไม่เจอ นอกจากนี้ จะเกิดอะไรขึ้นหากพวกเขาเจอตัวเจียงอี้? ใครจะกล้าเข้าใกล้เจียงอี้หากเขาซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆเปลวเพลิงอัสนี?
ทุกคนหารือกันในร้านอาหารในตำหนักเจ้าเมืองราวๆสองชั่วโมง พวกเขาเริ่มคิดบางอย่างขึ้นได้ เช่นการติดสินบน….พวกเขาตั้งใจที่จะขอความช่วยเหลือจากกลุ่มบังคับการตระกูลลู่!
หัวหน้าหลงเป็นผู้นำไปยังชั้นสองของตำหนักเจ้าเมืองขณะที่เขาตามหาผู้บัญชาการกลุ่มบังคับการตระกูลลู่ แต่เมื่อเขาพูดถึงจุดประสงค์ของการมาเยือน ผู้บัญชาการที่ปกติแล้วจะคุยด้วยได้อย่างง่ายดายกลับสั่งให้เขาออกไปทันที
ตระกูลลู่เข้มงวดกับกฎมาก มันเป็นไปได้ที่ผู้บัญชาการจะรับสินบน แต่พวกเขาจะไม่มีวันกล้าฝ่าฝืนกฎของกองทัพไม่ว่าจะมีใครเสนอศิลาสวรรค์ให้พวกเขามากมายเพียงใดก็ตาม
ทั้งหกคนนั้นจนปัญญาอย่างสมบูรณ์ พวกเขาทำได้เพียงแค่ตั้งรับและรอให้เจียงอี้กลับมาในอีกห้าเดือนข้างหน้าเท่านั้น และถึงแม้ว่าผู้บัญชาการจะไม่กล้าฝ่าฝืนกฎของกองทัพ แต่เขาก็บอกพวกนั้นว่าหากเจียงอี้ไม่มอบหินอัสนีในอีกห้าเดือน เขาสามารถนำกลุ่มของเขาไปสังหารเจียงอี้ได้อย่างเป็นทางการ
…
เจียงอี้ไม่รู้ว่าในเมืองเกิดเรื่องอะไรขึ้นและไม่ได้สนใจมัน เขาเพียงแค่ฝึกฝนอย่างขันแข็งเท่านั้น!
ในช่วงระหว่างวัน เขาจะอยู่ที่สันเขาอัสนีและซ่อนอยู่ที่ที่เปลวเพลิงอัสนีรายล้อมเป็นสิบก้อนและบ่มเพาะพลังอยู่ที่นั่น! แม้ว่าจะมีคนรู้ว่าเขาอยู่ที่นั่นแต่พวกนั้นก็จะไม่กล้าเข้ามาเพราะที่นั่นร้อนเกินไป
หลังจากที่ฝึกฝนมาทั้งวัน เขาก็จะออกมาแถวๆภูเขาอัสนีในช่วงเวลากลางคืนและจะเข้าสู่สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์เพื่อหาร่องรอยของรูปแบบเต๋าต่อ
รุ่งเช้าเขาก็จะไปรวบรวมหินอัสนีทันทีและเมื่อผู้เชี่ยวชาญมาถึงที่นี่ เขาก็จะกลับไปที่สันเขาอัสนีเพื่อฝึกฝนต่อ
วันเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า ความเร็วที่เจียงอี้ฝึกฝนแก่นพลังของเขานั้นก็เร็วมากและเขาก็รวบรวมหินอัสนีได้มากมาย และเมื่อผ่านมาหกคืน เขาก็ยังไม่เข้าใจรูปแบบเต๋า มีหลายครั้งที่เขาสามารถจับร่องรอยของรูปแบบเต๋าได้ แต่เขาก็มักจะพลาดมันในช่วงสุดท้าย!
“ปัญหามันคืออะไรกันแน่นะ?”
ในคืนที่เจ็ด เจียงอี้ไม่ได้เข้าสู่สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์ แต่เขานั่งอยู่เหนือก้อนหินขนาดยักษ์ในขณะที่จ้องมองไปยังภูเขาอัสนีอย่างว่างเปล่า
มันผ่านมาหลายวันแล้ว หากเขาเข้าใจมันได้เขาคงจะจับร่องรอยรูปแบบเต๋าได้นานแล้ว ก่อนหน้านี้เขาสามารถเข้าถึงรูปแบบเต๋าได้เร็วมาก เมื่อเขาหาทางเข้าใจมันได้ เข้าจะเข้าถึงแก่นแท้และสามารถเข้าใจรูปแบบเต๋าได้ภายในไม่กี่วัน แต่นี่มันผ่านมากว่าห้าวันแล้ว แต่เขาก็ยังไม่สามารถหาทางเข้าสู่ขั้นแรกได้เลยแถมยังไม่สามารถบอกได้ด้วยว่ามันเป็นการปรากฏตัวของรูปแบบเต๋าอะไร
หากเขาไม่เข้าใจมันแล้วเขาจะสัมผัสถึงการปรากฏตัวของรูปแบบเต๋าที่คลุมเคลือนั้นได้อย่างไร? ดังนั้นเขาจึงสรุปว่ามันยังมีปัญหาอื่นอีก และหากเขายังทำเช่นนี้ต่อไปเขาก็คงจะอยู่ในความรู้สึกเช่นนี้ไปเรื่อยๆ
“รูปแบบเต๋าฟ้าดินชนิดใดกันที่ซ่อนอยู่ในภูเขาอัสนี? หรือจะเป็นรูปแบบเต๋าอัสนี? น่าจะเป็นเช่นนั้นแหละ ภูเขาอัสนีดูดซับสายฟ้าได้อย่างต่อเนื่องนับไม่ถ้วน มันจึงสมเหตุสมผลแล้วที่รูปแบบเต๋าที่ซ่อนอยู่จะเป็นเศษร่องรอยรูปแบบเต๋าอัสนี ภูเขาอัสนีมีหินอัสนีอยู่ในนั้นและยังมีเปลวเพลิงอัสนีด้วย พวกมันทั้งหมดมีพลังอัสนีกันหมด แต่ข้าจะเข้าใจรูปแบบอัสนีได้อย่างไร?”
เจียงอี้คิดถึงเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งขณะที่เขานั่งอยู่บนก้อนหินขนาดยักษ์ ลมทะเลอ่อนๆพัดโชยมาขณะที่เกราะเมฆาอัคคีซ่อนอยู่ในร่างกายของเขา เสื้อผ้าและผมของเขาสั่นไหวไปกับสายลมและเปลวเพลิงอัสนีเหล่านั้นก็วูบวาบไปในทิศทางที่ลมพัดไป ใบหน้าของเจียงอี้จะสว่างขึ้นและมืดลงเป็นครั้งคราวตามเปลวเพลิงซึ่งมันดูแปลกเล็กน้อยในที่แห่งนี้
…