เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 676 เรามาทำข้อตกลงกันเถอะ
- Home
- เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
- บทที่ 676 เรามาทำข้อตกลงกันเถอะ
ในลานบ้านขนาดเล็กที่ถูกประดับอย่างสวยงามในเขตตะวันออกของเมืองอัสนีฟ้ากระจ่าง….
เจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานที่อยู่ในชุดสีฟ้าน้ำทะเลที่เผยร่องอกให้เห็น ชุดนี้เข้ากับกระพรวนสีชมพูเล็กๆซึ่งทำให้สายตาหลายคู่ต้องจับจ้องอยู่ตรงนั้น
นางนั่งจิบชาอย่างสบายใจ ชานี้เป็นชาหอมนาคามังกรชั้นยอดซึ่งมีราคาเท่าศิลาสวรรค์หนึ่งพันก้อนต่อห่อ ซึ่งหนึ่งห่อสามารถชงชาได้เพียงถ้วยเดียวเท่านั้น ผู้คนนั้นไม่จำเป็นต้องดื่มมันเข้าไปเพราะเพียงแค่กลิ่นของมันก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกเบิกบานใจได้แล้ว
นางมีริมฝีปากที่นวลฉ่ำและมีเสน่ห์ทุกครั้งที่จิบชา นางค่อยๆหลับตาลงและจิบชาทีละน้อยซึ่งท่าทางของนางดูสง่างาม, สงบนิ่งและดูเป็นธรรมชาติมาก
หลังจากผ่านไปสามนาที นางก็ดื่มชาถ้วยนั้นจนหมดและค่อยๆลดถ้วยลงและลืมตามองไปที่สาวใช้เสี่ยวหงที่ยืนอยู่ข้างๆนาง “นี่มันผ่านมากี่วันแล้ว?”
สาวใช้นิ่งงันไปก่อนที่จะตอบเบาๆว่า “นายหญิง มันผ่านมาสามเดือนแล้วเจ้าค่ะ หมาป่าเดียวดายไม่แสดงตัวออกมาสองเดือนแล้วเจ้าค่ะ”
“ผ่านมาสามเดือนแล้วสินะ”
เจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานพยักหน้าและเอนหลัง นางหลับตาเพื่อพักผ่อนและหยุดสนทนาต่อ สาวใช้รอสักพักหนึ่งก่อนที่จะทำลายความเงียบนั้น “นายหญิง ผ่านไปสองเดือนแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่าหมาป่าเดียวดายจะ…ตายอยู่ในสันเขาอัสนีน่ะเจ้าคะ?”
เจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานไม่ตอบอะไร นางเพียงแค่โบกมือและส่งสัญญาณบอกให้เสี่ยวหงว่านางอยากอยู่คนเดียว เสี่ยวหงจึงไม่กล้าพูดอะไรต่อและออกไปที่ลานบ้านเงียบๆ นางกำลังจะไปเดินเตร่ที่ตำหนักเจ้าเมือง เจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานมักจะพักผ่อนในเวลานี้ ซึ่งทำให้นางสามารถพักผ่อนและออกมาข้างนอกได้
“แม่นางเสี่ยวหง”
“เสี่ยวหง”
ผู้คนทักทายนางตลอดทั้งทาง พวกเขามองและเคารพนางมาก ซึ่งมันทำให้นางเชิดหน้าชูตาได้อย่างสบายใจ
อีกไม่กี่เลี้ยวนางก็จะถึงถนนเส้นหลักที่จะไปยังตำหนักเจ้าเมืองแล้ว และในตอนนั้นเองก็มีคนหลายสิบคนในเมืองวิ่งมาทางนาง พวกเขารวดเร็วมากและเกือบจะชนนางแล้ว
“ฮึ่ม!”
ใบหน้าที่งดงามของเสี่ยวหงเริ่มเย็นชาทันทีและในขณะที่นางกำลังจะบันดาลโทสะออกมา คนเหล่านั้นก็ได้มุ่งหน้าไปยังตะวันออกของเมืองแล้ว ชายสองคนที่นำคนเหล่านั้นไปคือป้าเตาและหัวหน้าหลง และมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนตามหลังพวกเขาไปมากกว่าสิบคน เสี่ยวหงเหลือบมองและเงียบไปพักหนึ่ง
“เอ๊ะ?”
ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เหตุใดป้าเตาและหัวหน้าหลงถึงได้รีบร้อนเช่นนี้? มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า? นางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและเมื่อนางเห็นคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนและขอบเขตจินกังขั้นสูงสุดพากันวิ่งไปทางตะวันออกของเมือง นางก็รีบกางแขนของนางออกมาและตะโกนว่า “หยุดดด”
“อ๊ะ? แม่นาง เสี่ยวหง มีอะไรให้เราช่วยหรือ?”
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนทั้งสองคนนี้เป็นลูกน้องของหัวหน้าหลง พวกเขาจึงรู้จักเสี่ยวหงเป็นอย่างดี มีเพียงไม่กี่คนในเมืองนี่ที่ไม่รู้จัก เสี่ยวหง เพราะยังไงนางก็เป็นสาวใช้ของเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวาน
ดวงตาของเสี่ยวหงเป็นประกายเย็นชา นางถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกัน? ทำไมหัวหน้าหลงกับป้าเตาถึงรีบร้อนเช่นนี้?”.Aileen-novel.
หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนป้องมือและตอบว่า “แม่นางเสี่ยวหง หลังภูเขาอัสนี มันถึงกับบอกให้พี่ใหญ่ป้าเตาไปเจรจากับมันที่นั่นอย่างโจ่งแจ้ง ตอนนี้ข้าต้องไปแล้ว ข้าขอตัวก่อน”
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนทั้งสองป้องมือและรีบออกจากเมืองไปพร้อมกับคนของพวกเขา จึงทำให้เสี่ยวหงขมวดคิ้วและบ่นพึมพำกับตัวเองอย่างสับสนว่า “หมาป่าเดียวดายยังไม่ตายรึ? เขายังให้ป้าเตาออกมาเจรจากับเขาด้วย? นี่เขาเหนื่อยที่จะมีชีวิตอยู่แล้วหรือไงนะ? เป็นไปได้ว่าหัวหน้าอีกสี่คนก็จะไปที่นั่นเช่นกัน ไม่ได้การล่ะ….ข้าต้องรีบกลับไปรายงานนายหญิงเดี๋ยวนี้”
เสี่ยวหงรีบกลับไปที่ลานทันทีและใช้เวลาไม่นานก็มาถึงลานหน้าบ้าน นางเดินเข้าไปอย่างรวดเร็วและพูดเบาๆเมื่อนางอยู่ที่ประตูของโถงใหญ่ “นายหญิงเจ้าคะ หมาป่าเดียวดายปรากฏตัวแล้ว เขาต้องการเจรจากับป้าเตาที่สันเขาอัสนี ป้าเตาและหัวหน้าหลงนำคนของพวกเขาไปแล้ว ข้าคาดว่าหัวหน้าคนอื่นๆก็จะไปที่นั่นเช่นกันเจ้าค่ะ”
“หืม?”
เจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานลืมตาขึ้นและหัวเราะออกมาซึ่งมันทำให้หน้าอกของนางสั่นระรัวอย่างต่อเนื่องและกระพรวนเล็กๆที่หน้าอกของนางก็ส่งเสียงออกมาอย่างไพเราะ
นางลุกขึ้นอย่างเนือยๆและพูดด้วยรอยยิ้ม “ช่วยข้าแต่งตัว เราไปดูการแสดงกันเถอะ”
เสี่ยวหง รีบเดินเข้าไปข้างในและหยิบเสื้อกันลมที่ทำด้วยขนจิ้งจอกมาสวมให้เจ๊ใหญ่กระพรวนกังวาน หลังจากนั้นนางก็ถามว่า “นายหญิง เราจำเป็นต้องนำคนไปกับเราด้วยไหมเจ้าคะ?”
“ไม่จำเป็นหรอก เราเพียงแค่จะไปรื่นเริงกับการแสดงเท่านั้น ไปกันได้แล้ว!”
หลังจากนั้นเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานก็หายใจออกมาและบินตรงขึ้นไปทันที เสี่ยวหงเองก็ตามนางไปอย่างรวดเร็วและพวกนางก็ตรงออกจากเมืองผ่านประตูเมืองตะวันออก
นอกจากตระกูลลู่แล้ว จะไม่มีใครได้รับอนุญาตให้บินในเมือง แต่มันไม่รวมเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานซึ่งมันเป็นคำสั่งพิเศษจากตระกูลลู่ นางไม่ได้บินเร็วนักเพราะมันมีม่านพลังโปร่งแสงอยู่รอบเมือง อย่างไรก็ตาม มีแสงสีชมพูสาดส่องออกมาจากมือของเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานและจากนั้นนางก็ทะลุเกราะม่านพลังไปพร้อมกับ เสี่ยวหงและบินตรงไปยังภูเขาอัสนี
ฟรึ่บ! ฟรั่บ!
เมื่อพวกนางออกจากเมืองไปก็เห็นคนเกือบร้อยคนทะยานอยู่บนฟ้าซึ่งเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นคนของหัวหน้าสี่คนที่เหลือ
เจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานไม่ได้ช้าหรือเร็วเกินไป ชุดและเสื้อกันลมขนจิ้งจอกของนางปลิวไสวไปเพราะแรงลมขณะที่นางบินตรงไปข้างหน้า กระพรวนสีชมพูเล็กๆสั่นและส่งเสียงออกมาไม่หยุด นางลูบผมของนางจนเรียบและมองทางตะวันออกก่อนจะยิ้มจางๆ “ฮ่าฮ่า เสี่ยวหงข้ารู้สึกว่าท้องฟ้ากำลังจะถล่มลงในเมืองอัสนีฟ้ากระจ่างแห่งนี้”
เสี่ยวหงไม่ได้พูดอะไรออกมาและเพียงแค่เม้มปาก ในความคิดของนาง ท้องฟ้าจะไม่ถล่มที่เมืองอัสนีฟ้ากระจ่างอย่างแน่นอนและศพที่น่าเกลียดจนไม่เหลือเค้าความเป็นมนุษย์จะปรากฏอยู่ในภูเขาอัสนี
…
ที่ภูเขาอัสนีนั้นมีชีวิตชีวามาก
คนกว่าหมื่นคนไม่มีใครนั่งเลย พวกเขาทั้งหมดยืนมองไปที่ภูเขาอัสนีทางตะวันออกอย่างตื่นเต้น พวกเขามองผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนทั้งสามสิบคนรอบๆภูเขาอัสนีซึ่งเป็นผู้ที่คอยนำกองกำลังเหล่านี้ ซึ่งแน่นอนว่าพวกนั้นเป็นคนของหัวหน้าทั้งหกกลุ่ม
บนยอดเขาที่สูงที่สุดของสันเขาอัสนีที่อยู่ห่างออกไป มีชายคนหนึ่งในชุดคลุมสีดำกำลังยืนอยู่ที่นั่น ทั้งสองฝ่ายยืนอยู่จุดเดิมที่พวกเขาอยู่ ไม่มีใครลงไปและไม่มีใครขึ้นไปที่สันเขาอัสนีเลย
เหตุผลที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนไม่พุ่งออกไปนั้นเป็นเพราะว่าชายผู้นั้นบอกว่า เขาจะกลับไปยังสันเขาอัสนีทันที….หากว่าป้าเตาไม่มาเจรจากับเขาด้วยตัวเอง
ชายผู้นี้ดูแปลกมาก ผมของเขาโล่งเตียนและยังไม่มีคิ้วอีกด้วย ซึ่งมันดูแปลกและดูน่าอึดอัดนัก
เห็นได้ชัดว่าคนผู้นั้นคือเจียงอี้ เขาออกจากเมืองมาเมื่อสามเดือนก่อนและหายไปจากสายตาของทุกคนเป็นเวลาสองเดือน เขาเคยออกมาฉกชิงหินอัสนีในทุกๆเช้า แต่ไม่มีผู้ใดเห็นเขาเลยในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา หลายคนจึงคิดว่าเขาตายไปแล้ว แต่มันน่าแปลกใจมากที่เขายังมีชีวิตอยู่
การปรากฏตัวของเขาทำให้ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนรับรู้ได้และถูกส่งไปตามล่าเขาทันที แต่ประโยคแรกของเจียงอี้ก็ทำให้ทุกคนตกตะลึง
หากผู้ใดกล้าเข้ามาอีกเพียงก้าวเดียว เจียงอี้ก็จะกลับไปยังสันเขาอัสนีทันที เขาต้องการเจรจากับป้าเตา และหากว่าเขากลับไปยังสันเขาอัสนีอีก ทุกๆคนก็ทำอะไรเขาไม่ได้อีกเหมือนเคย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรอป้าเตาเท่านั้น
หลังจากผ่านไปสิบห้านาที กลุ่มคนหลายสิบคนก็พุ่งมาแต่ไกล ป้าเตาและหัวหน้าหลงอยู่ด้านหน้าและจ้องมองไปที่เจียงอี้ที่ยืนอยู่บนสันเขาอัสนี ทั้งคู่แสดงถึงความเกลียดชังและความคับแค้นใจออกมา
ไอ้เด็กสารเลวผู้นี้ทำให้พวกเขาต้องอับอาย พวกเขาแทบจะไม่สามารถตั้งสติได้เลยในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา
“ป้าเตา ไม่เจอกันนานเลยนะ! ดูเหมือนเจ้าจะตัวใหญ่ขึ้นนะ? หรือบางทีเจ้าอาจจะโง่ขึ้นด้วย!”
เมื่อป้าเตาและกลุ่มคนของเขาผ่านภูเขาอัสนีมา ในที่สุดเจียงอี้ก็เปิดปากพูดออกมาว่า “ทุกคน หยุดอยู่ตรงนั้นซะ ไม่เช่นนั้นข้าจะกลับไปในสันเขาอัสนีเดี๋ยวนี้แหละ ป้าเตา เจ้ามาที่นี่คนเดียว เรามาทำข้อตกลงกันเถอะ”