เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 681 ข้าสอนการเป็นคนรู้กาลเทศะให้เอาไหม
- Home
- เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
- บทที่ 681 ข้าสอนการเป็นคนรู้กาลเทศะให้เอาไหม
เจียงอี้ยืนอยู่กลางอากาศนอกสันเขาอัสนีขณะที่อีกสิบเจ็ดคนยืนเรียงกันเป็นแถวห่างจากเจียงอี้ราวๆหนึ่งกิโลเมตรครึ่ง พวกเขาดูเหมือนนักสู้ที่เปี่ยมไปด้วยฝีมือและไม่แสดงความอ่อนแอใดๆออกมาแม้ว่าพวกเขาจะเผชิญหน้าอยู่กับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนนับร้อยคน
หัวหน้าทั้งสี่ยังคงยืนอยู่กลางอากาศด้วยความภาคภูมิขณะที่มีคนอีกนับร้อยยืนเรียงกันอยู่ข้างหลังพวกเขา พวกเขาอยู่ห่างจากเจียงอี้ประมาณแปดกิโลเมตรและมองอีกฝ่ายอยู่เงียบๆ
ถัดจากหัวหน้าทั้งสี่กว่าสิบกิโลเมตรคือภูเขาอัสนี ซึ่งมีคนนับหมื่นอยู่ที่นั่นเพื่อมาฉกชิงหินอัสนี พวกเขาเหล่านั้นมาพร้อมกับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนที่ถูกหัวหน้าคนอื่นๆส่งมา และไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้และมองไปยังทิศตะวันออกอย่างกระวนกระวายขณะที่พวกเขาแทบไม่กล้าจะหายใจ
หลังจากที่รออยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเจียงอี้ก็ทำลายความเงียบลง
เสียงของเขาไม่ได้ดังหรือเบาเกินไป แต่มันดังก้องไปทั่วพื้นที่แถบนั้น แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญที่ภูเขาอัสนีก็ยังได้ยินเสียงของเจียงอี้อย่างชัดเจน “แซ่ของข้ามีนามว่าเจียง นามเรียกของข้าคือหมาป่าเดียวดาย ข้ามายืนอยู่ที่นี่ในวันนี้เพื่อบอกกับทุกคนว่า…..ป้าเตาและหัวหน้าหลงต้องการสังหารข้า แต่พวกเขาถูกข้าสังหารไปก่อน และมีผู้ใต้บัญชาสิบคนที่ไม่ต้องการภักดีต่อข้า ดังนั้นพวกนั้นจึงถูกสังหารไปด้วย ส่วนคนที่เหลือนั้นภักดีต่อข้าแล้ว! ข้าเป็นคนที่ไม่ชอบอะไรยุ่งยาก แต่ถ้าพวกเจ้ายั่วโมโหข้า ข้าก็จะไม่ปรานีแน่นอน….หากพวกเจ้ามาที่นี่เพียงเพื่อชมการแสดงเท่านั้น พวกเจ้าก็กลับกันไปได้แล้ว และข้าจะเลี้ยงเครื่องดื่มทุกคนเมื่อข้ากลับไปถึงเมือง แต่หากว่า…พวกเจ้าต้องการจัดการข้า เช่นนั้นก็ลงมือได้เลย!”
เจียงอี้พูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่แยแสและไม่มีความสุภาพเลย
ทุกคำพูดของเขาทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงภูเขาอัสนีปั่นป่วนขึ้นมาและรวมถึงผู้ใต้บัญชาของหัวหน้าทั้งสี่ด้วยเช่นกัน เมื่อเขาพูดจบ ทุกคนก็เงียบลงอย่างน่าประหลาดและบรรยากาศก็อึมครึมมาก
ผู้ที่ยืนอยู่ทางซ้ายสุดของหัวหน้าทั้งสี่คือชายชราผมเผ้ารุงรัง เขาสวมเสื้อคลุมสีดำและมีจมูกเหมือนนกอินทรีหรือที่ผู้คนเรียกกันว่า ‘หัวหน้าอิง’ คนที่สองถัดจากเขาคือ ‘เสือยิ้ม’ ซึ่งดูอ้วนกว่าเฉียนว่านก้วนนัก คนที่สามเป็นชายวัยกลางคนผิวดำและดูดีผู้มีชื่อเรียกว่า ‘หัวหน้าเฮย’ และคนสุดท้ายที่ดูอัปลักษณ์เล็กน้อยและทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัดมีชื่อเรียกว่า ‘พี่เหิง’
บุคคลทั้งสี่คนนี้ดำรงตำแหน่งหัวหน้ามานานมากและผู้ที่อาวุโสที่สุดเป็นหัวหน้ามากว่าสิบปี หัวหน้าที่อยู่รองลงมาส่วนใหญ่ก็อยู่มาประมาณสามถึงห้าปี นอกจากตระกูลลู่และเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานแล้ว ใครจะกล้าดูถูกพวกเขาอีก?
แต่ตอนนี้เจียงอี้กำลังทำเช่นนั้นกับพวกเขาอยู่
เด็กคนนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังที่มายังเมืองอัสนีฟ้ากระจ่างเพียงไม่กี่เดือนก่อน แม้ว่าเขาจะมีพลังที่แปลกประหลาด แต่เขากล้าอวดดีเช่นนี้ได้อย่างไร? นอกจากนี้เจียงอี้ยังยั่วโมโหหัวหน้าทั้งสี่ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ แล้วพวกเขาทั้งสี่จะนิ่งดูดายได้เช่นไร? พวกเขาล้วนให้ความสำคัญกับชื่อเสียงและหน้าตาของพวกเขามาก หากไม่มีสองสิ่งนี้แล้ว ผู้ใต้บัญชาของพวกเขาคงรับใช้พวกเขาด้วยความไม่เชื่อใจ และหากลูกน้องไม่เชื่อใจแล้วหัวหน้าจะนำพวกเขาได้อย่างไร?
ทั้งสี่คนจึงมองหน้ากันและหัวหน้าที่ดูอัปลักษณ์ก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าหนู เจ้าไม่รู้หรอว่าอะไรคือความเคารพเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อาวุโส? เจ้ารู้ไหมว่ามารยาทคืออะไร? ให้ข้าสอนการเป็นคนรู้กาลเทศะให้เอาไหม?”
เจียงอี้เลิกคิ้วขึ้นและมองคนผู้นั้น เขาเย้ยหยันและพูดว่า “ทำไมล่ะ? เจ้าจะสอนกาลเทศะให้ข้ารึ? ทำไมไม่ไปสอนข้าตรงนั้นล่ะ?”
เจียงอี้พูดด้วยน้ำเสียงข้องใจราวกับสิงโตที่กำลังจะทำสงคราม หลังจากที่เจียงอี้พูดจบ กลิ่นอายที่น่ากลัวของพี่เหิงก็พรั่งพรูออกมาทันที คทาขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นบนมือของเขาซึ่งทำให้บรรยากาศตึงเครียดขึ้น เหมือนว่าประกายไฟธรรมดาๆจะจุดไฟให้เกิดการต่อสู้ที่ดุเดือดขึ้น
“ฮึฮึ!”
ในตอนนั้นเอง หัวหน้าอิงก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาซึ่งทำให้บรรยากาศคลายลงเล็กน้อย เขาป้องมือไปทางเจียงอี้และพูดว่า “หัวหน้าเจียง ข้าหัวหน้าอิง ข้านั้นแก่มากแล้วและสมองของข้าก็ทำงานไม่ดีนัก ข้าคงสอนกาลเทศะให้เจ้าไม่ไหว หากเป็นการดื่มฉลองกันสามวันสามคืนหลังจากที่เจ้ากลับเมืองแทนได้ไหม?”
เจียงอี้มองไปทางนั้นและพยักหน้า “หัวหน้าอิงต้องการดื่มฉลองหรือ? นั่นง่ายมาก ข้าจะดื่มฉลองกับเจ้าสิบวันสิบคืนหลังจากข้ากลับเข้าไปในเมืองเลย อยู่ที่ว่าร่างกายที่ชราของเจ้าจะรับไหวหรือไม่”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
หัวหน้าอิงหัวเราะออกมาและกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ตามนั้นแหละ สิบวันสิบคืนนะ เด็กๆ กลับกันเถอะ”
หัวหน้าอิงนำคนของเขาบินกลับไปยังเมืองอัสนีฟ้ากระจ่าง การแสดงความอ่อนแออย่างกะทันหันของเขาทำให้หัวหน้าอีกสามคนลังเล พี่เหิงที่อยู่ในสภาพพร้อมลงมือก็สงบลงทันที ใบหน้าของเขาซีดเผือดไปราวกับว่าเขากำลังตระหนักถึงความผิดพลาดของเขาอยู่
ความแข็งแกร่ของพวกเขาทั้งสี่น่าเกรงขามมากและแต่ละคนก็มีทักษะเฉพาะตัว แต่ไม่มีผู้ใดมั่นใจว่าพวกเขาจะกำจัดป้าเตาและหัวหน้าหลงได้ในเวลาอันสั้นเช่นนี้ หากพวกเขาทั้งสี่ร่วมมือกันก็จะมีโอกาสกำจัดเจียงอี้ได้ แต่จู่ๆหัวหน้าอิงก็ถอยกลับไปกะทันหัน พี่เหิงจึงต้องพิจารณาเรื่องนี้ใหม่อีกครั้ง จะเกิดอะไรขึ้นหากหัวหน้าอีกสองคนถอนตัวกลับไปด้วย? แล้วเขาจะแน่ใจหรือว่าจะสังหารเจียงอี้ด้วยตัวเองได้?
จากนั้นไม่นาน เสือยิ้มก็เผยรอยยิ้มออกมา ใบหน้าของเขาที่อ้วนมากจนมองไม่เห็นตาของเขากำลังเบ่งบานราวกับดอกไม้บาน เขายิ้มและพูดว่า “หัวหน้าเจียงไม่ใจกว้างเลย เจ้าเชิญหัวหน้าอิงไปร่วมดื่มโดยไม่มีข้า พี่หู่ ได้อย่างไร? เจ้าพลาดแล้ว”
เจียงอี้ป้องมือและพูดอย่างสงบว่า “หากพี่หูจะให้เกียรติข้า ข้าจะเชิญเจ้าด้วยอย่างแน่นอน”
“ฮ่าฮ่า!”
เสือยิ้มหัวเราะออกมาขณะที่ร่างอ้วนๆของเขาสั่นไปด้วย เขาโบกมือและพูดว่า “พี่น้อง เรากลับกันเถอะ หัวหน้าเจียงกำลังจะจัดงานเลี้ยงพวกเราเมื่อเขากลับเข้าเมือง”
ด้วยเหตุนี้ หัวหน้าอีกคนก็จากไปแล้ว มันยิ่งทำให้สีหน้าของพี่เหิงยิ่งแย่ลงไปอีก เขากวาดมองไปที่หัวหน้าเฮยผู้ที่ดูราวกับยักษา เขาคงจะไม่ถอยให้เจียงอี้ในตอนนี้หรอกใช่ไหม?
แต่ใครจะไปรู้….ใบหน้าของหัวหน้าเฮยเผยรอยยิ้มออกมาขณะที่เขาป้องกำปั้นและพูดว่า “หัวหน้าเจียง เมื่อเจ้ากลับไปที่เมืองแล้วเชิญตาแก่เฮยผู้นี้ด้วยล่ะ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนได้หรือไม่?”
เมื่อผู้อื่นเคารพเจียงอี้ เขาก็มักจะให้ความเคารพกลับไปเสมอ เจียงอี้ยิ้มอย่างจริงใจและป้องมือตอบกลับไปว่า “หัวหน้าเฮย เชิญเลย”
คนมากกว่าครึ่งของหนึ่งร้อยจากไปแล้วและเหลือเพียงแค่พี่เหิงและคนของเขาอีกยี่สิบคนเท่านั้น ใบหน้าของพี่เหิงมืดมนอย่างสมบูรณ์ขณะที่เขาสาปแช่งอยู่ในใจ.Aileen-novel.
แต่เขาโต้เถียงกับเจียงอี้ไปแล้วและเขาทำมันต่อหน้าผู้ใต้บัญชาของเขาและทุกคนที่ภูเขาอัสนีไปแล้ว จะให้เขาถอนตัวได้อย่างไร? หากเขาหนีไปในคราวนี้ เขาจะอยู่ในเมืองต่อไปได้อย่างไร?
สู้?
เขารู้ว่าความแข็งแกร่งของเขาอยู่ในระดับเดียวกับหัวหน้าหลง และหากเจียงอี้สังหารหัวหน้าหลงได้ เช่นนั้นเจียงอี้ก็สังหารเขาได้เช่นกัน จะแข่งในด้านจำนวนคน? เจียงอี้เองก็มีผู้ใต้บัญชาอีกสิบเจ็ดคนเช่นกัน
ผู้ใต้บัญชาของพี่เหิงต่างพากันตื่นตระหนก หากเกิดการสู้กันขึ้นมา พวกเขาอาจตกตายอยู่ที่นี่ พวกเขาเป็นลูกน้องของพี่เหิงก็จริง แต่พวกเขาไม่ใช่ทาสวิญญาณของเขาเสียหน่อย หากให้พูดตามตรงแล้ว พวกเขาถูกบังคับให้เข้าร่วมกับกองกำลังทั้งสิบด้วยซ้ำ และพี่เหิงผู้นี้ก็อารมณ์ร้ายและพวกเขาคงไม่สนใจชีวิตหรือความตายของพี่เหิงได้
บรรยากาศนั้นเงียบสนิท สายตามากมายจับจ้องไปยังเจียงอี้และพี่เหิงขณะที่พวกเขารอคอยการตัดสินใจสุดท้ายอยู่
เจียงอี้มองพี่เหิงด้วยสายตาที่ลุกโชน และเมื่อเจียงอี้เห็นว่าพี่เหิงไม่พูดอะไรและไม่ได้มีเจตนาที่จะลงมือ เขาจึงพูดอย่างรีบร้อนว่า “เจ้าผีเน่า ไม่ใช่ว่าเจ้าจะสอนให้ข้ารู้จักกาลเทศะหรือไง? ไปสู้กันในสันเขาอัสนีสิ ข้าเกรงว่าหากข้าสู้ที่นี่ ผู้ใต้บัญชาของเราทั้งหมดจะตกตายไปกันหมด…”
เจียงอี้บินไปยังสันเขาอัสนีทางด้านซ้ายอย่างเฉื่อยชาขณะที่เขามองหน้าพี่เหิงด้วยสีหน้าที่ยั่วยุ
ผู้เชี่ยวชาญที่เป็นลูกน้องของเจียงอี้เองก็มองไปที่ผู้ใต้บัญชาของพี่เหิงขณะที่ผู้ใต้บัญชาต่างก็รู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจ หากผู้ที่อ่อนแอแสร้งทำเป็นแข็งแกร่ง พวกเขาจะดูเป็นคนโง่เง่า แต่เมื่อเห็นว่าเจียงอี้หยิ่งผยองเพียงใด มันก็เห็นได้ชัดว่าเขามั่นใจสิบส่วนเลยว่าจะสังหารพี่เหิงได้
เมื่อพี่เหิงได้ยินเจียงอี้เรียกเขาว่าผีเน่า เขาก็โกรธมาก แต่เมื่อเห็นท่าทีที่ดูมั่นใจของเจียงอี้และสายตาของผู้ใต้บัญชาทั้งสิบเจ็ดคน เขาก็ตื่นตระหนกขึ้นมา
เขาไม่ได้เกลียดชังอะไรต่อเจียงอี้และไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิต ซึ่งการสังหารเจียงอี้ก็ไม่ได้ก่อผลอะไรต่อเขา แต่เขาอาจจะถูกเจียงอี้สังหารได้
ดังนั้นเขาจึงกัดฟันแน่นและพูดว่า “เหอะเหอะ พี่เหิงมีเรื่องอื่นที่จะต้องไปทำและจะไม่ชำระความกับเด็กอย่างเจ้าหรอก ข้าจะกลับไปสะสางเรื่องนี้กับเจ้า กลับกันเถอะ!”
พี่เหิงเกิดความกังวลใจ คนของเขาต่างถอนหายใจอย่างโล่งอกและกำลังเตรียมจะกลับไปพร้อมกับหัวหน้าของเขา แต่เจียงอี้ก็ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “เดี๋ยวก่อน ในเมื่อเจ้าไม่กล้าสอนกาลเทศะแก่ข้า เช่นนั้นข้าจะเป็นคนสอนเจ้าเอง คุกเข่าให้หัวหน้าคนนี้ซะ และเรื่องของวันนี้จะถูกปัดทิ้งไป ไม่เช่นนั้น พวกเจ้าทุกคน….ก็จงตายซะ!”