เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 682 หากเราไม่ได้พบกัน มันคงจะดีกว่า!
- Home
- เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
- บทที่ 682 หากเราไม่ได้พบกัน มันคงจะดีกว่า!
เจียงอี้ไม่เคยเป็นคนหาเรื่องใครก่อน เขาไม่ใช่คนเช่นนั้น
แต่หากเขาอยากจะอยู่ในเมืองอย่างสงบ เขาจะต้องสร้างเกราะขึ้นมาด้วยความสามารถในการสู้ของเขา เขาจะต้องกลายเป็นหัวหน้าคนหนึ่งในเกาะแห่งบาปที่ซึ่งผู้แข็งแกร่งเป็นผู้ปกครองสูงสุด และไม่มีกฎหมายให้พูดคุยกัน หากคนผู้หนึ่งไม่แสดงอำนาจออกมา คนอื่นๆก็จะคิดว่าคนผู้นั้นเหลาะแหละและเข้ามาหาเรื่องไม่จบไม่สิ้น
เจียงอี้จึงสังหารป้าเตา, หัวหน้าหลง, หลงเฉอและคนอื่นๆไป และปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับพูดจาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นเพื่อให้ผู้คนทั้งเมืองได้ประจักษ์ถึงความแข็งแกร่งของเขา เขาต้องการให้เมืองนี้เห็นผลลัพธ์ของการมายั่วยุเขา!
ดังนั้น ตอนนี้เขาจึงต้องการจะสั่งสอนกาลเทศะให้พี่เหิงได้รู้!
เจียงอี้ไม่ได้พยายามจะทำให้พี่เหิงอับอายขายขี้หน้า แต่เขากำลังทำมันไว้เตือนผู้ที่กล้ามายั่วยุเขาในอนาคตว่าหากคนเหล่านั้นอยากมีปัญหากับเขา พวกเขาจะต้องคิดให้ดีก่อน
เมื่อพี่เหิงได้ยินสิ่งที่เจียงอี้พูดก็ถึงกลับเดือดดาลทันที เขามองไปที่เจียงอี้ราวกับอสรพิษและไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียวพร้อมกับจ้องเจียงอี้ราวกับจะถลกหนังเขาออกมา
เจียงอี้มองด้วยท่าทีเฉยเมย ส่วนผู้ใต้บัญชาของพี่เหิงนั้น บางคนโกรธมาก บางคนมีท่าทางโกรธเกรี้ยว บางคนก้มหน้าก้มตาลงไปด้วยความหวาดกลัว และบางคนก็กำลังสาปแช่งอยู่ในใจ และคิดว่าหัวหน้าเจียงผู้นี้เอาแต่ใจเกินไปหรือเปล่า?
ในทางตรงข้าม ฝั่งผู้ใต้บัญชาของเจียงอี้ทั้งสิบเจ็ดคนกลับมีแววตาที่ลุกโชน ผู้บัญชาการคนก่อนของพวกเขาเคยทำอะไรที่แน่วแน่เช่นนี้มาก่อนหรือไม่? เมื่อเจ้านายของพวกเขาเป็นที่น่าเกรงกลัวต่อคนอื่น พวกเขาที่เป็นลูกน้องก็จะสามารถยืดหัวและหลังให้ผงาดขึ้นมาได้
เจียงอี้รออยู่ครู่หนึ่งและเมื่อเห็นว่าพี่เหิงไม่ได้จะพูดอะไร เขาก็ขมวดคิ้วและกวาดตามองไปที่ผู้ใต้บัญชาพี่เหิงอย่างเย็นชาและพูดว่า “เรื่องในวันนี้มันเป็นเรื่องของข้ากับเจ้าผีเน่านี่ หากพวกเจ้าไม่ได้อยากมีเอี่ยวด้วยก็ควรถอยไปห่างๆซะ ไม่เช่นนั้นก็อย่าโทษข้าที่ทำพวกเจ้าตกตายอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน”
เมื่อเจียงอี้พูดจบเขาก็มองไปข้างหลังเขา ซึ่งมันทำให้ผู้ใต้บัญชาทั้งสิบเจ็ดคนสั่นสะท้านและรีบถอยร่นออกไปด้วยความเร็วสูง เจียงอี้กำลังจะเตรียมสู้แล้ว หากพวกเขาไม่ถอยไป มันไม่ใช่ว่าพวกเขากำลังรอความตายอยู่หรอกหรือ?
“เอ่อ….”
เมื่อคนของเจียงอี้ถอยออกไป ดวงตาของคนของพี่เหิงก็หดลง พวกเขาบางคนถอยห่างออกไปโดยสัญชาตญาณ แต่เมื่อพี่เหิงกวาดตามองก็ไม่มีผู้ใดกล้าขยับเขยื้อนเลย พี่เหิงเป็นหัวหน้ามาเจ็ดปีแล้ว และความกลัวของทุกคนที่มีต่อเขามันถูกฝังรากลึกลงไปในกระดูกดำแล้ว
พี่เหิงหันไปจ้องเจียงอี้เขม็ง เขากระตุกปากแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “หัวหน้าเจียง มันเป็นการดีกว่าที่จะปล่อยเรื่องที่เกิดขึ้นไป และมันจะดีกว่าเมื่อเราได้พบกันอีกในภายหน้า ไม่ใช่รึ?”
พี่เหิงกัดฟันพูดมันออกมา หากเขาพูดเช่นนี้แล้ว นั่นแปลว่าเขายอมก้มหัวแล้ว และเขาก็หวังว่าเจียงอี้จะใจกว้างพอที่จะไม่คิดบัญชีและปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป
เจียงอี้กวักมือของเขาและพูดด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้าง “หากเราไม่ได้พบกัน มันคงจะดีกว่า! เจ้าเองก็ไม่มีโอกาสเช่นกัน ตอบข้ามาว่าจะคุกเข่าหรือไม่? ข้าจะให้เวลาเจ้าสิบอึดลมหายใจ”
สิบอึดใจนั้นพอดีกับการหายใจเข้าออกสิบครั้ง เจียงอี้ยื่นคำขาดแล้ว และทันทีที่เขาพูดจบ ดาบมังกรเพลิงก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา เขาหมุนเวียนแก่นแท้พลังของเขาซึ่งทำให้ดาบเปล่งแสงสีแดงออกมาทันที ขณะที่ดาบมังกรเพลิงทั้งสองตัวแหวกว่ายไปมาอย่างเชื่องช้าและรู้สึกราวกับว่าพวกมันพร้อมที่จะโจมตีได้ทุกเมื่อ เกราะเมฆาอัคคีปรากฏขึ้นบนร่างของเจียงอี้ซึ่งทำให้แสงสีแดงเปล่งประกายขึ้นมากกว่าเดิม ตัวเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่น่าตกใจซึ่งทำให้เขาดูเหมือนผู้ที่ไม่มีผู้ใดเทียบเทียม
เขายกดาบมังกรเพลิงขึ้นและค่อยๆบินไปหาพี่เหิง ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังพี่เหิงราวกับใบมีดขณะที่พูดว่า “สิบ, เก้า, แปด, เจ็ด….”
“หัวหน้าเจียงโหดเกินไปแล้ว!”
ลูกน้องทั้งสิบเจ็ดคนมองหน้ากันและคอยชื่นชมอยู่เงียบๆ ทุกย่างก้าวของเขาค่อยๆลดระยะห่างระหว่างเขากับพี่เหิง ขณะที่เขาแสร้งทำเป็นว่าเขาจะใช้ดาบมังกรเพลิงโจมตีแต่จริงๆแล้ว…ยิ่งเขาเข้าใกล้พี่เหิงมากเท่าไหร่ พี่เหิงผู้นี้ก็จะไม่มีโอกาสโต้กลับด้วยซ้ำ
“หก, ห้า….สี่!”.ไอรีนโนเวล.
เสียงของเจียงอี้ยังคงดังก้องอยู่ในขณะที่ดาบมังกรเพลิงสว่างขึ้นมา แม้แต่ไข่มุกวิญญาณเพลิงที่ด้ามดาบก็สว่างขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อเจียงเข้าใกล้มาขึ้น กลิ่นอายของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นในขณะที่พี่เหิงและลูกน้องค่อยๆมีสีหน้าที่แย่กว่าเดิม
ฟรึ่บ! ฟรั่บ!
ทันใดนั้น ผู้ใต้บัญชาสิบคนของพี่เหิงเริ่มบินถอยออกไปขณะที่หวาดกลัวต่อเจียงอี้ พวกเขารู้สึกว่าผู้ที่บินมาที่นี่ไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นสัตว์ร้ายและยังเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีผู้ใดหยุดยั้งได้ซึ่งมันเหมือนกับเขาตั้งใจจะทำลายล้างโลกนี้!
ในทำนองเดียวกัน พี่เหิงและลูกน้องคนอื่นๆก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน เมื่อลูกน้องทั้งสิบคนถอยออกไปแล้ว คนที่เหลือก็เริ่มตื่นตระหนก นอกเหนือจากผู้ใต้บัญชาทั้งสี่คนที่ซื่อสัตย์ต่อพี่เหิงแล้ว อีกหกคนก็พากันถอยไปด้วยความเร็วสูง
พวกเขารู้ดีว่าหากพวกเขาถอยไป พี่เหิงจะแก้แค้นพวกเขาแน่นอน พวกเขาอาจตกตายได้ด้วยซ้ำ แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าถ้าพวกเขาไม่ถอยไปตอนนี้ พวกเขาก็กำลังจะต้องตายเช่นกัน
“สาม, สอง….”
เจียงอี้ยังคงเข้ามาใกล้เรื่อยๆ และระยะห่างของพวกเขาก็เหลือเพียงสามร้อยเมตรแล้ว ลูกน้องที่ซื่อสัตย์ที่สุดทั้งสี่คนของพี่เหิงมีแววตาที่ดุร้ายขณะที่ร่างกายของพวกเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหาร พวกเขาทั้งหมดกำลังรอคำสั่งของพี่เหิงเพื่อเริ่มการต่อสู้นี้
กลิ่นอายของพี่เหิงหลั่งไหลออกมาอย่างสมบูรณ์ขณะที่กระบองหนามของเขาเปล่งประกายสีดำและพร้อมโจมตีแล้ว และเมื่อเจียงอี้ตะโกนออกมาว่า “หนึ่ง!” พี่เหิงก็ตะโกนออกมาว่า “เดี๋ยวก่อน!”
เจียงอี้หยุดอยู่กลางอากาศขณะที่มุมปากของเขาเผยรอยยิ้มที่เย้ยหยันออกมา จากนั้นพี่เหิงก็ค่อยๆคุกเข่าลงไปช้าๆและก้มหัวลง เขากัดฟันพูดว่า “หัวหน้าเจียง ตาแก่เหิงผู้นี้ผิดไปแล้ว เจ้าจะยอมไว้ชีวิตข้าไปในครั้งนี้หรือไม่!”
ฮือฮา!
ความเงียบก่อขึ้นขณะหนึ่งก่อนที่มันจะระเบิดความโกลาหลออกมา ผู้คนนับหมื่นที่ภูเขาอัสนีต่างตกตะลึงกับฉากนี้ หนึ่งในสิบหัวหน้าใหญ่ พี่เหิงกำลังคุกเข่าต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้จริง!
ยอดฝีมือทุกคนย่อมมีความยะโสและหยิ่งผยองขณะที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนยอมตายดีกว่าเป็นทาส
เหล่าหัวหน้าทั้งหลายไม่เพียงแต่ต้องมีความภาคภูมิเท่านั้น แต่พวกเขาต้องมีชื่อเสียงอีกด้วย เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะปกครองต่อไปโดยไม่มีชื่อเสียงได้อย่างไร? พี่เหิงเองก็สามารถก้มหัวให้ได้ แต่เขาจะต้องไม่คุกเข่าเช่นนี้ เมื่อเขาคุกเข่าไปแล้ว เขาจะไม่สามารถรักษาตำแหน่งของเขาในเมืองอัสนีฟ้ากระจ่างได้และผู้ใต้บัญชาของพวกเขาหลายคนจะละทิ้งเขา เมื่อคนเหล่านี้จะติดตามใครสักคน ทำไมพวกเขาจะต้องเลือกติดตามพี่เหิงกันล่ะ? ในเมื่อท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ยังคงเป็นลูกน้องอยู่ดี
พี่เหิงก้มหัวลงขณะที่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและเจ็บปวด เขารู้ดีว่าถ้าเขายังเป็นหัวหน้าต่อไป ในภายภาคหน้าเขาจะไม่สามารถชูคอขึ้นมาในเมืองอัสนีฟ้ากระจ่างได้อีกต่อไป
แต่พี่เหิงก็รู้ดีเช่นกันว่าถ้าเขาไม่คุกเข่าลงตอนนี้ เขาจะต้องตาย ก่อนหน้านี้มันมีคำเตือนของอันตรายถึงตายดังขึ้นในก้นบึ้งของหัวใจเขาอยู่แล้ว แต่มันมีเสียงที่ไพเราะอีกเสียงดังก้องขึ้นในหัวเขา ซึ่งมันเป็นข้อความเสียงของเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานที่ส่งมาว่า “หากเจ้าไม่คุกเข่าลง เจ้าจะต้องตกตายอย่างแน่นอน”
การล้างแค้นของลูกผู้ชายไม่เคยสายเกินไป แม้มันจะผ่านไปอีกกี่สิบปี! ความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรีอาจสำคัญ แต่ชีวิตนั้นมีค่ามากกว่า!
หากไร้ซึ่งชีวิตแล้วเขาจะล้างแค้นได้อย่างไร? เขาจะล้างความอัปยศที่เจียงอี้มอบให้เขาในวันนี้ได้อย่างไร?
พี่เหิงเองก็โตมากับหน้าตาที่อัปลักษณ์ เขาถูกผู้คนเยาะเย้ยและถูกมองว่าแปลกแยกตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นเขาจึงรู้วิธีอดกลั้นซึ่งมันทำให้เขาคุกเข่าลงได้
“อื้ม”
เจียงอี้พยักหน้าอย่างพอใจ เนื่องจากเขาสร้างอำนาจของเขาแล้ว เขาจึงไม่ต้องการจะลงมืออีก ดังนั้นเขาจึงโบกมือและพูดว่า “เมื่อเจ้ารู้กาลเทศะแล้ว ข้าก็จะไม่คิดบัญชีกับเจ้าแล้วกัน กลับไปเถอะ”
“ขอบคุณหัวหน้าเจียง!”
พี่เหิงก้มหน้าลงคำนับเจียงอี้อีกครั้งก่อนที่จะลุกขึ้นและบินกลับไปที่เมือง ลูกน้องผู้ภักดีทั้งสี่ที่อยู่ข้างหลังพี่เหิงเหลือบมองเจียงอี้ก่อนที่จะตามพี่เหิงกลับไป และผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนอีกสิบหกคนที่ถอยออกไปไม่ได้ตามพี่เหิงไป และหลังจากที่พี่เหิงจากไปแล้ว พวกเขาทั้งหมดก็บินไปหาเจียงอี้และคุกเข่าข้างหนึ่งพร้อมกับตะโกนว่า “หัวหน้าเจียง”
“หัวหน้าเจียง!”
ผู้คนจากภูเขาอัสนีทุกคนก็คุกเข่าลงและส่งเสียงออกมาพร้อมกัน เมื่อเสียงตะโกนของคนนับหมื่นถูกเปล่งออกมาพร้อมกัน มันก็ดังก้องจนท้องฟ้าสะเทือนและดังไปทั่วพื้นที่นั้นอยู่นาน