เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 689 ข้า หัวหน้าเจียงผู้นี้ก็ยังไม่มั่นใจในเรื่องนั้นนัก!
- Home
- เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
- บทที่ 689 ข้า หัวหน้าเจียงผู้นี้ก็ยังไม่มั่นใจในเรื่องนั้นนัก!
ฟรึ่บ! ฟรั่บ! พรึ่บ!
มีเงาที่วิ่งผ่านไปราวกับสุนัขจิ้งจอกแล่นผ่านสันเขาอัสนีไป เขาไม่ได้บินแต่กลับวิ่งไปบนภูเขาอย่างเงียบๆและซ่อนตัวหลังก้อนหินยักษ์ด้วยความเร็วที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นนอกจากจะมีคนตั้งใจมอง
ตูม! ตูม!
มีเสียงระเบิดดังมาจากด้านหน้าซึ่งทำให้ดวงตาที่ใหญ่ราวกับวัวของพี่เหิงเบิกกว้างขึ้นอย่างตื่นตา เขาไม่ได้มีการป้องกันที่ทรงพลังเหมือนหัวหน้าเหลิ่งและไม่มีภูมิคุ้มกันเปลวเพลิงแบบเจียงอี้ด้วย ดังนั้นเขาจึงต้องคอยหลีกเลี่ยงเปลวเพลิงอัสนีขณะที่ค่อยๆมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ นอกจากนี้เขายังไม่กล้าบินในที่แจ้งและแอบย่องมาแทน ดังนั้นเขาจึงมาถึงที่นี่หลังจากที่เจียงอี้และหัวหน้าเหลิ่งได้แลกหมัดกันหลายครั้งแล้ว
“ตาย ตายซะ ไอ้หมาป่าเดียวดาย ไอ้หมาสารเลว ข้าจะต้องบดเจ้าเป็นเนื้อสับให้จงได้!”
พี่เหิงวิ่งไปข้างหน้าราวกับสุนัขจิ้งจอก อุณหภูมิด้านหน้าอาจร้อนขึ้นมาก แต่เขาไม่ได้สนใจมันเลย และในตอนนี้หัวหน้าเหลิ่งกำลังคอยปราบเจียงอี้ไว้อยู่ มันจึงเป็นเวลาที่เหมาะที่สุดที่เขาจะลอบโจมตี และเจียงอี้จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!
พี่เหิงตาบอดไปเพราะความเกลียดชังแล้ว มันไม่สำคัญว่าเจียงอี้จะทำให้เขาอับอายหรือเปล่า แต่ผู้ใต้บัญชาของเขามากกว่าสิบสองคนแปรพักตร์ไปหาเจียงอี้ ซึ่งเขาไม่สามารถอดกลั้นกับเรื่องนี้ได้ ดังนั้นเขาจึงขอให้หัวหน้าเหลิ่งช่วยกู้ชื่อเสียงของเขากลับมา
ตอนนี้หัวหน้าเหลิ่งกำลังสู้อยู่ และเขาคงไม่มีทางพลาดโอกาสที่ดีเช่นนี้ไป พี่เหิงจึงเลียบไปตามสันเขาอัสนีอย่างไร้ยางอายเพื่อจะได้สังหารเจียงอี้ พร้อมกับชำระแค้นและความอัปยศอดสูที่เจียงอี้มอบให้เขา
ตูม! ตูม! ตูม!
เสียงระเบิดค่อยๆใกล้เข้ามาและหัวใจของพี่เหิงก็เต้นถี่ขึ้น เขาไม่กล้าแผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาและเพียงแค่มองรอบๆด้วยตาเปล่าขณะที่ค่อยๆวิ่งไปตามเสียง
“เอ๊ะ?”
ทันใดนั้นเอง!
เขาก็เห็นว่าการระเบิดหยุดลงแล้ว ดวงตาของเขาเปล่งประกายไปด้วยความปิติยินดีขณะที่เขาคิดว่า…เจียงอี้คงถูกหัวหน้าเหลิ่งสังหารแล้วใช่ไหมนะ?
ก่อนที่พี่เหิงจะยิ้มได้จนสุด ร่างร่างหนึ่งก็ค่อยๆบินมาซึ่งตามมาด้วยท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยมังกรเพลิง และร่างอีกร่างก็ส่องแสงระยิบระยับอยู่กลางอากาศตลอดเวลา
“มัน มัน….เป็นไปได้ยังไงกัน?”
เขาค่อยๆเพ่งมองตรงนั้นและเห็นว่าคนที่กำลังหนีอยู่ทางด้านหน้านั่นเป็นหัวหน้าเหลิ่งจริงๆหรือ? แล้วคนที่ย้ายร่างฉับพลันอยู่ข้างหลังคือเจียงอี้จริงๆ? ดูจากท่าทีของหัวหน้าเหลิ่งแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกสลดใจอย่างผิดปกติ? ทั้งผมและเสื้อผ้าของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ
“นี่มันไม่ถูกต้อง!”
พี่เหิงตื่นตกใจเมื่อทั้งสองคนกำลังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็วและอุณหภูมิรอบๆก็เพิ่มขึ้นมาก มังกรเพลิงที่เจียงอี้ปลดปล่อยออกมานั้นส่องแสงสีฟ้าและมันคือกลุ่มก้อนของเปลวเพลิงอัสนีจริงๆ
“หนี!”
พี่เหิงตกใจมาก ตอนนี้เขาไม่ได้คิดเรื่องอื่นใดเลยและเพียงแค่อยากจะหนีไปให้ไกลที่สุดในตอนนี้ เขาอยากจะหนีกลับไปยังเมืองอัสนีฟ้ากระจ่างและออกจากเกาะอัสนีฟ้ากระจ่างแล้ว เขาไม่อยากจะพบเจอเจียงอี้อีกต่อไป ตราบใดที่เขาหนีไปได้ เขาจะยังลืมเรื่องการล้างแค้นไปได้ด้วยซ้ำ
แต่น่าเสียดายที่ความเร็วในการตอบสนองของพี่เหิงช้าเกินไป เขาพยายามแอบหนีไปอย่างเงียบๆและทำให้ความเร็วของเขาช้าลงเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อคลื่นความร้อนแผ่ออกมา เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องถ่ายโอนแก่นแท้พลังจำนวนมหาศาลเข้าไปในโล่ศักดิ์สิทธิ์ แต่คลื่นความร้อนก็ยังคงแทรกซึมผ่านโล่ศักดิ์สิทธิ์เข้าไปและทำให้ร่างกายของเขารู้สึกร้อนฉ่าและทำให้แขนขาของเขาไร้กำลังจึงทำให้ความเร็วของเขาช้าลงไปอีก
ในตอนนั้นเองเขาก็นึกขึ้นได้และต้องการทะยานขึ้นไปบนฟ้า ซึ่งมันทำให้เจียงอี้เห็นเขาแต่ไกล จากนั้นร่างของเจียงอี้ก็หายลับไปในทันทีและปรากฏขึ้นข้างๆพี่เหิงหนึ่งกิโลเมตร จากนั้นเจียงอี้ก็ตวัดดาบมังกรเพลิงและส่งมังกรเพลิงออกมาพร้อมกับเปลวเพลิงอัสนีทันที
เมื่อสัมผัสได้ว่าห้วงอากาศกระเพื่อมจากด้านหลัง พี่เหิงก็หันกลับไปและบังเอิญเห็นร่างของเจียงอี้ปรากฏขึ้นมา เขาร้องออกมาอย่างสิ้นหวังทันที “ไม่นะ….เจ้าฆ่าข้าไม่ได้นะ อย่าฆ่าข้าเลย หัวหน้าเจียง ตราบใดที่เจ้าไม่ฆ่าข้า ข้ายินดีที่จะทำทุกสิ่งเพื่อเจ้า!”
เจียงอี้จ้องไปที่พี่เหิงและพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่แยแส “ข้าไม่อยากได้มัน ข้าว่ามันน่าสะอิดสะเอียนนักถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นสุนัขเฝ้าบ้านให้ข้า ตายซะ!”
จี๊! จี๊!
ขณะที่มังกรเพลิงส่งเสียงออกมา โล่ศักดิ์สิทธิ์ของพี่เหิงก็แตกสลายไปในทันทีและร่างของเขาก็ถูกแผดเผาไปด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า พี่เหิงกลายเป็นชายผู้อยู่ในกองเพลิงไปในขณะที่เขาแด้ดิ้นอยู่กลางอากาศและกรีดร้องออกมาเรื่อยๆอย่างน่าสังเวชและมันแหลมคมจนสะท้อนไปทั่วถิ่นรกร้างนั้น
“น้องเหิง?”
หัวหน้าเหลิ่งที่บินอยู่อีกมุมหนึ่งก็บินเป๋ทันทีและตระหนักได้ว่าเจียงอี้ไม่ได้ไล่ตามเขามาและเขายังได้ยินเสียงกรีดร้องที่น่าสังเวช ใบหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไปทันทีขณะที่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ หากพี่เหิงกรีดร้องดังเช่นนี้มันก็ไม่จำเป็นต้องบอกว่าเขาถูกเผาทั้งเป็น
“เหอ…”
ระยะทางจากที่นี่กับเมืองอัสนีฟ้ากระจ่างห่างกันราวๆห้าสิบกิโลเมตร แต่สำหรับคนที่มีความแข็งแกร่งเท่าพี่เหิงที่กรีดร้องออกมาด้วยเสียงทั้งหมดของเขาก่อนจะตาย แม้แต่ผู้คนที่อยู่ในเมืองก็ยังได้ยินเสียงนี้อย่างชัดเจน คนปกติจะไม่ได้ยินว่ามันเป็นเสียงของใคร แต่กับหัวหน้าหลี่, หัวหน้าอิงและผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนนั้นรับรู้ได้ และพวกเขาต่างมองหน้ากันและเริ่มเปลี่ยนสีหน้าไป
พี่เหิงตายแล้ว!
หัวหน้าเหลิ่งและเจียงอี้ยังคงสู้กันยู่ แต่พี่เหิงที่แอบตามไปที่นั่นกลับถูกฆ่าตายจริงๆ? เจียงอี้ยังสังหารพี่เหิงได้ภายใต้แรงกดดันอันมหาศาลของหัวหน้าเหลิ่ง?.Aileen-novel.
ก่อนหน้านี้ ไม่มีใครคาดหวังกับเจียงอี้เอาไว้สูงนัก แน่นอนว่าไม่มีใครสงสัยเลยว่าหัวหน้าเหลิ่งอาจแพ้ได้ แต่ตอนนี้พวกเขาเปลี่ยนความคิดและประทับใจในเจียงอี้มากขึ้นแล้ว
“หัวหน้าเจียงแข็งแกร่งเกินไป!”
ดวงตาของหนิวเติงและคนอื่นๆลุกโชนเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงพี่เหิงกำลังกรีดร้องอยู่ พวกเขาทั้งหมดก็ภาวนาอยู่เงียบๆให้เจียงอี้รอดมาให้ได้และหากเจียงอี้รอดพ้นมาได้ สถานะของพวกเขาในเมืองจะสูงขึ้นมากในภายภาคหน้า
โดยเฉพาะตอนที่เจียงอี้พูดขึ้นมาว่า “ในฐานะหัวหน้า หากข้ายังไม่แม้แต่จะปกป้องลูกน้องได้ แล้วข้าจะเป็นหัวหน้าไปเพื่ออะไร? ลูกน้องข้าจะติดตามข้าไปเพื่ออะไร?” คำพูดนี้มันทำให้ใจของทุกคนมุ่งมั่นที่จะรับใช้เจียงอี้มากยิ่งขึ้น
จี๊! จี๊!
เปลวเพลิงของการต่อสู้ที่สันเขาอัสนียังคงลุกโชน หลังจากที่เจียงอี้สังหารพี่เหิงไปแล้ว เขาก็ยังคงมุ่งไปหาหัวหน้าเหลิ่งอย่างบ้าคลั่งโดยไม่แม้แต่จะฉกแหวนของพี่เหิงก่อนเลย เจียงอี้หนักแน่นมากว่าเขาจะต้องไม่หยุดหรือหนีและต้องโจมตีต่อไป ซึ่งมันคือการป้องกันที่ดีที่สุดของเขาแล้ว เปลวเพลิงอัสนีในไข่มุกวิญญาณเพลิงเหลืออยู่มากเท่าไหร่? เจียงอี้ไม่ได้สนใจและตัดสินใจที่จะสู้จนวินาทีสุดท้ายเท่านั้น
เดิมทีหัวหน้าเหลิ่งอยากจะเห็นว่าพี่เหิงตายและหรือไม่ แต่เมื่อเขาหยุดอยู่กลางอากาศ เจียงอี้ก็ไล่ตามมาอีกครั้งและทำให้ร่นระยะห่างของพวกเขาด้วยการย้ายร่างฉับพลันอย่างบ้าคลั่ง หัวหน้าเหลิ่งสบถออกมาไม่กี่คำก่อนที่จะล่าถอยต่อไป
สิบห้านาที, สามสิบนาที….หนึ่งชั่วโมง!
เจียงอี้ยังคงโจมตีต่อไปเรื่อยๆและดูเหมือนว่าเปลวเพลิงอัสนีของเขาจะไร้ขีดจำกัด เขาไม่ได้หยุดเลยแม้แต่ครู่เดียวและย้ายร่างฉับพลันไปเหมือนผีในขณะที่จะคอยย้ายไปด้านบน ด้านล่าง ทางซ้าย ทางขวา หรือข้างหลังหัวหน้าเหลิ่งซึ่งทำให้หัวหน้าเหลิ่งทำอะไรไม่ได้ ด้านหัวหน้าเหลิ่งเองก็ไม่สามารถแม้แต่จะโจมตีได้ด้วยซ้ำเนื่องจากแก่นแท้พลังของเขากำลังถูกใช้ไปอย่างรวดเร็วและต้องลดความเร็วลงด้วยซ้ำ ไม่เช่นนั้น หากโล่ศักดิ์สิทธิ์ของเขาแตกสลายไป เขาก็คงจบเห่เหมือนกัน
“เปลวเพลิงอัสนีของเด็กนี่ไร้ขีดจำกัดหรือ? หรือว่าบางทีนี่อาจจะไม่ใช่เปลวเพลิงอัสนีแต่ที่จริงแล้วมันคือ….รูปแบบเต๋าอัคคีธาตุ? เขาเข้าถึงรูปแบบเต๋าอัคคีธาตุระดับสูงแต่แก่นแท้พลังยังไม่ถึงระดับนั้นหรือ?”
เมื่อหัวหน้าเหลิ่งนึกถึงความเป็นไปได้ เขาก็ขนลุกไปทั่วร่าง หากเปลวเพลิงอัสนีของเจียงไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ เขาจะทนได้เพียงแค่สองถึงสี่ชั่วโมงเท่านั้น และหากโล่ศักดิ์สิทธิ์ของเขาแตกสลายไปก่อน เขาจะอยู่ในช่วงที่เลวร้ายอย่างแท้จริง
เจียงอี้ยังคงโจมตีต่อโดยไม่พูดอะไร หลังจากผ่านไปสิบห้านาที สีหน้าของหัวหน้าเหลิ่งก็แน่วแน่ขึ้นขณะที่ตะโกนว่า “หัวหน้าเจียง พอกันเถอะ! น้องเหิงเองก็ตายไปแล้ว และมันไม่คุ้มค่าที่ข้าจะยืนหยัดเพื่อเขาอีกต่อไป เราจบการต่อสู้ในครานี้โดยเสมอกันและในภายหน้าเราก็จะไม่ยุ่งเรื่องของกันและกันดีไหม?”
หัวหน้าเหลิ่งต้องการสงบศึก?
เจียงอี้หยุดไปชั่วขณะและเพิ่มการโจมตีให้รุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยแสงของกระแสไฟฟ้าขณะที่ร่างของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่น่าสะพรึง เขาตะโกนกลับไปอย่างเย็นชาว่า “หัวหน้าเหลิ่ง ตั้งแต่ที่เราสู้กัน เราก็ต้องหาถึงผลลัพธ์นั้น หากไม่พูดถึงเรื่องความตายของท่านกับข้า อย่างน้อย ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ไปใช่ไหม? การโจมตีและการป้องกันของหัวหน้าเหลิ่งนั้นร้ายกาจมาก แต่…ข้า หัวหน้าเจียงผู้นี้ก็ยังไม่มั่นใจในเรื่องนั้นนัก!”