เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 719 กำจัดมัน!
เทือกเขาวายุทมิฬใหญ่มากและมีรัศมีราวๆแสนกิโลเมตร มีหุบเหวอยู่ที่นี่มากมายและภูมิประเทศของมันก็แปลก นอกจากนี้ยังมีหินที่พิเศษมากในสถานที่แห่งนี้ คือหินเมฆาทมิฬ
หินเมฆาทมิฬไม่ใช่หินมีค่า แต่มันเป็นหนึ่งในวัสดุของการผลิตสิ่งประดิษฐ์ ดังนั้นการครอบครองเทือกเขาวายุทมิฬจะทำให้ขุดหินเมฆาทมิฬเพื่อหาศิลาสวรรค์ได้เรื่อยๆ การที่กองทัพวายุทมิฬครอบครองเทือกเขานี้ได้มันก็บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของพวกเขาแล้ว
“เอ๊ะ? นั่นหมอกหรือ?”
หลังจากที่เจียงอี้เข้าไปในเทือกเขาวายุทมิฬ เขาก็ไม่ได้บินขึ้นไปบนฟ้าและวิ่งไปใกล้ๆเทือกเขาแทน แต่หลังจากที่เข้าไปข้างในไม่กี่ร้อยกิโลเมตรมันก็มีหมอกหนาปรากฏขึ้นด้านหน้า ก่อนหน้านี้ที่เขาใช้ญาณศักดิ์สิทธิ์ตรวจสอบดูเขาไม่เจอหมอกเลย มันจึงทำให้เขาค่อนข้างประหลาดใจ
“เปิดใช้งานค่ายกลลวงตาระดับสูง? เหมือนว่ากองทัพวายุทมิฬจะรู้ว่าข้ามาที่นี่แล้วสินะ”
เจียงอี้คร่ำครวญเล็กน้อยและตัดสินใจที่จะไม่ลอบเข้าไปพร้อมกับทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า เมื่อเขาอยู่บนท้องฟ้า เกราะเมฆาอัคคีก็ปรากฏขึ้นมาขณะที่เขาใช้สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์ตรวจสอบพื้นที่เหล่านั้น จากนั้นเขาก็เพิ่มความเร็วขึ้นหลายเท่าและบินเข้าไปในเทือกเขาลึก
ฟรึ่บ!
หลังจากที่เพิ่มความเร็วแล้ว เขาก็เป็นเหมือนสายฟ้าสีแดงที่ทะลวงผ่านหมอกสีขาวไป เขาใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีในการบินเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขา
เมื่อเข้าไปข้างในแล้ว หมอกก็หนาขึ้นและเจียงอี้ก็หยุดอยู่กลางอากาศ
เขาไม่เห็นว่าเหล่ากองทัพวายุทมิฬอยู่ที่ใดแต่เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสังหารบางๆ หากเขาไม่ได้เข้าสู่สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์เขาก็คงสัมผัสกลิ่นอายไม่ได้เลย
“ข้าคือหมาป่าเดียวดายแห่งเมืองอัสนีฟ้ากระจ่าง ข้ามาตามคำขอของเจ้าแล้ว”
เขาออกจากสภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์และตรวจสอบบริเวณรอบๆด้วยความเร็วสูง จากนั้นเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “ผู้บัญชาการกองทัพวายุทมิฬโปรดออกมาพบข้าด้วย!”
เสียงของเขาไม่ได้ดังหรือเบาไปแต่ที่นั่นมีเพียงแต่ความเงียบงัน ดังนั้นเสียงของเจียงอี้จึงก้องไปไกลมาก
จี๊! จี๊!
มีแสงสีขาวสว่างขึ้นจากด้านล่างและหมอกสีขาวก็จางลงไปขณะที่เขาได้ยินเสียงอากาศที่ถูกทะลวงจากบริเวณรอบๆ ดวงตาของเจียงอี้เปล่งประกายเย็นยะเยือกออกมา เขาไม่จำเป็นต้องมองก็รู้ว่ามีจอมยุทธอย่างน้อยหลายพันคนที่บินออกมาจากหมอกขาวและล้อมเขาเอาไว้
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เสียงหัวเราะดังมาจากด้านล่างขณะที่คนนับร้อยทะยานขึ้นมา พวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนที่สวมชุดเกราะสีดำซึ่งบินขึ้นมาพร้อมกับทหารหลายร้อยคน
เมื่อมองผ่านหมอกขาวที่ค่อยๆจางลงไป เจียงอี้จ้องมองไปยังผู้ที่หัวเราะออกมาซึ่งเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนระดับกลาง ร่างของเขาถูกหุ้มไว้ด้วยเกราะสีดำ แม้แต่หัวของเขาก็ยังมีหมวกทหารซึ่งมองเห็นเพียงดวงตาอยู่ลางๆ ซึ่งดวงตาของเขาน่าดึงดูดอย่างลึกลับ
“หืม? นี่เขาเป็นผู้ฝึกฝนดวงจิตวิญญาณจริงหรือ?”
ดวงจิตวิญญาณของคนผู้นี้ทรงพลังนักและดวงตาของเขาก็สามารถทำให้คนตกอยู่ในภวังค์ได้ โชคดีที่ดวงจิตวิญญาณของเจียงอี้ไม่ได้อ่อนแอ ไม่เช่นนั้นเขาก็คงจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาตายได้อย่างไร
แต่ในเวลานี้ เขาก็ทำเป็นไม่ได้ตื่นจากภวังค์ทันทีและทำเหมือนสายตาของเขาก็ยังคงถูกดึงดูดอยู่ เจียงอี้รออยู่นานกว่าสิบอึดใจก่อนที่จะแสร้งทำเป็นตื่นจากภวังค์พร้อมเผยสีหน้าที่ตกตะลึง
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ยอดฝีมือด้านดวงจิตวิญญาณฝ่ายศัตรูหัวเราะออกมาดังกว่าเดิมขณะที่เขาจ้องไปยังเจียงอี้และพูดว่า “ข้าคือผู้บัญชาการกองทัพวายุทมิฬ นามว่ากุ่ยอิ่ง หมาป่าเดียวดาย เจ้าค่อนข้างมาเร็วดีนี่? เจ้านำศิลาสวรรค์ร้อยล้านก้อนมาด้วยหรือไม่?” [ต้องขออภัยด้วยค่ะ มีการเปลี่ยนจำนวนของศิลาสวรรค์ค่ะ]
สีหน้าของเจียงอี้สงบนิ่งขณะที่พูดว่า “กุ่ยอิ่ง ข้าเป็นเพียงผู้น้อยที่พยายามหาเลี้ยงชีพในเมืองอัสนีฟ้ากระจ่าง ข้าเพิ่งจะได้ศิลาสวรรค์ไม่กี่ล้านก้อนมาในแต่ละปี ข้าคงไม่สามารถให้ศิลาสวรรค์ร้อยล้านก้อนแก่เจ้าได้แม้ว่าเจ้าจะฉีกข้าออกเป็นชิ้นๆก็ตาม!”
“เหอะ เหอะ!”
กุ่ยอิ่งเย้ยหยันและพูดว่า “หมาป่าเดียวดาย อย่าแสร้งทำเป็นยากจนหน่อยเลย เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรอว่าเจ้าทำอะไร? เมื่อข้าลักพาตัวเจ้าอ้วนนั่นมา ข้าก็คงตรวจสอบข้อมูลเจ้าอย่างละเอียดอยู่แล้ว อย่าพูดอะไรไร้สาระเลย หากเจ้าไม่มีศิลาสวรรค์ ข้าก็จะต้องสังหารตัวประกัน อืม…อันที่จริงแล้ว ชุดเกราะของเจ้าก็ดูดีอยู่นะ ถอดมันออกมาให้ข้าสิ และข้าจะลดศิลาสวรรค์ลงให้เจ้าสิบล้านก้อน”
ตราบใดที่ไม่ได้ตาบอด พวกเขาก็จะเห็นว่าเกราะเมฆาอัคคีนั้นไม่ธรรมดา และกุ่ยอิ่ง มีแผนการบางอย่างที่จะหลอกเอาสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์แฝงจากเจียงอี้ไป แต่เขาก็ไม่ได้บังคับและอาจจะกำลังคิดจะฮุบมันมาหลังจากที่ได้ศิลาสวรรค์ร้อยล้านก้อนแล้ว อย่างไรก็ตาม หากเจียงอี้สามารถรวบรวมเมืองอัสนีฟ้ากระจ่างได้ ความแข็งแกร่งของเขาคงไม่ได้มาจากกลิ่นอายเท่านั้นและผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนที่เจียงอี้พามาด้วยก็ยังไม่เผยตัวออกมา
เจียงอี้ไม่ได้พูดอะไรต่อและเพียงแค่หลับตาเพื่อสำรวจรอบๆ เนื่องจากฝ่ายศัตรูไม่ได้ต้องการจะเริ่มสู้ทันที เช่นนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนและคอยดูสถานการณ์ก่อน
มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนมากกว่าร้อยคนจริงๆ และมีอย่างน้อยร้อยห้าสิบคน อืมมม….ห้าคนเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนระดับกลาง ส่วนคนทางซ้าย ข้างหลัง และ กุ่ยอิ่งนี้มีกลิ่นอายที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าหัวหน้าเหลิ่งเลย ดูเหมือนว่าข้อมูลของลู่ผิงจะถูกต้องแล้ว
หลังจากที่ตรวจสอบทุกอย่างอย่างรอบคอบแล้ว เจียงอี้ก็ตระหนักได้ว่ามีคนกำลังซุ่มโจมตีอยู่ในหมอกขาวใกล้ๆอย่างน้อยหมื่นคน และพวกนั้นทั้งหมดก็มีทั้งผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนที่คอยนำอยู่, ยืนอยู่กลางอากาศพร้อมอาวุธขณะที่แสดงท่าทีเคร่งขรึม พวกเขาดูพร้อมที่จะพุ่งเข้าใส่เจียงอี้และฉีกเขาได้ทุกเมื่อ
“กุ่ยอิ่ง!”
เจียงอี้ลืมตาขึ้นมาและตะโกนว่า “ตัวประกันอยู่ที่ไหน?”
กุ่ยอิ่งไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรและถามกลับว่า “ศิลาสวรรค์ของข้าอยู่ไหน?”
“เมื่อข้าเห็นตัวประกัน เจ้าถึงจะได้เห็นศิลาสวรรค์!”
เจียงอี้ไม่ต้องการพูดพร่ำเพรื่ออีกต่อไป เมื่อกุ่ยอิ่งรู้จักเขาดีอยู่แล้ว มันก็ไม่จำเป็นต้องมีการต่อรองใดๆ หากเขาใช้ศิลาสวรรค์ร้อยล้านก้อนเพื่อแลกตัวเฉียนว่านก้วนกลับมาได้อย่างปลอดภัย เขาก็จะไม่ลังเลแม้แต่น้อย ไอลีนโนเวล
“นำตัวประกันมา!”
กุ่ยอิ่งโบกมือขณะที่ผู้เชี่ยวชาญไม่กี่ร้อยคนบินขึ้นมาก่อนที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนสองคนจะนำตัวเฉียนว่านก้วนออกมาข้างหน้า เจ้าอ้วนไม่ได้ถูกทารุณใดๆ ไม่มีบาดแผลใดๆอยู่บนตัวเขา เขาเพียงถูกทำให้ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้โดยผู้เชี่ยวชาญที่แนบขนาบข้างอยู่สองคน
“ลูกพี่!”
เฉียนว่านก้วนตะโกนออกมาแต่ไกลขณะที่น้ำเสียงของเขาสั่นเครือ แต่เขาก็สงบลงอย่างรวดเร็วและกัดฟันส่งข้อความเสียง “ลูกพี่ ไม่ต้องสนใจข้า เรื่องนี้มันแปลกมากและศิลาสวรรค์คงไม่เพียงพอสำหรับฝูงหมาป่าที่หิวโหยพวกนี้ ข้าคิดว่า…ผู้บงการของพวกมันคือลู่ตี๋! หากเจ้าไม่หนีไปตอนนี้ เจ้าก็จะตายอยู่ที่นี่ด้วย หนีไปเร็วเข้า!”
เจียงอี้เลิกคิ้วและส่งข้อความเสียงกลับอย่างเย็นชา “เจ้าพูดอะไรของเจ้า? หากข้าไม่สนใจเจ้า แล้วจะเป็นใครอีก?”
เขาเมินเฉียนว่านก้วนและมองไปที่กุ่ยอิ่งพร้อมกับพูดว่า “กุ่ยอิ่ง ปล่อยตัวประกันก่อน ข้ามีศิลาสวรรค์แล้ว และเจ้าก็มีผู้คนมากมายอยู่รอบๆ ข้าก็คงจะหนีไปไหนไม่พ้นหรอก”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
กุ่ยอิ่งเผยรอยยิ้มและเย้ยหยันว่า “หมาป่าเดียวดาย เจ้าคิดว่าข้าเป็นเด็กสามขวบหรือไง? ข้าจะไม่ปล่อยตัวประกันไปแม้จะแลกกับศิลาสวรรค์แม้เพียงก้อนเดียว หยุดพูดจาไร้สาระได้แล้ว หากเจ้าไม่มอบศิลาสวรรค์มา พี่น้องของเจ้าจะต้องตายต่อหน้าเจ้านี่แหละ”
เจียงอี้ถามกลับว่า “กุ่ยอิ่ง ข้าเองก็ไม่ใช่เด็กสามขวบ แล้วถ้าเจ้าไม่ปล่อยตัวประกันมาหลังจากที่ข้ามอบศิลาสวรรค์ให้แล้ว และเจ้าอาจจะลงมือสังหารข้าที่นี่ด้วยซ้ำ จะให้ข้าเชื่อเจ้าได้เช่นไร?”
กุ่ยอิ่งกางมือออกและเย้ยหยัน “เจ้าก็ทำอะไรไม่ได้ เจ้าทำได้เพียงเชื่อข้าเท่านั้น…เพราะว่าเจ้าไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว!”
เจียงอี้เงียบและนิ่งไปชั่วขณะก่อนที่จะกัดฟันพูดว่า “งั้นเอาอย่างนี้ ข้าจะให้ศิลาสวรรค์ห้าสิบล้านก้อนก่อน หลังจากที่เจ้าปล่อยตัวประกันแล้ว ข้าจะให้ส่วนที่เหลือกับเจ้า!”
“แปดสิบล้านก้อน ไม่น้อยไปกว่านี้!” กุ่ยอิ่งต่อรองราคาอย่างเฉียบขาดและดวงตาของเขาก็เย็นชาในขณะที่เขาไม่ต้องการจะตีฝีปากกับเจียงอี้อีกต่อไป
“ก็ได้!”
แหวนแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์โบราณของเจียงอี้กระพริบออกมาขณะที่เขานำแหวนแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์โบราณออกมาแปดวงแล้วส่งให้กุ่ยอิ่ง “ในแหวนแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์โบราณแต่ละวงมีศิลาสวรรค์อยู่สิบล้านก้อน รวมเป็นแปดสิบล้านก้อน!”
กุ่ยอิ่งรับมันมาด้วยมือเดียวและตรวจสอบด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขา หลังจากยืนยันว่าศิลาสวรรค์ครบแปดสิบล้านก้อนแล้ว เขาก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจและโบกมือพร้อมพูดว่า “ปล่อยตัวมัน!”
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนทั้งสองคลายการตรึงเฉียนว่านก้วนเอาไว้ และเมื่อเฉียนว่านก้วนเป็นอิสระ เขาก็บินไปหาเจียงอี้อย่างรวดเร็ว ดวงตาของเจียงอี้ผ่อนคลายลง ตราบใดที่เฉียนว่านก้วนกลับมาได้อย่างปลอดภัย ศิลาสวรรค์ร้อยล้านก้อนก็ไม่ได้มีค่าอะไร พวกเขาก็เพียงแค่ต้องคิดหาทางที่จะหาศิลาสวรรค์กลับมาจากการขายหินอัสนีให้มากขึ้นก็เท่านั้น
แต่ใครจะรู้!?
ขณะที่เฉียนว่านก้วนกำลังบินมา ดวงตาของกุ่ยอิ่งก็เปล่งแสงออกมาสองสายและยิงไปที่เฉียนว่านก้วน จากนั้นเขาก็คำรามออกมาในเวลาเดียวกัน “พวกเรา! กำจัดมันซะ!”
…