เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 725 หัวหน้าผู้นี้ต้องการให้เจ้าตายซะ!
- Home
- เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
- บทที่ 725 หัวหน้าผู้นี้ต้องการให้เจ้าตายซะ!
ครั้งนี้ ตอนที่เจียงอี้มาถึงเทือกเขาวายุทมิฬแล้ว เขาก็ได้เตรียมการสำหรับสถานการณ์ที่แย่ที่สุดเอาไว้แล้ว มันคือการหนีโดยใช้วิชาหลีกสวรรค์ แต่นั่นคือไพ่ตายสุดท้ายที่เขาจะใช้ นอกจากไม่มีทางเลือกอื่นในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานแล้ว เขาจะไม่มีทางใช้มันเด็ดขาด
มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถใช้วิชาหลีกสวรรค์ได้ และไม่มีผู้ใดสามารถทำอะไรได้!
เขาไม่รู้ว่ามีสมาชิกเก้าตระกูลจักรพรรดิซ่อนตัวอยู่ในเกาะแห่งบาปหรือมียอดฝีมือใดที่มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเก้าตระกูลจักรพรรดิหรือไม่ และเขาก็คิดว่าถ้าสมาชิกทั้งสิบสามตระกูลบนเกาะแห่งบาปรู้ถึงตัวตนเขา พวกเขาจะพยายามขโมยสมบัติเขาหรือเปล่า
ผู้ที่ระมัดระวังตัวสามารถแล่นเรือได้เป็นหมื่นปีโดยไม่จม…ทันทีที่เขาปลดปล่อยวิชาหลีกสวรรค์ออกมาและปรมาจารย์ตรวจสอบถึงตัวตนเขาเมื่อไหร่ ตัวตนของเขาก็จะถูกเปิดเผยสู่โลกทันที และมีความเป็นไปได้สูงที่ยอดฝีมือมากมายจะไล่ล่าเขา
ดังนั้นเจียงอี้จึงไม่มีวันใช้วิชาหลีกสวรรค์จนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้ายจริงๆ
ในตอนนี้เขามีโล่ศักดิ์สิทธิ์เปลวเพลิงอัสนีแล้ว และศัตรูของเขาจะไม่สามารถสังหารเขาได้ และเขาก็คงจะไม่สุภาพต่อผู้ที่พยายามจะสังหารเขาอยู่แล้ว หลังจากที่กุ่ยอิ่งหลอกเอาศิลาสวรรค์ไปจากเขาแปดสิบล้านก้อน เขาต้องทำให้กุ่ยอิ่งชดใช้คืนอย่างสาสม
ตูม!
ขณะที่เขาสร้างผนึกขึ้นมาด้วยฝ่ามือทั้งสอง เขาได้ปลดปล่อยรูปแบบเต๋าพันธนาการสายลมและวายุคณานับออกมา โล่เปลวเพลิงอัสนีรอบๆตัวเขาระเบิดออกมาและเปลี่ยนเป็นก้อนเปลวเพลิงอัสนีซึ่งพุ่งออกไปทั่วทุกสารทิศ ร่างของเจียงอี้เปล่งประกายและดูดเปลวเพลิงอัสนีกลับมาทั้งหมดภายในเสี้ยววินาที
“โล่ศักดิ์สิทธิ์เปลวเพลิงอัสนี!” เขาปล่อยเปลวเพลิงอัสนีหลายร้อยก้อนออกมาอีกครั้งและแขนของเขาก็ระส่ายอยู่กลางอากาศอย่างดุเดือดเพื่อสร้างรูปแบบเต๋าทั้งสอง เปลวเพลิงอัสนีหดตัวลงอีกครั้งและหมุนเวียนไปตามเส้นทางขณะที่พวกมันโคจรรอบตัวเขาและกลายเป็นโล่ศักดิ์สิทธิ์เปลวเพลิงอัสนีสีฟ้าเข้มอีกครั้งขณะที่ร่างของเจียงอี้หายลับไปจากตำแหน่งเดิม
เปลวเพลิงอัสนีในโล่ก่อนหน้านี้ถูกใช้ไปมากกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว หากผู้เชี่ยวชาญหลายคนโจมตีเขามาพร้อมๆกัน มันก็อาจจะเกิดอันตรายขึ้นได้ เจียงอี้จึงควบแน่นโล่ใหม่อีกครั้งซึ่งทำให้เขาปลอดภัยมากขึ้น
…
“ท่านแม่ทัพ เราจะทำอย่างไรต่อกันดีขอรับ?”
ในหลุมใต้ดินที่อยู่ห่างออกไปสามสิบกิโลเมตร สีหน้าของผู้คนหลายสิบคนที่ยืนอยู่ข้างๆกุ่ยอิ่งเปลี่ยนสีกันอย่างต่อเนื่อง ก่อนหน้านี้พวกเขามีคนหนึ่งร้อยห้าสิบคน และในตอนแรก เขาปล่อยเปลวเพลิงอัสนีหลายร้อยก้อนออกมาอีกครั้งและแขนของเขาก็ระส่ายอยู่กลางอากาศอย่างดุเดือดเพื่อสร้างรูปแบบเต๋าทั้งสอง เปลวเพลิงอัสนีหดตัวลงอีกครั้งและหมุนเวียนไปตามเส้นทางขณะที่พวกมันโคจรรอบตัวเขาและกลายเป็นโล่ศักดิ์สิทธิ์เปลวเพลิงอัสนีสีฟ้าเข้มอีกครั้งขณะที่ร่างของเจียงอี้หายลับไปจากตำแหน่งเดิม
เปลวเพลิงอัสนีในโล่ก่อนหน้านี้ถูกใช้ไปมากกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว หากผู้เชี่ยวชาญหลายคนโจมตีเขามาพร้อมๆกัน มันก็อาจจะเกิดอันตรายขึ้นได้ เจียงอี้จึงควบแน่นโล่ใหม่อีกครั้งซึ่งทำให้เขาปลอดภัยมากขึ้น
…
“ท่านแม่ทัพ เราจะทำอย่างไรต่อกันดีขอรับ?”
ในหลุมใต้ดินที่อยู่ห่างออกไปสามสิบกิโลเมตร สีหน้าของผู้คนหลายสิบคนที่ยืนอยู่ข้างๆกุ่ยอิ่งเปลี่ยนสีกันอย่างต่อเนื่อง ก่อนหน้านี้พวกเขามีคนหนึ่งร้อยห้าสิบคน และในตอนแรกเจียงอี้ก็สังหารพวกเขาไปหลายคนแล้ว หลังจากนั้นเมื่อหยางตงและคนอื่นๆออกมา พวกเขาก็สังหารคนไปมากกว่าสี่สิบคน ในตอนนี้ก็ยังมีคนตกตายไปอีกสามสี่สิบคนติดต่อกัน และพวกเขาก็เหลือคนอีกประมาณหกสิบคน
กลุ่มผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนกว่าหกสิบคนมีความแข็งแกร่งในการต่อสู้อย่างน่าสะพรึง แต่เจียงอี้ก็สังหารพวกเขาทั้งสามถึงสี่สิบคนได้ในเวลาสั้นๆ และหนึ่งในนั้นเป็นยอดฝีมือที่เป็นหนึ่งในสามของผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในกองทัพ มันแสดงให้เห็นว่ามีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่เจียงอี้จะสามารถทำลายล้างพวกเขาได้จนสิ้นซาก
กองทัพวายุทมิฬก่อตั้งขึ้นมาหลายปีแล้ว และผู้บัญชาการที่ยิ่งใหญ่และการโจมตีทางดวงจิตวิญญาณของกุ่ยอิ่งนั้นสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คนมากมาย แต่น่าเสียดาย….เมื่อต้องเผชิญกับคนประหลาดเช่นเจียงอี้แล้ว การโจมตีดวงจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดของกุ่ยอิ่งกลับไม่ได้ผลเลย มันทำให้พวกเขาตื่นตระหนกและรู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจ โจรภูเขามักรังแกผู้ที่อ่อนแอและหวาดกลัวผู้ที่แข็งแกร่งเสมอ และทันทีที่พวกเขาเจอยอดฝีมือที่พวกเขาไม่สามารถเอาชนะได้ พวกเขาก็จะรีบหนีไปทันที
“พวกเจ้าจะแตกตื่นกันทำไม?”
ดวงตาของกุ่ยอิ่งกระพริบอยู่เรื่อยๆขณะที่เขากัดฟัน กลองสีดำเล็กๆปรากฏขึ้นในมือของเขาขณะที่เขาตะโกนอย่างเคร่งขรึม “เราจะเดิมพันทุกอย่างเป็นครั้งสุดท้าย หากเราสังหารไอ้เด็กเหลือขอนี่ไม่ได้ เราจะถอย! ใครก็ตามที่กล้าหนีไปก่อนและทำให้ขวัญกำลังใจของทหารของข้าลดลง ข้าจะสังหารพวกมันซะ!”
กลิ่นอายสังหารบนร่างของกุ่ยอิ่งแผ่ออกมาเป็นระลอกคลื่น แม้ว่าจะมีเสียงเบาๆที่บอกให้เขาหนีไป แต่เขาไม่ได้เต็มใจที่จะหนีไปเช่นนั้น หลังจากที่เสียเลือดเนื้อและหยาดเหงื่อไปมากมาย ในที่สุดกองทัพวายุทมิฬก็ได้รับเกียรติและอำนาจมากมาย แต่ในตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนมากกว่าครึ่งของพวกเขากลับตกตายไปในเวลาอันสั้นเช่นนี้ แล้วจะให้เขาพอใจกับศิลาสวรรค์ที่ได้มาเพียงแปดสิบล้านก้อนได้อย่างไร?
“กระจายกันออกไป เราจะเข้าประชิดตัวมันในรูปค่ายกลพัด ทันทีที่เราจับตำแหน่งมันได้ ทุกคนจงปล่อยการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดซะ หากผู้ใดกล้ายั้งมือ ข้าจะสังหารพวกมันแน่นอน”
กุ่ยอิ่งตะโกนขึ้นมาอีกครั้งและทุกคนก็ก่อค่ายกลพัดทันทีและพุ่งเข้าหาเจียงอี้ อย่างไรก็ตามแต่ หลังจากที่เดินทางไปได้หลายสิบกิโลเมตร พวกเขาก็รู้สึกได้ว่าอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและมันก็ร้อนขึ้นเรื่อยๆ เจียงอี้กำลังพุ่งมาทางพวกเขาจริงๆ
“ฆ่ามัน!”
เสียงของกุ่ยอิ่งดังขึ้นอีกครั้ง มือใหญ่ๆของเขาเริ่มตีกลองอย่างต่อเนื่อง จนถึงตอนนี้เขายังไม่เชื่อว่าเจียงอี้จะกันการโจมตีดวงจิตวิญญาณของเขาได้ แน่นอนว่า….การโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของกุ่ยอิ่งคือการโจมตีดวงจิตวิญญาณ ส่วนการโจมตีอื่นๆของเขาทั้งหมดอย่างมากก็อยู่ในระดับขอบเขตเทียนจุนระดับต่ำ แม้ว่าเขาจะปลดปล่อยพวกมันออกมา พวกมันก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี
“ตายซะเถอะ!”
กระบองในมือของผู้บัญชาการอีกคนเปล่งแสงสีขาวในขณะที่เขาเขวี้ยงมันไปทางเจียงอี้อย่างดุเดือด ทันทีที่กระบองนั้นพุ่งออกไป มันก็เริ่มใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นกระบองยักษ์ที่ขนาดใหญ่กว่ายี่สิบเมตรและเรืองแสงไปด้วยสีขาว ไม่ว่ามันจะผ่านไปทางไหน โคลนและหินก็กลายเป็นผุยผงไปและพื้นที่ก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงซึ่งกลายเป็นคลื่นแพร่กระจายออกไปไกล พื้นดินในระยะหลายร้อยกิโลเมตรเริ่มสั่นสะเทือนไม่หยุดหย่อนและมันน่าสะพรึงเป็นอย่างมาก
ผู้บัญชาการผู้นี้เป็นหนึ่งในสามผู้ที่แข็งแกร่งของกองทัพวายุทมิฬ เขาไม่เคยปล่อยการโจมตีที่น่าสะพรึงของกระบองของเขาเลยซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันคือสิ่งประดิษฐ์เหนืออิทธิฤทธิ์ ตอนนี้เขาถูกต้อนให้จนมุมแล้ว เขาจึงได้แต่เผยการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา
ผู้เชี่ยวชาญที่เหลือเองก็ปล่อยการโจมตีออกมามากมายและหลากหลายเช่นกัน บางคนโจมตีด้วยรูปแบบเต๋า บางคนก็เก็บความสามารถพิเศษเอาไว้ ซึ่งพลังของการโจมตีเหล่านี้ที่รวมกันมานั้นแข็งแกร่งกว่าการโจมตีรอบก่อนมาก
“ทันพอดี!” Aileen-novel
เจียงอี้เข้าสู่สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์และเขาไม่กล้าย้ายร่างฉับพลันอีกต่อไป เขาหลบการโจมตีอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยการเบี่ยงตัวไปทางซ้ายและทางขวา ขยับตัวขึ้นและลง เขาสามารถหลบการโจมตีจากผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ได้ด้วยวิธีนี้ ครั้งนี้เขาไม่กล้าประมาทอีกต่อไป เขาพร้อมที่จะกำจัดกุ่ยอิ่งและเขาจะต้องทุ่มสุดตัวด้วย
ฮู่ ฮู่!
ความเร็วของกระบองนั้นเร็วเกินไป ก่อนที่เจียงอี้จะหลบได้ทัน มันก็อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว เจียงอี้ทำได้เพียงกัดฟันและเข้าจู่โจมอย่างสุดกำลัง
กระบองนั้นเหมือนภูเขาลูกยักษ์ แรงกระแทกของมันทำให้เขาบินกลับไป และลมที่เกิดจากแรงกระแทกยังพัดเข้าใส่เจียงอี้อยู่ภายหลังจากมันกระแทกเข้าใส่เขาแล้ว เจี้ยงอี้ก็เผยรอยยิ้มเย้ยหยันของเขาออกมาทันที มันทรงพลังมากก็จริงแต่การโจมตีนี้กินเปลวเพลิงอัสนีไปหนึ่งในสามส่วนเท่านั้น ตราบเท่าที่มันยังไม่สามารถบดขยี้เขาจนตายได้ นอกเหนือจากการโจมตีของขอบเขตเทียนจุนระดับกลางแล้ว การโจมตีอื่นๆทั้งหมดแทบไม่ได้ส่งผลต่อปริมาณเปลวเพลิงอัสนีของเขาเลย
ตูม! ตูม! ตูม!
การโจมตีนับไม่ถ้วนหลั่งไหลมาทางเจียงอี้ แต่เจียงอี้ก็หลบพวกมันได้หรือไม่ก็ถูกปัดออกไปหลังจากที่ปะทะเข้ากับโล่ศักดิ์สิทธิ์เปลวเพลิงอัสนีรอบตัวเขา เจียงอี้เป็นเหมือนเทพสงครามที่ไม่มีผู้ใดเอาชนะได้ ไม่ว่าการโจมตีจะกระแทกใส่เขาเพียงใด แต่โล่รอบๆตัวเขาก็ไม่แตกสลายไป
“ตายย!”
เจียงอี้ย้ายร่างฉับพลันไปหลังจากที่หลบการโจมตีไปได้ และเขาก็ย้ายร่างฉับพลันไปไกลเกือบสามสิบกิโลเมตรจนสามารถร่นระยะห่างระหว่างเขากับศัตรูในทันที ความร้อนอันน่าสะพรึงพาดผ่านพวกเขาและไข่มุกวิญญาณเพลิงของเจียงอี้ก็สว่างขึ้นมา ดาบมังกรเพลิงปรากฏขึ้นในมือและถูกตวัดออกไปนับครั้งไม่ถ้วน
“อ๊ะ? ถอย!”
จอมยุทธที่อยู่รอบๆเขาอุทานออกมาด้วยความตกใจและกลิ่นอายแห่งความตายที่ปกคลุมพวกเขาทำให้พวกเขาลืมคำสั่งของกุ่ยอิ่งไปอย่างสิ้นเชิง ทุกคนบินถอยกลับไปแต่คลื่นความร้อนได้ถาโถมเข้าหาพวกเขาแล้วและความเร็วของพวกเขาก็ลดลงอย่างมาก พวกเขาสัมผัสได้ถึงความร้อนที่แผดเผาที่ปกคลุมพวกเขาเอาไว้และอยากจะถอดเกราะและฉีกหนังของตัวเองออกเพื่อหนีจากความร้อนเหล่านี้
“ถอย ถอยเร็ว!”
ท้ายที่สุด ความกลัวก็เข้าครอบงำกุ่ยอิ่ง ในการโจมตีของผู้เชี่ยวชาญมากกว่าหกสิบคน เจียงอี้จะต้องถูกโจมตีอย่างน้อยราวๆสามสิบครั้งอย่างแน่นอน แต่ไอ้โล่เวรนั่นยังคงไม่บุบสลายไป การโจมตีดวงจิตวิญญาณของกุ่ยอิ่งเองก็เป็นเหมือนโคลนที่ไหลลงทะเลเพราะมันไม่สร้างความเสียหายต่อเจียงอี้เลยแม้แต่น้อย หากเขาไม่หนีตอนนี้ เขาจะต้องตายอยู่ที่นี่แน่นอน
“ยังจะหนีได้อีก?”
เจียงอี้ไม่ได้สนใจว่าคนอื่นจะอยู่หรือตาย สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาเพ่งเล็งไปที่กุ่ยอิ่งขณะที่เขาตวัดดาบออกไปอย่างไม่มีสิ้นสุดและพุ่งไปหากุ่ยอิ่งโดยไม่สนใจอะไรเลย ความร้อนนั้นปกคลุมไปทั่วซึ่งทำให้ร่างของเขารู้สึกราวกับว่าร่างกายถูกแผดเผาและความเร็วก็ลดลงราวกับหอยทาก
ห้ากิโลเมตร, สี่กิโลเมตร….สามกิโลเมตร!
เดิมทีความเร็วของกุ่ยอิ่งเร็วกว่าเจียงอี้มาก แต่หลังจากที่เขาถูกความร้อนเข้าปกคลุม ความเร็วของเขาก็ลดลงมาก
โล่ศักดิ์สิทธิ์ของเขายังคงอยู่ได้อีกพักหนึ่ง แต่หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย เขาหันกลับไปและตะโกนอย่างสุดเสียงว่า “หมาป่าเดียวดาย ข้าจะคืนศิลาสวรรค์ให้แล้วเราจะปล่อยเรื่องนี้ไป ว่าอย่างไรล่ะ?” เจียงอี้ค่อยๆเข้ามาหาเขาราวกับมังกรฟ้าที่ดุร้าย ด้วยร่างที่ถูกปกคลุมไปด้วยโล่ศักดิ์สิทธิ์เปลวเพลิงอัสนีกับสายตาที่เยือกเย็น มันยิ่งดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง รอยยิ้มอันเย็นเยียบก่อขึ้นที่มุมปากและเสียงคำรามก็ออกมาจากปากของเขา “หุบปาก! หัวหน้าผู้นี้ต้องการให้เจ้าตายซะ!”