เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 737 นางกำลังปกป้องเจียงอี้!
- Home
- เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
- บทที่ 737 นางกำลังปกป้องเจียงอี้!
ในคืนนั้น เจียงอี้เชิญผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนทุกคนในเมืองไปยังโรงเตี๊ยมร้อยบุปผา ในเวลาเดียวกัน เขาและแอม-เฉียนว่านก้วนเองก็ต้อนรับผู้บัญชาการทั้งสิบที่โถงหรูข้างๆ
หลังจากที่ดื่มไปสามรอบ แขกก็เริ่มแยกย้ายกันไป แต่หัวหน้าเจียง, เฉียนว่านก้วนและลู่เฟิงยังคงพูดคุยกันอยู่ในห้องลับเงียบๆ การค้าหินอัสนีจะต้องดำเนินต่อไป และการหารือของพวกเขารวมถึงการวางแผนจะต้องทำอย่างรอบคอบ
ไม่มีพ่อค้าคนใดจากทวีปจักรพรรดิบูรพากล้าเข้าเมืองอัสนีฟ้ากระจ่างเนื่องจากพวกเขากลัวจะถูกกลุ่มบังคับการใช้กฎตระกูลลู่สังหารพวกเขา พวกเขาจึงต้องส่งคนออกไปนอกเมือง แต่มันไม่ได้ยืนยันความปลอดภัย คราวนี้กองทัพวายุทมิฬปรากฏขึ้นแล้วและในภายภาคหน้าอาจมีกองทัพภูติทมิฬหรือกองทัพอัคคีทมิฬปรากฏขึ้นมาก็ได้ หยางตงและคนอื่นๆไม่ได้ถือว่าแข็งแกร่งมากนักและพวกเขาถูกสังหารได้ทุกเมื่อ มันคงไม่มีทางที่เจียงอี้จะเป็นผู้นำกลุ่มออกไปในทุกๆครั้งหรอกใช่ไหม?
“ผู้บัญชาการเฟิง ท่านคิดว่ามันจะได้ผลหรือไม่?”
ความคิดหนึ่งปรากฏขึ้นในใจของเจียงอี้และเขาพูดว่า “ให้เรือลิขิตสวรรค์มายังเกาะอัสนีฟ้ากระจ่าง ว่านก้วนและคนอื่นๆจะได้ขึ้นเรือและออกเดินทางไปยังปราการทิวาอรุณเพื่อทำการค้าได้ ข้าเป็นแขกพิเศษของสมาคมการค้าทิวาอรุณและข้าค่อนข้างมั่นใจว่าจะเจรจากับพวกเขาในเรื่องนี้ได้”
“นี่”
ดวงตาของผู้บัญชาการเฟิงเป็นประกายขณะที่เขาส่ายหัวและพูดว่า “มันจะปลอดภัยขึ้นมาก แต่สิ่งเดียวที่ข้ากลัวคือสมาคมการค้าทิวาอรุณเองก็คงไม่เต็มใจที่จะเสี่ยงหรอกใช่ไหม? พวกเขาต้องเปลี่ยนเส้นทางการเดินเรือเพื่อมายังเกาะอัสนีฟ้ากระจ่างโดยตรง หากเบื้องบนสอบสวนขึ้นมา สมาคมการค้าทิวาอรุณจะถูกดึงเข้ามาเอี่ยวกับเรื่องนี้แน่นอน”
เจียงอี้โบกมือและปฏิเสธ “พวกเขาจะเสี่ยงอะไรกัน? มันเป็นเรื่องปกติมากที่เราจะนั่งเรือลิขิตสวรรค์และเป็นเรื่องปกติที่เราจะมุ่งหน้าไปยังป้อมปราการทิวาอรุณด้วย สมาคมการค้าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้าของเราและเหนือสิ่งอื่นใด เราจะใช้ศิลาสวรรค์บางส่วนจ้างทหารคุ้มกันการขึ้นเรือที่เกาะต้นกล้าขาว นอกจากนี้ ระยะทางระหว่างพื้นที่ด้านนอกกับป้อมปราการทิวาอรุณนั้นกว้างขวางมาก เราต้องการผู้คุ้มกันไว้คอยปกป้องเรา”
ลู่เฟิงพึมพำกับตัวเองครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดว่า “ตราบใดที่เราให้ศิลาสวรรค์มากพอ สมาคมการค้าก็จะสามารถรวบรวมผู้คุ้มกันไว้คอยปกป้องเราได้แน่นอน หากสมาคมการค้ายินดีรับข้อเสนอนี้ เราจะติดต่ออีกฝ่ายเพื่อทำการแลกเปลี่ยนที่ป้อมปราการทิวาอรุณ! อย่างไรเสียก็มีผู้คนจำนวนมากที่เข้าออกป้อมปราการทิวาอรุณ ผู้คนก็จะสังเกตเราได้ยาก”
“ใช่แล้ว!” เจียงอี้พยักหน้าและเหลือบมองไปยังเฉียนว่านก้วนซึ่งเห็นว่าเขาไม่มีปัญหาอื่นอีก การติดต่อคนจากสมาคมการค้าทิวาอรุณให้มุ่งหน้ามายังเกาะอัสนีฟ้ากระจ่างนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย
หลังจากที่หารือกันเสร็จแล้ว เจียงอี้ก็กลับไปยังลานบ้านของเขา ส่วนเฉียนว่านก้วนก็รวบรวมคนของเขาเพื่อเตรียมการต่างๆ ภายใต้การควบคุมงานของเฉียนว่านก้วนและเฟิ่งหลวน เมืองอัสนีฟ้ากระจ่างก็กลับสู่สภาพที่เป็นระเบียบอย่างรวดเร็ว
เจียงอี้ไม่ได้ไปที่ภูเขาอัสนี เขาเพียงแค่นั่งขัดสมาธิอยู่ในลานเล็กๆของเขาขณะที่ฝึกฝนและทำความเข้าใจกับรูปแบบเต๋า สามวันให้หลัง เสียงอึกทึกก็ดังก้องมาจากทางใต้ของเกาะอัสนีฟ้ากระจ่าง กลิ่นอายของผู้เชี่ยวชาญนับไม่ถ้วนถูกแผ่มาที่เมืองและทำให้ผู้คนในเมืองต่างพากันตกใจ
“คนจากตระกูลหงและตระกูลลี่? พวกเขามาเร็วนัก!” ไอรีนโนเวล
สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเจียงอี้แผ่กระจายไปทั่วและรอยยิ้มอันเย็นชาปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา เขาลุกขึ้นมาและพาเฟิ่งหลวนและคนอื่นๆเข้าไปในราชวังจักรพรรดิ ไม่มีใครรู้ว่าลู่ผิงจะต้านความกดดันจากผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนระดับสูงสองคนที่เพิ่งจะมาถึงได้หรือเปล่า
ทหารยามกำลังลาดตระเวนรอบเกาะอัสนีฟ้ากระจ่าง แต่ทุกๆคนสามารถเข้ามาในเกาะได้ตราบใดที่พวกเขาไม่เคลื่อนไหวในนั้น หงยวี่พาคนของเขาบินมาด้วยมากมาย ซึ่งทหารลาดตระเวนไม่ได้หยุดพวกเขาเลย
“ต้องจ่ายศิลาสวรรค์คนละหมื่นก้อนก่อนถึงจะเข้าไปข้างในได้!”
แต่ผู้บัญชาการที่ประตูด้านใต้ของเมืองสกัดหงยวี่และคนของเขาเอาไว้ คิ้วของหงยวี่กระตุกขณะที่เขาหัวเราะอย่างไม่แยแส “ผู้บัญชาการ ข้ามีนามว่าหงยวี่และข้าเป็นผู้อาวุโสตระกูลหงจากเมืองพยัคฆ์ขาว ข้ามาเยี่ยมท่านเจ้าเมืองลู่ผิงอย่างเป็นทางการ ข้าคงไม่ต้องจ่ายศิลาสวรรค์หากต้องการเข้าเมืองใช่ไหม?”
ผู้บัญชาการลู่ผู่เป็นผู้บัญชาการเก่าแก่ในเมืองและเขาอยู่ขอบเขตเทียนจุนระดับกลาง เมื่อเผชิญหน้ากับขอบเขตเทียนจุนระดับสูงอย่างหงยวี่ เขาไม่ได้มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อยขณะที่เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “กฎคือกฎ หากท่านไม่ปฏิบัติตามกฎก็กลับไปซะ”
“เจ้า!”
แม้หงยวี่จะมีบุคลิกที่สุขุม แต่เขาก็เกือบจะเดือดดาลขึ้นมา ผู้บัญชาการขอบเขตเทียนจุนระดับกลางผู้นี้เย่อหยิ่งถึงเพียงนี้เชียว? ในเมืองพยัคฆ์ขาว อย่าว่าแต่ผู้บัญชาการเลย แม้แต่บุคคลสำคัญของตระกูลลู่ยังต้องปฏิบัติต่อเขาอย่างสุภาพด้วย เขาเคยถูกปฏิบัติตัวแบบนี้ด้วยตั้งแต่ตอนไหนกัน?
สีหน้าของหงยวี่และยอดฝีมือตระกูลลี่เปลี่ยนไป แต่ก็ไม่มีผู้ใดเผยกลิ่นอายสังหารออกมาแม้แต่น้อย เนื่องจากผู้บัญชาการคนนี้เป็นคนของตระกูลลู่และคนที่กล้ายั่วยุคนของตระกูลลู่ในหมู่เกาะมังกรขาวนั้นเหมือนการรนหาที่ตาย
ดวงตาของหงยวี่เป็นประกายและเขายิ้มอย่างขออภัย “ในความจำของชายชราอย่างข้าเมืองอัสนีฟ้ากระจ่างเป็นเมืองเล็กๆ ซึ่งค่าเข้าเมืองน่าจะแค่คนละพันก้อนเท่านั้น มันกลายเป็นหมื่นก้อนเมื่อไหร่กัน? ผู้บัญชาการ นี่มันดูเหมือนจะขัดกับกฎตระกูลลู่หรือเปล่า?”
ลู่ผู่เปรยตามองหงยวี่ จากนั้นเขาก็หัวเราะอย่างเย็นชา “นี่ไม่ได้เป็นไปตามกฎของตระกูลลู่จริง แต่นี่เป็นกฎของเมืองอัสนีฟ้ากระจ่างในตอนนี้ และหากท่านไม่ยินดีกับเรื่องนี้ ท่านก็ไปยื่นคำร้องต่อศาลวินัยตระกูลลู่ได้ ขออภัยด้วย ในตอนนี้ กฎได้เปลี่ยนอีกครั้งแล้ว ค่าเข้าศิลาสวรรค์แสนก้อนต่อคน! หากพวกท่านไม่อยากเข้าไปก็จากไปได้ แต่หากยังก่อความวุ่นวายอีก พวกท่านจะต้องใช้ศิลาสวรรค์หนึ่งล้านก้อนต่อคนเพื่อเข้าไปในเมือง”
ฟรึ่บ! ฟรั่บ! ฟรึ่บ!
กลิ่นอายสังหารถูกแผ่ออกมาจากคนหลายร้อยคน พวกเขาไม่สามารถระงับความเดือดดาลได้อีกต่อไป เห็นได้ชัดว่าผู้บัญชาการผู้นี้กำลังทำให้พวกเขาลำบากมากขึ้น และเมื่อพวกเขาคิดว่าเจียงอี้เป็นจอมเผด็จการที่อยู่ที่นี่ได้อย่างไร ทุกอย่างมันก็ดูสมเหตุสมผลขึ้นมา
ผู้อาวุโสตระกูลหงและตระกูลลี่ หงยวี่และลี่เชียมองหน้ากันก่อนที่จะเย้ยหยัน พวกเขาพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกันและปลดปล่อยพลังออกมา หงยวี่ตะโกนสุดกำลังว่า “ผู้อาวุโสตระกูลหงแห่งเมืองพยัคฆ์ขาว หงยวี่และผู้อาวุโสตระกูลลี่ ลี่เชีย มาที่นี่เพื่อขอเข้าพบท่านเจ้าเมืองลู่ผิงขอรับ”
ฟรึ่บ! ฟรั่บ! ฟรึ่บ!
ผู้คนหลายร้อยคนจากทั้งสองตระกูลทะยานขึ้นไปบนฟ้าและปลดปล่อยกลิ่นอายออกมาเช่นกัน อากาศรอบๆเมืองอัสนีฟ้ากระจ่างเหมือนจะหยุดนิ่งไปและการแสดงออกของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังนับไม่ถ้วนก็เปลี่ยนไป พวกเขาทั้งหมดพุ่งออกมาจากลานบ้านและไปรวมตัวกันที่ถนนขณะที่มองขอบเขตเทียนจุนหลายร้อยคนที่รวมตัวกันอยู่ข้างนอกอย่างหวาดกลัว
“โง่เง่า!”
เจียงอี้ไม่ได้โผล่ออกมาจากลานบ้านของเขาและเพียงแค่นั่งอยู่ในนั้น เมื่อมองผู้คนหลายร้อยคนที่บินอยู่บนฟ้า เขาก็รู้สึกเหมือนว่าคนเหล่านั้นเคยหยิ่งผยองอยู่ในเมืองพยัคฆ์ขาว แต่พวกเขากลับกล้าทำตัวกร่างในเมืองอัสนีฟ้ากระจ่าง?
“เกิดอะไรขึ้น?”
เสียงเย็นชาจากหญิงสูงวัยดังออกมาจากตำหนักเจ้าเมือง ลู่ผิงไม่ได้ออกมาเองแต่นางเปิดปากพูดออกมาเพื่อให้คนจากทั้งสองตระกูลไว้หน้ากันบ้าง
“คารวะท่านเจ้าเมืองลู่ผิง”
หงยวี่และคนอื่นๆคำนับนางด้วยความเคารพ แม้ว่าลู่ผิงจะเป็นเพียงใต้เท้าของเมืองเล็กๆอย่างเมืองอัสนีฟ้ากระจ่าง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถดูแคลนนางได้ขณะที่นางยังคงดูแลเมืองในหมู่เกาะมังกรขาว
หลังจากหงยวี่คำนับนางแล้ว เขาก็แผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์เพ่งไปยังลู่ผิงก่อนที่จะส่งข้อความเสียงว่า “ท่านเจ้าเมือง เมื่อหลายวันก่อน นายน้อยคนโตของตระกูลข้าและนายน้อยสามของตระกูลลี่ถูกสังหารนอกป้อมปราการทิวาอรุณ ประมุขตระกูลของเราทั้งสองเดือดดาลมากและสั่งให้เราจับตัวมือสังหารให้ได้ ตามแหล่งข่าวของเรา มือสังหารอยู่ในเมืองอัสนีฟ้ากระจ่างและเขามีนามว่าหมาป่าเดียวดาย หัวหน้าตระกูลกำชับมาว่าให้ข้าส่งคำสั่งของเขามายังท่านเจ้าเมืองลู่ผิงเพื่อขอความช่วยเหลือจากท่าน เขาบอกว่าหลังทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เขาจะมาเยี่ยมท่านเพื่อขอบคุณอย่างแน่นอน”
“โอ้”
ลู่ผิงนั่งอยู่ในตำหนักเจ้าเมืองอย่างสบายๆและนางตอบกลับอย่างเฉยเมยว่า “กลับไปบอกประมุขของเจ้าว่าข้าไม่ได้จะดูหมิ่นพวกเขา แต่ไม่ว่าหมาป่าเดียวดายจะเป็นมือสังหารหรือไม่ก็ตาม ตอนนี้เขาอยู่ในเมืองอัสนีฟ้ากระจ่าง ตราบใดที่เขาอยู่ในเมือง ข้าจะรับประกันความปลอดภัยของเขา แต่เมื่อเขาออกจากเมืองไป ข้าไม่สนว่าเจ้าจะจัดการกับเขาเช่นไร กฎของตระกูลลู่กล่าวไว้ว่าจะไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นในเมือง ข้า ลู่ผิงผู้นี้จะฝ่าฝืนกฎได้อย่างไรกัน?”
“เอ่อ”
หงยวี่ตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง เขารู้อย่างชัดเจนว่ากฎของตระกูลลู่ไม่สามารถละเมิดได้ แต่ที่ใดมีความมืดที่นั่นย่อมมีแสงสว่าง ไม่ว่าจะเป็นที่ใด มันก็มักจะมีการทำงานสกปรกอยู่ใต้ดิน อย่างเช่น พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้เคลื่อนไหวในเมืองพยัคฆ์ขาว แต่หากหงยวี่ต้องการสังหารใครสักคน มันก็จะง่ายมาก เห็นได้ชัดว่าลู่ผิงจัดการเรื่องนี้อย่างพอเป็นพิธีและนางไม่ได้แสดงความเคารพต่อตระกูลหงและตระกูลลี่เลย กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ นางกำลังปกป้องเจียงอี้อยู่!
เมื่อนึกถึงจุดนี้ มันทำให้หงยวี่โกรธขึ้นมาในใจ การที่ผู้บัญชาการผู้นั้นปฏิบัติต่อเขาอย่างไม่เคารพก่อนหน้านี้ เหมือนว่าจะเป็นเพราะจุดยืนของลู่ผิงด้วยเช่นกัน
หลังจากที่คิดถึงเรื่องนี้ หงยวี่ก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น ตระกูลหงและตระกูลลี่โด่งดังในหมู่เกาะมังกรขาวมาก ประมุขตระกูลพวกเขามีสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อาวุโสตระกูลลู่ และลู่ผิงเป็นเพียงขุนนางตัวเล็กๆที่กล้าปฏิบัติกับพวกเขาด้วยความไม่เคารพเช่นนั้น?
ทันใดนั้นเขาก็ส่งข้อความไปว่า “ท่านเจ้าเมือง การกระทำของเราดึงดูดความสนใจของเหล่าตระกูลที่มีอำนาจ และหากเราไม่นำใครกลับไป ตระกูลของเราจะอับอายขายหน้าอย่างใหญ่หลวง โปรดช่วยทำเรื่องราวต่างๆให้ง่ายกับเราด้วย ท่านเจ้าเมืองไม่จำเป็นต้องลงมืออะไรเลยและเราจะเข้าไปในเมืองและจับคนผู้นั้นมาเอง ว่าอย่างไรล่ะขอรับ? และหลังจากเสร็จสิ้นเรื่องนี้แล้ว ประมุขของเราจะมาเยี่ยมท่านเพื่อแสดงความขอบคุณด้วยตัวเอง เจ้าเมืองพยัคฆ์ขาวและมังกรขาว ท่านลู่ซาน, ท่านลู่เสีย และยังมีผู้อาวุโสลู่เหอที่มีสัมพันธ์ที่ดีต่อประมุขของเรา เมื่อถึงเวลานั้น พวกเขาจะยกย่องในความชอบธรรมของท่านแน่นอน”