เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 739 ยี่สิบปี
ลู่ผิงใช้ฝ่ามือเดียวในการสังหารหงยวี่และคนอื่นๆอีกหลายร้อยคนซึ่งมันได้สร้างความกังวลให้แก่เจียงอี้ถึงผลที่จะตามมาในอนาคต ฝ่ามือของนางสร้างความบาดหมางกับตระกูลกงและตระกูลลี่อย่างสมบูรณ์แล้ว นอกจากประมุขตระกูลทั้งสอง ก็ไม่มีผู้ใดกล้าพอที่จะมาสังหารในเมืองอัสนีฟ้ากระจ่างแล้ว
ประมุขตระกูลทั้งสองจะกล้ามาสังหารคนที่นี่ไหม?
คำตอบนั้นคือไม่ เว้นแต่ประมุขทั้งสองจะไม่อยากอยู่ในเผ่าเทพประทานแล้ว ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็จะไม่มีความกล้ามากพอที่จะมามีปัญหากับเมืองอัสนีฟ้ากระจ่างอีกครั้ง แอม
ชาวเมืองอัสนีฟ้ากระจ่างต่างตกตะลึงกับความกล้าหาญของลู่ผิงและมีความเชื่อมั่นต่อเจียงอี้มากขึ้น เจียงอี้จะมีความสำคัญมากพอที่ลู่ผิงจะเมินเฉยต่อทุกสิ่งทุกอย่างและทำให้ทั้งสองตระกูลขุ่นเคืองได้ ห้าวันต่อมา ผู้คนจากสมาคมการค้าทิวาอรุณก็มาถึงซึ่งเจียงอี้ก็ให้การต้อนรับด้วยตนเองและได้พูดคุยกับผู้บัญชาการ เมื่อเฉียนว่านก้วนเสนอศิลาสวรรค์แก่เขากว่าสิบล้านก้อนและแสดงป้ายทองให้ดูสีหน้าของผู้บัญชาการก็เปลี่ยนไปทันที มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนเส้นทางการเดินเรือลิขิตสวรรค์ แต่ในเรื่องการคุ้มกันเฉียนว่านก้วนและคนอื่นๆให้ขึ้นเรือที่เกาะต้นกล้าขาวและคุ้มกันพวกเขาจากด้านนอกสันเขาไปยังปราการทิวาอรุณนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย เดิมทีสมาคมการค้าทิวาอรุณได้ให้บริการคุ้มกันอยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องนี้มันจึงง่ายมาก
สิ่งที่เจียงอี้ขอคือผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนระดับกลางอย่างน้อยสิบคนและขอบเขตเทียนจุนระดับต่ำสองร้อยคน ซึ่งเดิมทีการจ้างวานผู้คุ้มกันนั้นแพงมาก แต่เมื่อเห็นว่าเจียงอี้เป็นแขกพิเศษของสมาคมการค้าทิวาอรุณและศิลาสวรรค์สิบล้านก้อนที่เฉียนว่านก้วนจ่ายใต้โต๊ะนั้นได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามันสามารถลดราคาได้ห้าสิบส่วน นั่นหมายความว่าบริการคุ้มกันทุกชนิดจะมีราคาเพียงศิลาสวรรค์ห้าล้านก้อน
ศิลาสวรรค์ห้าล้านก้อนถือว่าราคาแพงมากและมันไม่ได้เป็นเพียงข้อตกลงเพียงหนึ่งหรือสองครั้ง แต่มันเป็นเช่นนี้ทุกๆเดือน แต่เพื่อความปลอดภัย เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกัดฟันจ่ายมัน
เมื่อด้านนี้ไม่มีปัญหาอื่น ลู่เฟิงจึงติดต่อกับพ่อค้าจากทวีปจักรพรรดิบูรพาทันที หลังจากที่ได้ยินว่าพวกเขาจะทำการแลกเปลี่ยนกันที่ปราการทิวาอรุณซึ่งเป็นตลาดมืดที่ใหญ่ที่สุดของเกาะพยัคฆ์ขาว พวกเขาก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง มีผู้คนเข้าออกปราการทิวาอรุณมากมายในทุกๆวันและมันจะไม่ทำให้คนอื่นเกิดความสงสัยใดๆ ตราบใดที่พวกเขาจัดการวางแผนอย่างเหมาะสม แม้ว่าจะมีการตรวจสอบจากกลุ่มบังคับการของตระกูลลู่กะทันหัน พวกเขาก็จะไม่มีหลักฐานใดๆ
ดังนั้น หลังจากที่ทุกอย่างถูกวางแผนเอาไว้อย่างเหมาะสมแล้ว เจียงอี้ก็ไม่มีสิ่งใดต้องทำ เขาจึงไปยังภูเขาอัสนีเพื่อฝึกฝนอีกครั้ง สำหรับเจียงอี้แล้ว ภูเขาอัสนีเป็นที่ที่ปลอดภัยมาก ใครก็สามารถเข้ามาในเกาะอัสนีฟ้ากระจ่างจากทางฝั่งตะวันตกได้ แต่มันมีค่ายกลกักอัสนีอยู่ที่สันเขาอัสนี ตระกูลลู่กลัวว่าจะมีคนเข้ามาในเกาะเพื่อสร้างหายนะ ดังนั้นพวกเขาก็เลยตั้งม่านพลังที่ทรงพลังเอาไว้ที่ชายฝั่งทะเล หากผู้ใดกล้าบุกเข้ามาทำลายม่านพลัง กลุ่มบังคับการตระกูลลู่จะต้องไล่ล่าผู้บุกรุกจนตายอย่างแน่นอน
ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ และเฉียนว่านก้วนก็เก็บหินอัสนีอย่างต่อเนื่อง เมื่อเก็บได้จำนวนตามที่กำหนดไว้แล้ว ผู้เชี่ยวชาญของสมาคมการค้าทิวาอรุณก็จะมาคุ้มกันและพาพวกเขาไปยังเรือลิขิตสวรรค์เพื่อไปยังปราการทิวาอรุณในการแลกเปลี่ยนสินค้า
เจียงอี้ฝึกฝนแก่นแท้พลังของเขาอยู่ในราชวังจักรพรรดิในช่วงระหว่างวัน ในขณะที่ตอนกลางคืนเขาจะไปยังภูเขาอัสนีเพื่อเข้าถึงรูปแบบเต๋า เขากำลังจะเข้าถึงรูปแบบเต๋าประเภทที่เจ็ดแล้วและคงใช้เวลาอีกเพียงไม่กี่วันก็น่าจะเข้าถึงได้หมด
นอกจากนี้ยังมีข่าวเกี่ยวกับจ้านอู๋ซวงและหยุนเฟยด้วย ทั้งสองได้ตั้งรกรากอยู่ในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะมังกรฟ้าและอาศัยอยู่ในลานที่เฉียนว่านก้วนแอบซื้อเอาไว้ พวกเขาปลอดภัยดีและนอกจากทาสวิญญาณที่เฉียนว่านก้วนนำผนึกแห่งดวงจิตมา ก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าพวกเขาได้ไปยังเกาะมังกรฟ้าแล้ว
เฉียนว่านก้วนไม่ได้เตรียมการล่ากองโจร เนื่องจากขอบเขตเทียนจุนตกตายไปหลายสิบคนที่เทือกเขาวายุทมิฬ แล้วตอนนี้พวกเขายังทำให้ตระกูลหงและตระกูลลี่ขุ่นเคืองอีก เขากลัวว่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนอาจจะขัดขวางและสังหารพวกเขา เขาจึงตัดสินใจว่าการอยู่ในเมืองแต่โดยดีนั้นเป็นการดีที่สุด
หนึ่งเดือนครึ่งต่อมา…
แก่นแท้พลังของเจียงอี้มาถึงขั้นที่สี่ของขอบเขตจินกังแล้ว แต่รูปแบบเต๋าของเขายังไม่คืบหน้ามากนัก เขายังติดอยู่กับรูปแบบเต๋ารูปแบบที่แปดอยู่ ส่วนเฉียนว่านก้วนก็พามังกรวารีสีทอง, หยางตงและหนิวเติงออกไปและครั้งนี้ก็ประสบความสำเร็จอย่างมากและพวกเขาก็กลับมาในอีกห้าวันให้หลัง Aileen-novel
ทันใดนั้นลู่ผิงก็ส่งข้อความเสียงไปยังเจียงอี้และบอกเขาว่ามันช้าเกินไป พวกเขาจะต้องเพิ่มจำนวนหินอัสนีในการแลกเปลี่ยนให้มากขึ้นอีก มันมีสองวิธีที่จะเพิ่มจำนวนหินอัสนี ทางแรกคือลดจำนวนคนในเมืองลง ซึ่งมันจะลดจำนวนหินอัสนีที่ต้องส่งมอบให้กับตำหนักเจ้าเมือง กับทางที่สองคือให้เจียงอี้ไปขุดหินอัสนีในสันเขาอัสนีเอง
การจะทำให้จำนวนคนลดลง เขาจะต้องสังหารคนหรือไม่ก็ส่งคนไปสู้กับกองโจรภูเขา และเจียงอี้ก็ทนไม่ได้ที่จะต้องส่งคนไปตาย ดังนั้นเขาจึงต้องไปขุดหินอัสนีในสันเขาอัสนีเอง
โชคดีที่เขาขุดหินอัสนีได้อย่างรวดเร็ว และในวันเดียวเขาก็จะสามารถขุดหินอัสนีมาได้หลายพันก้อน เขาจะต้องทิ้งการฝึกฝนในตอนกลางวันและไปหาหินอัสนีก่อนที่เขาจะค่อยมานั่งเข้าถึงรูปแบบเต๋าในตอนกลางคืน
เมื่อเจียงอี้เข้ามาขุดหินอัสนีเอง หินอัสนีก็เพิ่มขึ้นมากทันที ในเวลาเพียงสองสัปดาห์ เฉียนว่านก้วนก็ได้ออกไปค้าขายอีกครั้ง แต่คราวนี้ เขานำมังกรวารีสีทองไปแค่คนเดียวเท่านั้น ด้วยการคุ้มกันจากสมาคมการค้าทิวาอรุณ มันจึงไม่จำเป็นต้องพาคนไปกับเขาด้วย
เวลาดำเนินไปอย่างรวดเร็วและครึ่งปีก็ผ่านไปในพริบตา ในที่สุดเจียงอี้ก็ก้าวหน้ากับรูปแบบเต๋าไปมากและในที่สุดเขาก็เข้าถึงรูปแบบเต๋าระดับต่ำรูปแบบที่แปดได้แล้ว เขาขาดเพียงรูปแบบสุดท้ายก่อนที่จะสามารถหลอมรวมมันได้
ในช่วงหกเดือนนี้ ในเมืองอัสนีฟ้ากระจ่างสงบสุขมากและการขายหินอัสนีก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น เฉียนว่านก้วนออกไปค้าขายถึงหกครั้ง และทุกๆครั้ง เขาจะได้ศิลาสวรรค์กลับมามากมาย หลังจากที่แบ่งบางส่วนให้ลู่ผิงและผู้บัญชาการทั้งสิบแล้ว พวกเขาก็ได้กำไรอย่างน้อยสามถึงสี่ร้อยล้านก้อน เมื่อรวมกับศิลาสวรรค์ที่เจียงอี้มีแต่เดิม พวกเขาแค่ต้องทำการค้าเพิ่มอีกไม่กี่ครั้งก่อนที่จะได้ศิลาสวรรค์พันล้านก้อน
ตระกูลหงและตระกูลลี่เองก็เงียบมากในตอนนี้ ลู่ผิงอาจเป็นคนที่ต้องทนต่อแรงกดดันทั้งหมดและทำให้ผู้คนในเมืองอัสนีฟ้ากระจ่างมีความสงบสุข
บรึฟ!
ราชวังจักรพรรดิที่ลอยอยู่กลางท้องฟ้าส่องแสงออกมาซึ่งทำให้เจียงอี้ลืมตาขึ้นมาด้วยความว่างเปล่า เขาบินขึ้นไปขณะที่หญิงสาวในชุดขาวราวหิมะปรากฏตัวขึ้นนอกราชวังจักรพรรดิ
เจียงเสี่ยวนู๋จับแขนของเจียงอี้และเผยรอยยิ้มอันแสนหวานและกล่าวว่า “นายน้อย สุขสันต์วันเกิดเจ้าค่ะ”
“สุขสันต์วันเกิด….”
เจียงอี้ยิ้มอย่างขมขื่นและอุ้มเจียงเสี่ยวนู๋ไปยังภูเขาและยืนอยู่ที่ยอดเขาขณะที่มองไปบนฟ้าทางทิศตะวันออก
ใช่แล้ว!
วันนี้เป็นวันเกิดของเขาและนอกจากเจียงเสี่ยวนู๋แล้ว ก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดเขา เขานั่งจ้องมองท้องฟ้าอย่างว่างเปล่าและไม่ได้บ่มเพาะพลังเลยเพราะมันเป็นวันเกิดของเขา วันเกิดอายุครบยี่สิบปีของเขา!
หลังจากวันนี้ไป เขาจะอายุยี่สิบปีแล้ว สำหรับคนอื่นๆมันอาจเป็นเพียงวันที่น่าจดจำ แต่สำหรับเจียงอี้ วันนี้เป็นวันที่สำคัญเป็นพิเศษ
“หากเจ้าสามารถฝึกฝนไปถึงขอบเขตจินกังขั้นสูงสุดได้ก่อนยี่สิบปี แสดงว่าเจ้ามีคุณสมบัติที่จะตามหาแม่แล้ว เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าสามารถมาหาข้าได้ที่ทวีปจักรพรรดิบูรพาและตามหาคนที่ชื่อหยูเวิน เขาจะบอกเจ้าเองว่าจะตามหาข้าได้อย่างไร เจ้าต้องจำเอาไว้ว่าหากเจ้าไม่สามารถไปถึงขอบเขตจินกังขั้นสูงสุดได้ แม้ว่าเจ้าจะตามหาหยูเวินเจอ เขาก็จะไม่บอกอะไรเจ้าเลย”
จิตใจของเขาสะท้อนเสียงที่อ่อนโยนที่อีเพียวเพียวทิ้งเอาไว้ วันนี้เขาอายุยี่สิบปีแล้วและความแข็งแกร่งของเขาถือว่ามีความสามารถมากขณะที่เขาสามารถกำจัดผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนระดับกลางได้แล้ว แต่เขาก็ยังหาหยูเวินไม่พบ
เขาเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าจะกลับไปยังทวีปจักรพรรดิบูรพาได้เมื่อใด หากเขากลับไปหาหยูเวินหลังจากผ่านไปไม่กี่ปีหรืออีกสิบปีให้หลัง…แล้วหยูเวินจะบอกเขาอยู่หรือไม่ว่าอีเพียวเพียวอยู่ที่ใด?
เขาไม่รู้เลย แต่ตอนนี้เขารู้สึกท้อแท้มาก เขารู้ว่าแม่ของเขายังมีชีวิตอยู่ แต่เขาไม่มีทางตามหานางได้และไม่สามารถคุกเข่าต่อหน้านางเพื่อแสดงความกตัญญูได้เลย เขาไม่สามารถบอกนางว่าเขาคิดถึงนางมากเพียงใด และบอกนางว่าเจียงเปี๋ยหลีได้จากโลกนี้ไปแล้วและยังไม่สามารถบอกนางได้ว่าเขาทำให้นางผิดหวัง
“นายน้อย!”
ความรู้สึกผิดหวังและทรมานนั้นเจ็บปวดอยู่ในหัวใจของเจียงอี้ เจียงเสี่ยวนู๋จับมือของเขาแน่นและพูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “อย่าท้อแท้นะเจ้าคะ! เมื่อเสี่ยวนู๋ฝึกฝนศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ขนนกสีหมึกไปได้จนถึงขั้นที่สามแล้ว เราจะกลับไปยังทวีปจักรพรรดิบูรพาเพื่อตามหานายหญิงและพี่ใหญ่รั่วเสวี่ย หากผู้ที่เหนือใต้หล้ามาขวางทางเรา เราจะสังหารเขา หากเทพเจ้ามาขวางทางเรา เราจะสังหารเขาซะ เราจะหาพวกเขาแม้ว่าจะต้องพลิกแผ่นดินทั่วทวีปจักรพรรดิบูรพานะเจ้าคะ!”
เจียงอี้ไม่ได้ตอบอะไรและเพียงแค่อยู่ตรงนั้นเงียบๆและหลับตาลง ดวงอาทิตย์ที่กำลังโผล่พ้นขอบฟ้าทางตะวันออก ส่องแสงตัดกับแสงจันทร์ สาดลงมายังพื้นดิน ทำให้เกิดเงาสองเงาทอดยาวออกไป