เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 740 การมาเยือนของแขกผู้มีเกียรติ
- Home
- เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
- บทที่ 740 การมาเยือนของแขกผู้มีเกียรติ
“กลับไปยังทวีปจักรพรรดิบูรพา?”
เจียงอี้รู้สึกว่ามันอยู่ไกลด้วยอนาคตที่ไม่แน่นอน แต่ก่อนเขามั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวเองมากเกินไปและสังหารทุกคนที่ขวางทางในทวีปเทียนชิงด้วยดาบมังกรเพลิงของเขา และเมื่อเขาขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของทวีปเทียนชิง แอม- เขาก็รู้สึกว่าแม้ว่าโลกภายนอกจะเป็นอันตราย เขาก็ยังคงสร้างตัวเองได้โดยใช้พรสวรรค์และความพยายามอันยิ่งใหญ่ของเขา
ยอดฝีมือจากตระกูลเสียและฝ่ามือของลู่ผิงทำให้เขาได้รับประสบการณ์นั้นโดยตรง แล้วหากเขาแข็งแกร่งขึ้นอีกนิดล่ะ? แล้วหากเขาต้องฝึกฝนอย่างขันแข็งไปห้าปีหรือสิบปีล่ะ? เขาจะไปได้ถึงระดับไหน? ขอบเขตเทียนจุนระดับสูง? หรือขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุด?
หากไม่พูดถึงความปรารถนาที่จะไปถึงขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดในอีกห้าปีสิบปี แล้วหากเขาไปถึงขั้นนั้นได้จริงๆล่ะ? ตระกูลลู่ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบสามตระกูลบนเกาะแห่งบาปมีขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดเพื่อเป็นเจ้าเมืองเล็กๆแล้ว แล้วเก้าตระกูลจักรพรรดิบูรพาจะมีกี่คนกัน? พวกเขามีกันกี่เมือง? แล้วจะมีขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดอีกกี่คน?
เหนือขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดไปนั้นคือสิ่งที่ใกล้เคียงกับเทพเป็นอย่างยิ่ง ตำนานเหล่านั้นสามารถฉีกทึ้งท้องฟ้าและผืนดินได้เพียงพลิกฝ่ามือเดียว, ทำลายแม่น้ำบนเขาและทำให้สายน้ำไหลย้อนหวนไปอีกทาง พวกเขาเปลี่ยนทะเลให้เป็นทวีปได้
พวกเขาบ่มเพาะพลังมายาวนานกว่าทศวรรษและมีทรัพยากรและสมบัติชั้นยอดในทวีป แล้วเขาที่เป็นเพียงผู้ที่อ่อนแอจากทวีปเทียนชิงเล็กๆจะมาสู้กับคนเหล่านั้นได้อย่างไร?
“ทำลายโถงวรยุทธ?”
เจียงอี้นึกย้อนไปถึงตอนที่เขาพูดอะไรเกินจริงออกมาซึ่งมันทำให้เขาเย้ยหยันตัวเองมากนัก โลกนี้มียอดฝีมือมากมายและอย่างมากที่สุดเขาก็เป็นคนธรรมดาที่มีโชคเล็กน้อยเท่านั้น หากปราศจากศาสตร์นิรนาม, ไข่มุกวิญญาณเพลิง, วิชาหลีกสวรรค์และเกราะเมฆาอัคคี เขาจะเป็นเช่นไร?
เขาพยายามเข้าถึงรูปแบบเต๋าระดับสูงมากว่าหนึ่งปีแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถหลอมรวมมันได้ เขายังบ่มเพาะพลังตัวเองมาตั้งนาน แต่มันแทบจะไม่ถึงขอบเขตจินกังขั้นที่ห้าเลย เส้นทางการเป็นยอดฝีมือของเขายังห่างไกลนักและดูเหมือนมันจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป เมื่อเขาได้กลายเป็นยอดฝีมือที่แท้จริงแล้ว แล้วยอดฝีมือที่แท้จริงจะปะทะกับเก้าตระกูลจักรพรรดิได้เมื่อไหร่?
ยี่สิบปี? สามสิบปี? ห้าสิบปี?
เมื่อถึงเวลานั้น ซูรั่วเสวี่ยอาจตกตายไปจากการชราภาพหรือไม่ก็ถูกสังหารไปนานแล้ว
เขาอายุยี่สิบปีแล้ว แม้ว่าเขาจะหาหยูเวินเจอแต่หยูเวินก็อาจจะไม่บอกเรื่องของอีเพียวเพียว เจียงอี้อาจไม่มีโชคที่จะได้กลับมาอยู่กับอีเพียวเพียวอีกและผู้หญิงนางนั้นจะอยู่ในความทรงจำของเขาตลอดไป เจียงอี้รู้สึกหมดหนทางมากขณะที่เขาอยู่บนยอดเขาตลอดทั้งคืนเงียบๆ ส่วนเจียงเสี่ยวนู๋ก็ยืนอยู่กับเขาจนรุ่งอรุณ
“เอาล่ะ เสี่ยวนู๋ ข้าสบายดีแล้ว กลับไปฝึกฝนต่อเถอะ ข้าจะไปหาหินอัสนีก่อน”
เขาฝืนยิ้มออกมาแต่เจียงเสี่ยวนู๋ยังคงมองเขาอย่างเป็นกังวลก่อนที่จะหายเข้าไปในราชวังจักรพรรดิ เจียงอี้ดึงสติตัวเองกลับมาและเก็บราชวังจักรพรรดิก่อนที่จะวิ่งเข้าไปในสันเขาอัสนี
เขาต้องดึงสติตัวเองเพราะเขาไม่ได้อยู่เพื่อตัวเองและเขาก็มีคนมากมายอยู่รายล้อมรอบตัวเขา เขาจะต้องเก็บความอ่อนแอเอาไว้ในใจ
หลังจากขุดหินอัสนีไปตลอดทั้งช่วงเช้า เขาก็เข้าไปในราชวังจักรพรรดิเพื่อบ่มเพาะแก่นแท้พลังต่อ เขาหวงแหนเวลาทุกวินาทีและจะต้องเพิ่มความแข็งแกร่งของเขา ทุกครั้งที่เขาเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองได้นั่นหมายความว่าซูรั่วเสวี่ยจะทรมานน้อยลง
จนเวลาล่วงเลยไปเกือบจะค่ำแล้ว ผู้คนพากันออกจากภูเขาอัสนีไปอย่างรวดเร็ว ส่วนเจียงอี้ก็ออกมาจากราชวังจักรพรรดิขณะที่เขาจะออกมาเข้าถึงรูปแบบเต๋าประเภทสุดท้ายต่อ แต่เขาก็สังเกตเห็นกลุ่มผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนที่พุ่งมาจากทางเมืองอัสนีฟ้ากระจ่าง
“หัวหน้าเจียง!”
มันคือหนิวเติงและคนอื่นๆ เขาส่งข้อความเสียงมาแต่ไกลว่า “ท่านเจ้าเมืองเรียกให้ท่านพาแม่นางเสี่ยวนู๋, พี่ใหญ่เฟิ่งหลวนและชิงหยีไปร่วมงานเลี้ยงขอรับ” ไอรีนโนเวล
“ร่วมงานเลี้ยง?”
เจียงอี้ขมวดคิ้ว ลู่ผิงไม่เคยเรียกเขาเลยเว้นแต่ว่ามันจะเป็นสิ่งสำคัญ และโดยปกตินางจะส่งข้อความมา แต่ทำไมครั้งนี้นางถึงขอให้หนิวเติงเป็นคนถ่ายทอดข้อความมากัน?
เนื่องจากลู่ผิงส่งข้อความเชิญมา เจียงอี้ก็ไม่กล้าฝ่าฝืนเพราะเขายังต้องพึ่งพาการคุ้มครองของลู่ผิงอยู่ จากนั้นเขาก็พาเจียงเสี่ยวนู๋ออกมาและพานางบินเข้าไปในเมือง “หนิวเติง สถานการณ์เป็นเช่นไรบ้าง?” ขณะที่พวกเขาบินกลับไป เขาก็ถามหนิวเติง
หนิวเติงกระพริบตาด้วยความสับสนและตอบว่า “ข้าไม่รู้รายละเอียดที่แน่ชัดขอรับ เหมือนว่าจะมีแขกสำคัญมาที่เมืองนี้ แม้แต่ท่านเจ้าเมืองเองก็ยังออกไปต้อนรับที่นอกเมืองด้วย ข้าคิดว่านางคงต้องการให้พวกท่านเป็นสหายกันขอรับ”
“แขกสำคัญ?”
ใจของเจียงอี้สั่นเทา หากลู่ผิงระมัดระวังเช่นนี้ มันก็หมายความว่าแขกที่มาจะต้องเป็นนายน้อยหรือคุณหนูจากตระกูลลู่หรือสิบสองตระกูลอื่นๆ เขารู้สึกปวดหัวเล็กน้อยขณะที่ถูจมูกตัวเอง ทายาทสายตรงจากทั้งสิบสามตระกูลเหล่านี้เป็นผู้มียศอย่างแท้จริงและหากพวกเขาทำให้คนเหล่านั้นขุ่นเคือง มันจะเกิดปัญหาใหญ่
ตระกูลลู่มีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด แต่นั้นมันเฉพาะกับลูกหลานธรรมดา ส่วนเหล่าผู้สูงศักดิ์ที่แท้จริงทำเหมือนกฎของตระกูลลู่เป็นสิ่งไร้ค่า
หนึ่งชั่วโมงต่อมา เจียงอี้กลับมาถึงเมืองและหลังจากที่เขาเข้าไปในลานบ้านแล้ว เขาก็ให้เฟิ่งหลวน, เสี่ยวนู๋และชิงหยีอาบน้ำก่อนที่จะสวมเสื้อผ้าที่งดงาม เขาเองก็สวมเสื้อปักลายและพาทุกคนไปยังตำหนักเจ้าเมือง
“หัวหน้าเจียง เชิญที่ชั้นสองเลย”
ลู่เฟิงรออยู่ข้างนอกตำหนักเจ้าเมือง และเมื่อเขาเห็นเจียงอี้และคนอื่นๆ เขาก็รีบพาพวกเขาเข้าไป ระหว่างทางขึ้นไปชั้นบน ลู่เฟิงก็ส่งข้อความว่า “หัวหน้าเจียง ครั้งนี้มีนายน้อยที่สำคัญสองคนและคุณหนูจากตระกูลลู่อยู่ที่นี่ พวกท่านระมัดระวังด้วยเมื่อเข้าไปในนั้น ถึงจะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องทนเอาไว้ก่อนและอย่าผลีผลาม ไม่เช่นนั้น แม้แต่ท่านเจ้าเมืองก็ไม่สามารถปกป้องท่านได้”
เป็นได้ตามที่คาด!
สีหน้าของเจียงอี้หนักหนาขึ้นขณะที่เขาหันไปส่งข้อความเสียงถึงเฟิ่งหลวน, เจียงเสี่ยวนู๋และชิงหยี จากนั้นเขาก็ส่งข้อความถึงลู่เฟิง “ผู้บัญชาการเฟิง ทำไมเราต้องมาต้อนรับนายน้อยและคุณหนูตระกูลลู่ด้วย?” ลู่เฟิงยิ้มอย่างขมขื่นและตอบว่า “คำสั่งนั้นมาจากท่านเจ้าเมืองโดยตรง ข้าไม่ทราบรายละเอียดที่แน่ชัดนัก”
เจียงอี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตามลู่เฟิงขึ้นไปที่โถงชั้นสองด้วยท่าทีงุนงง เจียงอี้ยังไม่เคยเข้าไปในห้องโถงนี้มาก่อน และเมื่อพวกเขาเข้าไป ดวงตาของพวกเขาก็เบิกกว้างขึ้นทันที เครื่องเรือนมากมายหรูหรามากและไม่ต่างจากห้องโถงของราชวงศ์เลย ผู้บัญชาการไม่กี่คนนั่งอยู่ในห้องโถงนั้นพร้อมกับหญิงงามที่อยู่ในชุดที่งดงาม
“ลู่ผิงยังไม่มา นายน้อยและคนอื่นๆด้วย”
เจียงอี้มองไปรอบๆและทักทายผู้บัญชาการ เมื่อผู้บัญชาการหลายคนเห็นเจียงเสี่ยวนู๋, เฟิ่งหลวนและชิงหยี ดวงตาของพวกเขาก็เปล่งประกายไปด้วยความโลภ แต่พวกเขาก็แอบซ่อนมันทันที ตอนนี้หัวหน้าเจียงเป็นคนโปรดปรานของลู่ผิงและยังเป็นเทพแห่งความมั่งคั่งด้วย ซึ่งไม่มีผู้ใดกล้ารุกรานพวกเขา
เจียงอี้นำหญิงทั้งสามไปนั่งบนแท่นทองคำม่วงที่ด้านหลัง มีสาวใช้งดงามมากมายอยู่ในห้องโถงและมีการจัดอาหารให้ทุกคน มีกลุ่มหญิงสาวที่เย้ายวนเต้นระบำและสวมเสื้อผ้าที่เปิดเล็กน้อย แต่ความเย้ายวนทั้งหมดของพวกนางถูกเจียงเสี่ยวนู๋และเฟิ่งหลวนบดบังไปหมด
เฟิ่งหลวนสวมชุดดำซึ่งเผยรูปร่างที่สมบูรณ์แบบของนางอย่างสมบูรณ์ ส่วนเจียงเสี่ยวนู๋สวมชุดคลื่นคนึงซึ่งเรืองรองด้วยแสงสีขาวจางๆซึ่งทำให้ทุกคนรู้สึกตื่นตาตื่นใจมาก ส่วนหน้าตาของชิงหยีไม่ได้ด้อยไปกว่าทั้งสองเลย แต่กลิ่นอายของนางต่างกันกับสองคนนี้
“เจ้าเมืองมาถึงแล้ว!”
ไม่นานก็มีเสียงประกาศดังขึ้นจากภายนอก เจียงอี้และคนอื่นๆลุกขึ้นเพื่อต้อนรับอย่างรวดเร็ว ลู่ผิงเองก็ยังเข้าร่วมงานเลี้ยงด้วยเสื้อผ้าที่หรูหราขณะที่จัดแต่งทรงผมด้วย ซึ่งนางนั้นดูแจ่มใสมาก เมื่อนางเดินเข้ามา นางก็ยิ้มร่าแล้วพูดว่า “เชิญ เชิญเลย ให้เราต้อนรับนายน้อยหลินและแม่นางหยี่ที่อุตส่าห์มาเยือนเมืองอัสนีฟ้ากระจ่างเถอะ” “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
นายน้อยดูน่าประทับใจและหญิงงามที่คล้ายกับเฟิ่งหลวนเดินเข้ามาอย่างสบายๆพร้อมกับลูกน้องของพวกเขา เมื่อนายน้อยผู้นั้นเดินเข้ามา ดวงตาของเขาก็กวาดไปทั่วห้องโถงทันที และเมื่อเขาเหลือบไปเห็นเจียงเสี่ยวนู๋ ดวงตาของเขาก็แวววับด้วยความชั่วร้าย เสียงหัวเราะของเขาหยุดลงและหยุดเดินด้วยเช่นกัน ดวงตาของเขาเปล่งประกายราวกับหมาป่าที่เจอเหยื่อของมันแล้ว