เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 747 นายน้อย….ท่านนี่เป็นอัจฉริยะจริงๆ
- Home
- เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
- บทที่ 747 นายน้อย….ท่านนี่เป็นอัจฉริยะจริงๆ
“พลังอัสนี, พลังอัคคี, พลังแห่งแสง, พลังแห่งความมืด,พลังทำลายล้าง, พลังแห่งชีวิต,พลังวายุ, พลังโลหะ….พลังธรณี ข้าจะหลอมรวมรูปแบบเต๋าระดับต่ำทั้งเก้านี้ยังไงล่ะ? รูปแบบเต๋าที่ต่างกันทั้งเก้ารูปแบบนี้มันผสานกันได้หรือเปล่านะ?”
รูปแบบเต๋าระดับต่ำที่ต่างกันทั้งเก้ารูปแบบปรากฏขึ้นในใจเจียงอี้ ซึ่งมันเป็นรูปแบบเต๋าที่เขาเข้าถึงตอนอยู่ที่ภูเขาอัสนี ไม่สิ….เขาเข้าถึงรูปแบบเต๋าอัคคีได้ตั้งแต่อยู่ที่ทะเลราตรีสีเลือดแล้ว
รูปแบบเต๋าที่ต่างกันทั้งเก้านี้เป็นพื้นฐานแห่งเต๋าระดับต่ำที่สุด เจียงอี้ได้แยกทำความเข้าใจมันทีละรูปแบบแล้วและตอนนี้เขาคิดที่จะผสานมัน
อย่างไรก็ตาม…
การแยกชิ้นส่วนก็ยังถือว่าง่ายอยู่ แต่การจะหลอมรวมผสานเข้าด้วยกันนั้นยากมากที่จะผสานมันให้ได้อย่างสมบูรณ์
“ไหนข้าจะลองเข้าถึงร่องรอยของเต๋าก่อนแล้วกัน จากนั้นข้าจะค่อยๆดูมันอย่างละเอียดว่าจะผสานมันได้เช่นไร”
เจียงอี้เข้าสู่สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์ทันที
จิตใจของเขาปรากฏร่องรอยแห่งเต๋าที่ภูเขาอัสนีขึ้นมา เขากำลังค่อยๆสัมผัสและตรวจสอบมันอย่างรอบคอบ
เจียงอี้รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย….เมื่อเขาไม่ได้อยู่ใกล้ๆภูเขาอัสนีอีกแล้ว มันทำให้เขานึกถึงร่องรอยเต๋าได้เลือนลางมาก เขาแทบจะจำส่วนสำคัญไม่ได้ด้วยซ้ำ
สองชั่วโมง, หนึ่งวัน, ห้าวัน….
การปรากฏของเต๋าในใจเจียงอี้เริ่มพร่ามัวมากขึ้นและเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมแพ้ จากนั้นเขาก็ค่อยๆทำตามจิตใจที่เรือนลางและค่อยๆผสานพลังอัสนีและพลังอัคคีเข้าด้วยกัน “สายฟ้าสร้างไฟได้ ไม่มีปัญหาที่จะผสานพวกมันเข้าด้วยกัน แต่ข้าจะผสานมันให้เข้ากับรูปแบบเต๋าอื่นๆได้ยังไงนะ?”
“พลังวายุ, ธรณีและพลังโลหะทั้งสามนี้ไม่เกี่ยวโยงกันเลย แล้วข้าจะหลอมรวมมันได้อย่างไรกัน?”
“มันน่าปวดหัวนักกับแค่หลอมรวมรูปแบบเต๋าที่ต่างกันสองแบบ แล้วนี่ข้าต้องรวมมันเก้ารูปแบบจริงๆหรือ?”
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เจียงอี้ปวดหัวมากและตัดสินใจที่จะไม่สนใจมัน เขาตัดสินใจหลอมรวมผสานพลังอัสนีและพลังอัคคีก่อน
เขากินเม็ดยาไปมากและมันจะไม่เป็นปัญหาแม้ว่าเขาจะไม่ได้กินหรือดื่มเป็นเวลาหลายปีก็ตาม เจียงอี้จดจ่ออยู่กับการเข้าถึงรูปแบบเต๋าอย่างเต็มที่ เนื่องจากไม่มีอะไรสำคัญไปกว่ารูปแบบเต๋าแล้ว เขาไม่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมเกาะอัสนีฟ้ากระจ่างอีกต่อไป ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไปรวบรวมเปลวเพลิงอัสนีได้ เมื่อเขาใช้เปลวเพลิงอัสนีไปจนหมดแล้ว เขาจะไม่สามารถปล่อยโล่ศักดิ์สิทธิ์เปลวเพลิงอัสนีได้อีกซึ่งมันจะทำให้พลังการต่อสู้ของเขาลดลงเป็นอย่างมาก
เวลาผ่านไปราวกับสายน้ำ สามเดือนได้ผ่านไปเพียงพริบตา!
เหตุการณ์ที่ฝั่งหมู่เกาะมังกรขาวได้สงบลงแล้ว ส่วนโจรภูเขาที่มีเป้าหมายและแรงใจในการตามหาเจียงอี้ก็เริ่มหน่ายเมื่อพวกเขาค้นหาตัวเจียงอี้มาสามเดือนแล้วแต่ยังไม่เจออะไรเลย เกาะแห่งบาปใหญ่เกินไปและประชากรที่นี่มีมากมายเกินไป มีเมืองอยู่อย่างน้อยหลายหมื่นเมืองและมีโจรภูเขาที่แอบซ่อนอยู่นอกเมือง การตามหาตัวเจียงอี้ก็ไม่ต่างอะไรจากการงมเข็มในกองหญ้า
บรรดานายน้อยและคุณหนูตระกูลใหญ่ๆเองก็ไม่ได้สนใจเช่นกัน ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาไม่ใช่คนที่ถูกทำให้ขายหน้าและเพียงแค่ช่วยเหลือเพื่อไว้หน้าลู่หลินเท่านั้น สิ่งที่ดีที่สุดที่จะทำได้คือตามล่าและสังหารเจียงอี้ แต่พวกเขาก็ไม่ได้พยายามตามหาเจียงอี้และคนของเขาขนาดนั้น
“ลู่หลิน เจ้านั่นแหละที่เป็นฝ่ายผิด!”
ในราชวังจักรพรรดิที่ตั้งอยู่ในลานของเมืองหยกอินทนิล เจียงอี้ลืมตาขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้และสาปแช่ง หากไม่ใช่เพราะลู่หลิน เขาจะผสานรูปแบบเต๋าระดับสูงนี้ได้อย่างแน่นอนหากเขายังอยู่ที่ภูเขาอัสนีต่อได้อีกไม่กี่เดือน เขาจะได้หินอัสนีมากพอที่จะอาศัยอยู่ในเมืองเทพประทานด้วย
ผ่านมาสามเดือนแล้ว เจียงอี้ผสานพลังอัสนีและพลังอัคคีเข้าด้วยกันได้สำเร็จ แต่ก็น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถผสานรูปแบบเต๋าที่เหลือได้ เดิมทีเขาคิดว่าเมื่อเขาผสานพลังอัสนีและอัคคีได้แล้ว เขาจะสามารถปล่อยเปลวเพลิงอัสนีได้ แต่เขาก็ตระหนักได้ว่าเขาไร้เดียงสาเกินไป การหลอมรวมพลังอัสนีและอัคคีนั้นยังไม่เท่ากับการผลิตเปลวเพลิงอัสนีเลย
“ผสานต่อ!”
มันผ่านมาสามเดือน เจียงอี้แผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ไปสอบถามมังกรวารีสีทอง และเมื่อมังกรวารีสีทองบอกว่าทุกอย่างสงบสุขดี เจียงอี้ก็ไม่ได้กังวลอีกต่อไปและยังคงหลอมรวมรูปแบบเต๋าต่อ
ร่องรอยแห่งเต๋าที่อยู่ในใจเขาได้หายไปอย่างสมบูรณ์แล้ว และเจียงอี้ก็จำอะไรไม่ได้เลย เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพึ่งตัวเองในการผสานรูปแบบเต๋าที่เหลือ
อีกสองเดือนผ่านมา เจียงอี้ลืมตาและลุกขึ้นยืน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวังเนื่องจากรูปแบบเต๋านี้ยากเกินกว่าจะผสานมันเข้าด้วยกันได้หากปราศจากการปรากฏแห่งเต๋า เขาไม่รู้ว่าจะผสานมันได้อย่างไร
เมื่อเขาไม่สามารถผสานมันได้ เจียงอี้ก็หยุดฝึกฝนเพราะมันไม่สามารถบังคับและฝืนเรื่องเหล่านี้ได้ ตอนนี้เขาต้องพึ่งพาโชคชะตา, โอกาสหรือความหวังเพียงแค่ชั่วขณะที่จะเข้าใจการผสานได้ในทันทีเท่านั้น
ที่ด้านนอก เฟิ่งหลวนและชิงหยีก็ไม่มีอะไรทำ พวกนางคนหนึ่งกำลังเย็บปักผ้าขณะที่อีกคนกำลังวาดภาพเพื่อบรรเทาความเบื่อหน่าย เมื่อเจียงอี้ออกมาจากห้อง พวกนางทั้งสองยังไม่สังเกตเห็นเขาเลย
“งานปัก?”
เจียงอี้ไม่มีความสนใจในด้านนี้เลย แต่ภาพวาดของเฟิ่งหลวนทำให้เขารู้สึกสนใจมัน เฟิ่งหลวนจดจ่ออยู่กับภาพวาดภูมิทัศน์กับแปรงของนางอยู่ นางมีฝีมือในการวาดภาพที่ไม่ธรรมดาและงานศิลปะของนางก็มีความสมจริงอย่างน่าทึ่ง
“ภูเขาอัสนี?” Aileen-novel
เจียงอี้เดินไปเงียบๆและเมื่อเขาเห็นทิวทัศน์ในภาพวาดของเฟิ่งหลวน ใจของเขาก็สั่นไหวขณะที่ภาพนั้นวาบผ่านจิตใจของเขา มันทำให้เขารู้สึกใจสั่นเทา
“ใช่แล้ว….ข้ายังวาดภาพและมองดูภูเขาอัสนีได้ ข้าอาจเลียนแบบการปรากฏแห่งเต๋าได้และอาจจะมีโอกาสเจอสิ่งที่จะผสานมันเข้าด้วยกันได้ก็ได้”
จิตวิญญาณของเจียงอี้สั่นเทาขณะที่เขาคว้าแปรงในมือของเฟิ่งหลวนมาและหยิบกระดาษขาวอีกแผ่นขึ้นมาและเริ่มร่างภาพ ขณะที่เขากำลังวาดภาพ เขาก็หลับตาลงและเข้าสู่สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์
“หืม?”
เฟิ่งหลวนตื่นขึ้นจากภวังค์ขณะที่ชิงหยีผู้ซึ่งหมกมุ่นอยู่กับงานเย็บปักของนางลุกขึ้นยืนด้วยความประหลาดใจ ขณะที่นางกำลังจะพูดออกมา เฟิ่งหลวนก็ส่งข้อความไปหยุดนางว่า “ชู่วว ดูเหมือนว่านายน้อยจะเริ่มตระหนักถึงบางสิ่งได้ อย่าเพิ่งรบกวนเขา”
“เข้าใจแล้ว!”
ชิงหยีพยักหน้าเหมือนลูกไก่ขณะที่นางมองดูภาพวาดของเจียงอี้อย่างสงสัย แต่มันก็ทำให้นางผิดหวังเพราะเจียงอี้ไม่ได้วาดภาพ เขาแค่ปัดแปรงไปลวกๆและภาพวาดนั้นน่าเกลียดมากจนชิงหยีไม่อยากดูต่อ
ส่วนเฟิ่งหลวนเป็นผู้ชำนาญการวาดภาพและนางชอบการวาดภาพตั้งแต่เด็ก เมื่อก่อนตอนที่นางรู้สึกเบื่อเมื่ออยู่ในราชวังจักรพรรดิ นางก็จะวาดภาพออกมา นางมักจะวาดภูมิทัศน์และยังมีภาพบุคคลเช่นกัน นางวาดภาพเหมือนของเจียงอี้ไว้มากมายแต่เจียงอี้ไม่รู้เรื่องนี้
ชิงหยีรู้สึกสับสนเล็กน้อยเมื่อเจียงอี้กำลังปัดแปรงลวกๆ เฟิ่งหลวนก็ไม่ได้แอบหัวเราะแต่กลับดูค่อนข้างสนใจมัน หลังจากนั้นนางก็หมกมุ่นอยู่กับภาพวาดนั้น
“ภาพวาดนี้มีอะไรพิเศษกัน?”
ชิงหยีเบิกตากว้างและค่อยๆตั้งใจมอง นางเห็นอย่างชัดเจนว่าเจียงอี้กำลังวาดภาพภูเขาอัสนี แต่นางไม่เห็นสิ่งใดอีก นอกจากนี้ภูเขาทั้งสิบลูกไม่อัปลักษณ์ไปหน่อยหรือ? มันเหมือนแค่ภาพหินทั้งสิบที่ถูกปัดอย่างลวกๆ
เจียงอี้วาดภาพนั้นอย่างจริงจัง เขาอาจหลับตาอยู่ แต่เมื่อเขาอยู่ในสภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์ การหลับตาหรือลืมตาก็ไม่ได้ต่างอะไรกันเลย เขาลืมทุกสิ่งไปสิ้นและจดจ่ออยู่กับภูเขาอัสนีในดวงตาของเขา น่าเสียดายที่ฝีมือการวาดภาพของเขาไม่ค่อยดีนัก หากเพียงแค่เหลือบมองมัน ภาพวาดนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากการแต้มหมึกเล่นเลย เมื่อแปรงหยุดลง หมึกก็แห้งด้วย!
เมื่อเจียงอี้วางแปรงลงและลืมตาเพื่อเหลือบมอง เขาก็ส่ายหัวและถอนหายใจ “นี่ไม่น่าใช้ได้ แต่ภาพวาดนี้ก็ค่อนข้างมีประโยชน์กับข้าที่จะเอาไว้ระลึกถึงการปรากฏแห่งเต๋า ภายหน้าข้าคงต้องฝึกฝีมือการวาดภาพเสียหน่อย นี่มันน่าเกลียดไปหน่อย….”
“ฮู่ ฮู่ ฮู่!”
เฟิ่งหลวนเองก็ตื่นจากภวังค์อยู่ข้างๆ แต่นางมีการหายใจที่ไม่นิ่ง ซึ่งมันทำให้หน้าอกของนางสั่นเป็นคลื่น นัยน์ตาของนางเป็นประกายขณะที่นางมองภาพวาดนี่และพึมพำออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจว่า “ข้านั้นโชคดีมากที่ได้เห็นภาพวาดสวรรค์ในตำนาน นายน้อย….ท่านนี่เป็นอัจฉริยะจริงๆ”