เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 749 ราคาสูงเสียดฟ้า
“ตำหนักศิลป์ที่ใหญ่ที่สุด? ตำหนักศิลป์ของสมาคมการค้าจันทราวายุใหญ่ที่สุดแล้วและยังมีงานศิลป์อยู่ในนั้นมากมายด้วย”
เฉียนว่านก้วนกำลังสอบถามชายชราคนหนึ่งทางตะวันออกของเมือง นี่เป็นบุคคลที่ห้าที่เขาถามแล้ว สองคนแรกไม่รู้ว่าเขาถามเรื่องอะไร แต่อีกสามคนที่เหลือบอกว่าตำหนักศิลป์นี้ใหญ่ที่สุดแล้วและมันก็ดูท่าจะจริง
หลังจากถามถึงที่ตั้งที่แน่นอนของสมาคมการค้าจันทราวายุแล้ว เฉียนว่านก้วนก็เดินวนทั่วที่นั่นก่อนที่จะไปถึงจัตุรัสกลางเมืองซึ่งเป็นที่ตั้งของสมาคมการค้าจันทราวายุ
ที่นี่เป็นปราสาทขนาดยักษ์และว่ากันว่าสมาคมการค้าจันทราวายุเป็นสมาคมการค้าที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะมังกรอินทนิล
“ท่านใต้เท้า ท่านมีสิ่งใดที่ต้องการจะซื้อหรือไม่เจ้าคะ?” มีสาวงามที่คอยบริการอยู่ที่ทางเข้าสมาคมการค้า รูปลักษณ์ของเฉียนว่านก้วนไม่ได้ดูดีมากนัก แต่เสื้อผ้าของเขามีคุณภาพสูง เขายังได้ติดต่อกับผู้คนใหญ่โตมาบ่อยๆจึงทำให้กลิ่นอายของเขาไม่ธรรมดา ซึ่งทำให้สาวงามที่มองลูกค้าเก่งๆรีบพากันเข้ามาต้อนรับเขา
เฉียนว่านก้วนถามสาวที่มาบริการเขาอย่างเย็นชาว่า “ตำหนักศิลป์อยู่ทางไหน?”
“เชิญด้านนี้เจ้าค่ะ ท่านใต้เท้า!”
บริกรหญิงผู้นั้นพาเฉียนว่านก้วนไปยังห้องโถงด้านข้างซึ่งมีลูกค้ามากมาย พวกเขาทั้งหมดค่อนข้างมีกลิ่นอายขอบเขตที่แตกต่างกันไปมากมาย และยังมีแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนระดับกลางด้วย คนเหล่านี้คงไม่มีหวังที่จะทะลวงขอบเขตใดๆอีกแล้วและเมื่อพวกเขามีชีวิตที่ยาวนานและไม่มีอะไรที่ทำได้ดีไปกว่านี้แล้ว พวกเขาจึงหันมาให้ความสนใจและศึกษาการวาดภาพ
มีภาพวาดมากมายแขวนอยู่ที่ห้องโถงนั้น มีทั้งรูปคน ภาพสัตว์อสูร และแม้แต่ทิวทัศน์ เมื่อเฉียนว่านก้วนเดินเข้ามา เขาก็เห็นภาพวาดขนาดยักษ์ที่มีสัตว์อสูรที่น่ากลัวอยู่ในนั้น เขาคิดว่ามันเป็นของจริงและทำให้เนื้ออ้วนๆของเขาสั่นสะท้านอย่างตกใจไปชั่วขณะ
“ศิลาสวรรค์ห้าล้านก้อน?”
มุมปากของเฉียนว่านก้วนกระตุกเมื่อเห็นป้ายราคา ภาพวาดนั้นขายได้ราคาสูงเพียงนี้จริงๆหรือ? มันไม่ได้มีประโยชน์อันใดเลยและมันมีเอาไว้เพียงแค่ชื่นชมเท่านั้น
“แขกผู้นี้ มาซื้อภาพวาดหรือ? หรือมาขายภาพวาดกัน?”
ผู้คุมที่เป็นชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีน้ำเงินเดินเข้ามาถาม เขาเห็นว่าเฉียนว่านก้วนนำม้วนภาพมาด้วย ดวงตาของเขาเผยความดูหมิ่น ขณะที่ภาพวาดถูดม้วนเอาไว้ มันจะเรียกว่าภาพวาดได้อย่างไรหากไม่มีกรอบ?
เฉียนว่านก้วนยิ้มและกล่าวว่า “ข้าไม่ได้ชำนาญการวาดภาพและไม่ต้องการซื้อสิ่งใดๆ ข้าเพียงบังเอิญเจอภาพวาดโบราณนี้และต้องการแลกศิลาสวรรค์ไปเริงสำราญน่ะ” คำพูดของเฉียนว่านก้วนดึงดูดชายชราหลายคนที่ชื่นชมภาพวาดทั้งหลาย เมื่อพวกเขาเห็นว่าม้วนภาพนี้เป็นสีเหลืองเล็กน้อย พวกเขาก็เริ่มสนใจขึ้นมาบ้างและคิดว่ามันเป็นภาพโบราณจริงๆ
“โอ้ ข้าขอลองดูหน่อยได้ไหม? หากมันเป็นภาพวาดที่ดีจริงๆ ตำหนักที่ต่ำต้อยนี้จะให้ราคางามๆแก่ท่านเอง” ผู้คุมวัยกลางคนพูดออกมา
“มันคือภาพวาดนี้!”
เฉียนว่านก้วนมอบภาพวาดในมือของเขาและยิ้ม “ประมุขตระกูลข้าบอกว่ามันเป็นภาพวาดโบราณจากทวีปจักรพรรดิบูรพา จะเปิดราคาที่ศิลาสวรรค์หนึ่งล้านก้อน”
“เอ่อ…”
คำพูดนี้ดึงดูดลูกค้าหลายคนมากขึ้น ในขณะที่สีหน้าของผู้คุมเริ่มจริงจังขึ้นมา เขาหยิบภาพม้วนอย่างระมัดระวังและค่อยๆเปิดกางมันออกที่โต๊ะข้างๆ
ลูกค้าเกือบครึ่งในตำหนักศิลป์ต่างจับจ้องไปที่ภาพวาด
“ชิ…”
“นี่เรียกว่าภาพวาดได้ด้วยหรือ?”
“สมองของไอ้คนนี้มันดีอยู่ไหม ศิลาสวรรค์หนึ่งล้านก้อน? เขาจนจนเป็นบ้าไปแล้วหรือ?”
“โอ….ตาข้า”
ก่อนที่ภาพจะถูกเปิดออกอย่างสมบูรณ์ก็มีลูกค้ามากมายมองมันอย่างเย้ยหยันและยังมีแม้แต่ชายชราที่ปิดตาของเขาราวกับว่ามันทำให้ดวงตาเขาสกปรกเลย ส่วนผู้คุมก็แสดงทีท่าโกรธเล็กน้อยขณะที่เขาคิดว่าเฉียนว่านก้วนมาที่นี่เพื่อสร้างความสนุกสนานจากเขา
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาที่ดูถูกเหล่านั้น เฉียนว่านก้วนก็ค่อยๆเช็ดหน้าของเขา แต่เขาเชื่อว่าเจียงอี้และเฟิ่งหลวนจะไม่หลอกเขาโดยไม่มีเหตุผล
หลังจากที่ภาพวาดถูกเปิดออกจนหมดแล้ว หลายคนก็เหลือบมองภาพวาดนั้นอีกครั้งด้วยสายตาเหยียดหยาม ผู้คุมยังเหลือบมองและพูดกับเฉียนว่านก้วนอย่างเฉยเมยว่า “ท่าน เราซื้อภาพวาดนี้ไม่ได้ ไปขายที่อื่นเถอะ”
เฉียนว่านก้วนถูจมูกของเขาและกัดฟันพูดว่า “ประมุขตระกูลข้าบอกว่าภาพวาดนี้…มีบางอย่างอยู่ภายใน ทำไมท่านไม่ลองให้ผู้ประเมินมาดูอย่างละเอียดล่ะ?”
ผู้คุมวัยกลางคนเย้ยหยันและพูดว่า “ข้าเป็นผู้ประเมินงานศิลป์ระดับสาม เชิญท่านช่วยไปขายที่อื่นได้ไหม?”
“โอ้…” ไอลีนโนเวล
เฉียนว่านก้วนตอบด้วยความผิดหวัง เขาเกาหัวและรู้สึกว่ามันไร้เหตุผลสิ้นดี เจียงอี้และเฟิ่งหลวนไม่มีอะไรทำแล้วหรือไงกัน?
“รอเดี๋ยว!”
ขณะที่เฉียนว่านก้วนกำลังจะม้วนภาพขึ้นและเก็บภาพวาดนั้นไป ผู้เฒ่าผมขาวก็เดินเข้ามา เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนระดับกลางจริงๆและดวงตาของเขาก็เป็นประกาย เขามองดูภาพวาดนั้นอย่างละเอียดและเงยหน้าขึ้นมาเจรจา “หนุ่มน้อย ช่วยคิดราคาถูกกว่านี้หน่อยได้ไหม?”
“เอ๊ะ?”
ลูกค้าหลายคนมองด้วยท่าทีแปลกๆขณะที่ผู้คุมวัยกลางคนขมวดคิ้วและเหลือบมองภาพวาดอย่างละเอียดอีกครั้ง ผู้เฒ่าผู้นี้เป็นลูกค้าประจำของที่นี่และมีสายตาที่แหลมคมอยู่เสมอ หากเขาต้องการซื้อภาพวาดนี้จริงๆ มันก็หมายความว่าภาพวาดนี้มีบางสิ่งที่พิเศษ
เฉียนว่านก้วนส่ายหัวและพูดอย่างหนักแน่นว่า “ท่านประมุขของข้าบอกว่าข้าไม่สามารถขายมันได้หากขาดศิลาสวรรค์ไปเพียงก้อนเดียว”
“ไม่เป็นอะไร!”
แหวนของผู้อาวุโสเปล่งประกายสีขาวออกมาขณะที่เขาหยิบแหวนออกมาอีกวงแล้วพูดว่า “ในนี้มีศิลาสวรรค์อยู่ล้านก้อน โปรดลองตรวจสอบดูนะ”
“เดี๋ยวก่อน” ในขณะนั้นเอง ผู้คุมวัยกลางคนก็ตะโกนออกมาด้วยดวงตาที่เปล่งประกายพร้อมกับหายใจถี่ “ทางตำหนักจันทราวายุจะซื้อภาพนี้ เราขอเสนอศิลาสวรรค์หนึ่งล้านห้าแสนก้อน!”
“ฮือฮา!”
ตำหนักศิลป์ตกอยู่ในความโกลาหลทันทีเมื่อทุกคนมองภาพวาดนั้นด้วยความตกใจ แต่ผู้คุมวัยกลางคนม้วนภาพนั้นทันทีและคำนับให้ผู้อาวุโสผมขาวพร้อมกล่าวว่า “ผู้อาวุโสหลง ข้าต้องขออภัยด้วย น้องชายผู้นี้มาที่ตำหนักศิลป์ของเราเพื่อขายภาพวาด ดังนั้นเราจะซื้อภาพวาดนี้ ในภายภาคหน้า หากท่านต้องการซื้อภาพวาดที่นี่ เราจะให้ส่วนลดแก่ท่านหนึ่งในสิบส่วนขอรับ”
“เหอะ เหอะ!”
ผู้อาวุโสโกรธเคืองขณะที่เขาเย้ยหยันและพูดว่า “ตำหนักจันทราวายุของเจ้าน่าเกรงขามมากเลยสิ เหอะ? เจ้าเพิ่งจะบอกว่าเจ้าจะไม่ซื้อมัน แล้วเจ้ากลับขึ้นราคาทันทีหลังจากที่ข้าเสนอราคาเนี่ยนะ? เช่นนั้นข้าจะเสนอศิลาสวรรค์สองล้านก้อน หนุ่มน้อย เจ้าว่าอย่างไรล่ะ?” “เอ่อ….”
ร่างอ้วนๆของเฉียนว่านก้วนสั่นเทา เจียงอี้ไม่ได้หลอกเขาจริงๆ ภาพเขียนนี่อาจเป็นสมบัติที่แท้จริงได้หรือไม่? ศิลาสวรรค์สองล้านก้อนนับว่าเป็นราคาที่สูงเสียดฟ้าและสามารถซื้อสนามบ้านในเมืองหยกอินทนิลได้ถึงสองแห่งเลย
เฉียนว่านก้วนสงบสติได้อย่างรวดเร็วและคว้าภาพวาดจากมือผู้คุมวัยกลางคนมาแล้วส่งมอบให้ผู้อาวุโสขณะที่พูดว่า “ท่านผู้อาวุโสชำนาญในเรื่องนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นข้าจึงต้องขายให้แก่ท่านอยู่แล้ว ราคาจะถูกตัดสินที่ศิลาสวรรค์สองล้านก้อน”
“ได้!”
ผู้อาวุโสหยิบแหวนอีกวงออกมาอย่างรวดเร็วและดูเหมือนว่าเขาจะกลัวว่าจะมีคนแย่งภาพวาดนี้ไปจริงๆ เมื่อเฉียนว่านก้วนตรวจสอบเสร็จเขาก็โค้งคำนับก่อนที่จะจากไป
“น้องชาย รอก่อน!”
ผู้คุมวัยกลางคนรีบไล่ตามเฉียนว่านก้วนไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับความสำนึกผิด จากนั้นเขาก็ป้องมือพร้อมกับยิ้มและขอโทษว่า “น้องชาย ครั้งนี้ข้าไม่ทันได้ตระหนักถึงบางอย่างที่ยอดเยี่ยม คราวหน้า หากมีรูปวาดเช่นนี้อีก โปรดนำมันมาที่นี่แล้วเราจะสามารถต่อรองราคากันได้”
“เราค่อยว่าเรื่องนี้กันคราวหลัง!”
เฉียนว่านก้วนเหล่มองผู้คุมและตอบด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่งก่อนที่จะจากไป เจ้าอ้วนไม่ได้กลับไปที่ลานบ้านทันทีและเดินไปที่ร้านอื่นๆก่อนที่จะเข้าไปในซ่องเพื่อเปลี่ยนรูปลักษณ์ของเขาด้วยหินจันทร์มายาและกลับไปยังลานบ้านอย่างรวดเร็ว
เขาออกมาเกินสองชั่วโมงแล้วและทางเจียงอี้ก็เสร็จกิจแล้วและกำลังเพลิดเพลินกับการจิบชาอยู่ในห้องโถงใหญ่ เมื่อเจียงอี้เคลื่อนย้ายเจ้าอ้วนกลับเข้ามาในราชวังแล้ว เฉียนว่านก้วนก็ตะโกนเสียงดังว่า “รวยแล้ว เรารวยแล้วลูกพี่ เรากำลังจะรวยแล้ว ภาพวาดของเจ้าขายได้ศิลาสวรรค์สองล้านก้อน! เร็ว เร็วเข้า รีบขึ้นไปวาดภาพอีกสักสองสามร้อยภาพเร็ว เมื่อเราขายมันทั้งหมดแล้ว เราจะย้ายไปอยู่ในเกาะเทพประทานได้”
“เอ่อ…”
ดวงจิตวิญญาณของเจียงอี้สั่นสะท้าน การขีดเขียนภาพลวกๆของเขาเป็นภาพวาดสวรรค์ในตำนานจริงๆหรือ? เจียงอี้ยืนขึ้นมาและเริ่มวาดภาพทันที เขากำลังจะวาดภาพเหล่านี้สักสองสามร้อยภาพและขายมันก่อนที่จะคิดเรื่องอื่น
เฟิ่งหลวนเริ่มบดหมึกแล้วขณะที่ชิงหยีกลั้นกายใจและสังเกตอยู่ข้างๆ ส่วนเจียงอี้ก็วาดมันด้วยความรวดเร็วและขีดเขียนไปมา เขาใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีในการสร้างภาพวาดขึ้นมาอีกภาพ
แต่เมื่อเฟิ่งหลวนเหลือบมองมันนางก็ส่ายหัว “ไม่ใช่ ภาพวาดนี้ไม่มีการปรากฏแห่งเต๋าอยู่เลยและไม่ใช่ภาพวาดสวรรค์ คงไม่มีใครเอามันไปใช้แม้จะนำไปเป็นกระดาษเช็ดก้นก็ตาม…”