เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 750 ทักษะการวาดภาพ
“เกิดอะไรขึ้นกัน?”
เจียงอี้รู้สึกงุนงง เขาวาดมันตามความทรงจำของเขา แต่ทำไมถึงไม่มีกลิ่นอายแห่งเต๋าอยู่เลยล่ะ? เฟิ่งหลวนที่อยู่ข้างๆเขาเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบหลังจากที่นางตระหนักได้ว่า “นายน้อย ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้ท่านหลับตาวาดภาพ”
“ข้าหลับตา? โอ้ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ข้าเข้าสู่สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์”
เจียงอี้ตบหัวตัวเองและโยนภาพวาดนี้ทิ้งไป ส่วนชิงหยีก็รีบหยิบกระดาษแผ่นใหม่มาอย่างรวดเร็วขณะที่เจียงอี้เข้าสู่สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์ คราวนี้ความเร็วในการวาดของเขาช้าลงขณะที่เขาจดจ่ออยู่กับการปรากฏแห่งเต๋าที่ภูเขาอัสนีขณะที่เขาค่อยๆวาดมันอย่างละเอียด
คราวนี้ภาพวาดค่อนข้างดีกว่าครั้งก่อน อย่างน้อยมันก็ดูเกือบจะเป็นภาพวาดทิวทัศน์ได้บ้าง มันมีพื้นที่ทะเลที่ไม่มีที่สิ้นสุดที่มีเกาะยาวๆและกว้างขวาง นอกจากนี้ยังมีสันเขาอัสนีและภูเขาทั้งสิบลูก สายฟ้าฟาดลงมาจากท้องฟ้าขณะที่เปลวเพลิงอัสนีโคจรรอบภูเขาอัสนี
แน่นอนว่าทักษะการวาดภาพของเจียงอี้ยังคงเกินทนเหมือนคราวก่อน ภูเขาของเขาไม่เหมือนภูเขา น้ำไม่เหมือนน้ำและสายฟ้าก็เหมือนกรงเล็บไก่
“พี่ใหญ่ เป็นเช่นไรบ้าง?”
ชิงหยีถามด้วยน้ำเสียงประหม่าหลังจากที่เจียงอี้วาดภาพเสร็จ เฟิ่งหลวนขมวดคิ้วแน่นขณะที่ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความฉงน นางส่ายหัวและตอบว่า “ยังไม่ดี ในภาพวาดนี้ไม่มีการปรากฏแห่งเต๋าอยู่ นี่ไม่ใช่ภาพวาดสวรรค์”
ดวงตาของเจียงอี้เต็มไปด้วยความผิดหวังเมื่อลืมตาขึ้นมา เดิมทีเขาคิดว่าเขาสามารถหาเงินได้มากมายแต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้น เมื่อเขาพยายามวาดมันอย่างพิถีพิถัน เขาก็ยังไม่สามารถดึงเอาการปรากฏแห่งเต๋ามาอยู่ในภาพวาดได้
ตอนนี้พวกเขาขาดศิลาสวรรค์ราวๆสองสามร้อยล้านก้อน พวกเขากำจัดกลุ่มโจรภูเขากลุ่มเล็กๆได้อย่างง่ายดายโดยอาศัยเปลวเพลิงอัสนี แต่หากพวกเขาเจอกองโจรขนาดใหญ่ล่ะ? หากบางคนสามารถหลบหนีไปได้ล่ะ? จะเกิดอะไรขึ้นหากมียอดฝีมืออยู่ใกล้ๆ? ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะถูกเปิดเผยตัวทันทีหรือ? เมื่อถึงเวลานั้น พวกเขาก็จะตกอยู่ในอันตรายเนื่องจากลู่หลินกำลังวางแผนอยู่ในความมืด
“วาดต่อ!”
เจียงอี้กัดฟันหลับตาโดยไม่สนใจทุกสิ่งทุกอย่างและหมกมุ่นกับการวาดภาพ เขาไม่สนใจอีกต่อไปว่ามันจะเป็นภาพวาดสวรรค์หรือไม่ เขาจะดึงกระดาษอีกแผ่นมาใหม่เมื่อเขาวาดภาพเสร็จแล้ว เขาไม่หยุดเลยจนผ่านไปสี่ชั่วโมง จากนั้นเขาก็หยุดพร้อมกับภาพวาดที่เสร็จไปแล้วหลายภาพ
เขาเบิกตากว้างและมองไปทางเฟิ่งหลวนและเห็นเพียงดวงตาที่เศร้าสร้อยหนึ่งคู่ เจียงอี้โยนแปรงแล้วพูดด้วยความโกรธว่า “ไม่วาดมันแล้ว!”
เฟิ่งหลวนส่งสัญญาณตาให้ชิงหยีจัดระเบียบสถานที่ขณะที่นางชงชาให้เจียงอี้ “นายน้อยอย่าท้อแท้ไปนะเจ้าคะ ท่านจะสร้างภาพวาดสวรรค์ขึ้นได้อีกเนื่องจากท่านเคยวาดมันมาได้แล้ว เอาอย่างนี้ไหม…ข้าจะสอนนายน้อยวาดรูปครึ่งวัน ส่วนเวลาอื่นที่เหลือ นายน้อยก็บ่มเพาะพลัง มาลองดูกันสักเดือนแล้วเราจะยอมแพ้หากมันไม่ได้ผล ดีไหมเจ้าคะ?”
“ก็ได้!”
เจียงอี้จำได้ว่าการผสานรูปแบบเต๋าของเขายังติดอยู่ตรงคอขวดและมันจะไม่มีประโยชน์ที่เขาจะไปบังคับมัน มันจะดีกว่าที่จะเปลี่ยนไปฝึกฝนแก่นแท้พลังขณะที่เข้าถึงศาสตร์เวทย์ บางทีเขาอาจได้ตระหนักโดยการเรียนรู้การวาดภาพทุกวันก็ได้
เวลาผ่านพ้นไปเพียงห้าเดือนเท่านั้นและอาจไม่ปลอดภัยสำหรับพวกเขาที่จะออกไปในตอนนี้ เป็นไปได้มากที่ลู่หลินจะยังส่งคนออกมาสำรวจที่อยู่ของพวกเขาลับๆ เจียงอี้จึงให้เฉียนว่านก้วนทำความเข้าใจกับชิ้นส่วนรูปแบบเต๋าวิญญาณต่อ หลังจากที่เจียงอี้จิบชาไปถ้วยหนึ่งเขาก็ยืนขึ้นมา “เอาล่ะ เฟิ่งเอ๋อร์ เจ้ามาสอนข้าวาดรูปที”
“เจ้าค่ะ!”
เฟิ่งหลวนพยักหน้า นางไม่ได้ยืนขึ้นแต่นั่งตัวตรงและพูดว่า “นายน้อยต้องเข้าใจความรู้พื้นฐานก่อน อย่างแรกคือประเภทของภาพวาด ทวีปเฟิ่งหมิงของเราแบ่งภาพวาดออกเป็นภาพวาดหมึก ซึ่งเป็นภาพที่นายน้อยใช้แปรงวาดเขียนมัน นอกจากนี้ยังมีภาพวาดสีต่างๆที่จะให้เกิดเป็นภาพวาดหลากสีได้ และยังมีภาพวาดสีโคลน, การร่างภาพ, ภาพลายปัก, ภาพแกะสลักและอื่นๆอีกมากมาย นายน้อย… ท่านไม่จำเป็นต้องเรียนรู้สิ่งที่ซับซ้อนเหล่านั้น แค่มีสมาธิกับการเรียนรู้การวาดภาพด้วยสีหมึกก็เพียงพอแล้ว”
“อย่างที่สองคือ ภาพวาดมีหลายประเภท มีภาพวาดทิวทัศน์ ภาพวาดผู้คน ภาพวาดสัตว์ ภาพวาดเขตแดน, ภาพวาดหมอกและอื่นๆ สำหรับศิลปินมือใหม่ข้าขอแนะนำให้วาดภาพทิวทัศน์เนื่องจากมันเรียนรู้ง่าย”
“สามคือทักษะการวาดภาพ มันประกอบด้วยการสาดกระเซ็นของหมึก ทักษะการลงแปรงอย่างพิถีพิถัน การร่างภาพ การจัดภาพ การวาดเส้น การใช้นิ้วมือวาดภาพและอื่นๆอีกมากมาย แล้วนายน้อยคอยดูว่าข้าวาดภาพอย่างไรขณะที่ข้าจะอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด ข้าให้ความรู้พื้นฐานได้เท่านั้น แต่เรื่องความชำนาญ ท่านต้องทำมันด้วยตัวเองและการฝึกฝนนั้นขึ้นอยู่กับตัวเอง นายน้อยจะไปได้ถึงระดับใดก็จะต้องขึ้นอยู่กับความเข้าใจและความขยันของนายน้อยเอง…” Aileen-novel
เฟิ่งหลวนแทบจะไม่ถูกนับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการวาดภาพนัก ซึ่งมีหลายสิ่งที่เจียงอี้ไม่เข้าใจ ทำให้เขาปวดหัวมากๆ แต่โชคดีที่เฟิ่งหลวนค่อนข้างเป็นครูที่ดี นางได้สรุปความรู้พื้นฐานเล็กน้อยก่อนที่จะยืนขึ้นเพื่อวาดภาพ นางสอนเขาขณะที่วาดภาพและอธิบายสิ่งต่างๆในลักษณะที่เรียบง่ายและเข้าใจง่าย วิธีนี้จะทำให้เจียงอี้เรียนรู้ได้ง่ายขึ้นมาก
เจียงอี้ไม่ได้แตะแปรงตลอดทั้งวันแต่มองไปยังภาพที่เฟิ่งหลวนกำลังวาดอย่างไม่เร่งรีบขณะที่นางอธิบายทีละน้อย ท้องฟ้าภายนอกเริ่มมืดแล้วและในที่สุดเขาก็เข้าใจความรู้พื้นฐานมาคร่าวๆบ้างแล้ว
เขาลองวาดภาพไม่กี่ภาพและระดับของเขาค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ภูเขาอัสนีไม่ยึกยืออีกต่อไป สันเขาอัสนีเองก็ค่อยๆก่อร่างขึ้นมาอย่างช้าๆ และสายฟ้าก็ไม่เหมือนกรงเล็บไก่อีกต่อไป
“นายน้อยเข้าใจมันได้ดีทีเดียวเจ้าค่ะ ความเพียรพยายามเป็นสิ่งจำเป็นในโลกแห่งการวาดภาพ นายน้อยจวนจะได้เป็นศิลปินขั้นเทพแล้วนะเจ้าคะ”
เฟิ่งหลวนยกย่องเจียงอี้ขณะที่พยักหน้าเล็กน้อย ส่วนเจียงอี้ก็หัวเราะและเก็บแปรงของเขาขณะที่เขาผ่อนคลายกล้ามเนื้อและพูดว่า “เอาล่ะ สำหรับวันนี้พอแค่นี้ก่อน ข้าควรจะบ่มเพาะพลังต่อ…หรือเราจะศึกษาท่าใหม่ของเราต่อกันดี?”
“ไม่เอา ข้าไม่เอาด้วย”
ร่างกายที่บอบบางของชิงหยีสั่นสะท้านขณะที่นางรีบเบือนสายตาหนีไปทันทีหลังจากที่เจียงอี้หันไปมอง ผิวพรรณของเฟิ่งหลวนเองก็เปลี่ยนไปด้วยและวางมือข้างหนึ่งไว้ที่บั้นท้ายขณะที่บ่นว่า “นายน้อย ท่านซุกซนมาก มันจะดีกว่าหากท่านไปบ่มเพาะพลังต่อ ตรงนั้นมันยังเจ็บอยู่เลย…”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เจียงอี้หัวเราะขณะที่จะกลับเข้าไปฝึกฝนต่อที่ห้อง คราวนี้เขาไม่ได้หลอมรวมรูปแบบเต๋าเลย แต่ฝึกฝนแก่นแท้พลังและเข้าถึงศาสตร์เวทย์ต่อ
หลังจากฝึกฝนมาหนึ่งคืน เจียงอี้ก็ออกจากสันโดษตอนบ่ายและเริ่มเรียนวาดภาพกับเฟิ่งหลวนอีกครั้ง เขาตั้งใจจะใช้เวลาหนึ่งเดือนเพื่อดูว่าจะสร้างภาพวาดสวรรค์ขึ้นมาได้อีกหรือเปล่า และเจียงอี้ก็จะได้ไม่ต้องเสี่ยงสังหารเหล่าโจรภูเขาอีกต่อไปเมื่อเขาสามารถวาดภาพแล้วได้ศิลาสวรรค์จำนวนมากกลับมาได้
ครึ่งเดือนต่อมา การวาดภาพของเจียงอี้ก็ดีขึ้นมาและเฟิ่งหลวนก็บอกว่าเขาไปถึงระดับศิลปินมาตรฐานแล้ว อาจจะกล่าวได้ว่าเขาก้าวหน้าอย่างน่าอัศจรรย์ แต่เจียงอี้ก็ยังไม่สามารถสร้างภาพวาดสวรรค์ได้อีกแผ่น
เจียงอี้รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่เฟิ่งหลวนและชิงหยียังคงให้กำลังใจเขาต่อ เฟิ่งหลวนสัญญากับเจียงอี้ว่าหากเขาสามารถวาดภาพสวรรค์ได้อีก นางจะทำให้เขาพึงพอใจหรือให้เขาทำท่วงท่าใดๆก็ได้ที่เขาต้องการ
เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ โลกภายนอกก็เริ่มสงบสุขมากขึ้นราวกับว่าลู่หลินลืมเรื่องนี้ไปแล้วและกองโจรภูเขาเองก็ไม่ได้สนใจที่จะล่าเจียงอี้อีกต่อไป และยังดูเหมือนว่าตระกูลหงและตระกูลลี่เองก็ยอมแพ้ไปเหมือนกัน ส่วนนายน้อยตระกูลอื่นๆก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย
หนึ่งเดือนต่อมา…!
เจียงอี้โยนแปรงที่อยู่ในมือเขาทิ้งด้วยความโกรธขณะที่พูดอย่างฉุนเฉียว “ไม่วาดแล้ว ถึงข้าจะเป็นปรมาจารย์ศิลปินหรือศิลปินมือฉมังแล้วอย่างไรล่ะ? ภาพวาดพวกนี้ก็ขายได้แค่ไม่กี่หมื่นศิลาสวรรค์เท่านั้น เสียเวลานัก!”
เฟิ่งหลวนยังคงนิ่งเงียบขณะที่ชิงหยีไปเก็บกวาดอย่างเงียบๆ ทักษะการวาดภาพของเจียงอี้พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา แต่มันก็ยังต่างจากมาตรฐานของเฟิ่งหลวนนักเพราะสิ่งนี้ไม่สามารถทำได้ในทันที แต่ที่สำคัญที่สุดคือ…เจียงอี้วาดภาพไปอย่างน้อยนับหมื่นภาพแล้ว แต่ก็ไม่มีภาพใดเป็นภาพวาดสวรรค์แม้แต่ภาพเดียว ดูเหมือนว่าภาพวาดสวรรค์ที่เขาวาดได้ในวันนั้นจะเป็นเพียงความโชคดีก็เท่านั้น