เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 758 ปล้นกันชัดๆ!
“นี่คือเมืองเทพประทานหรือ?”
“โอ้ แม่เจ้า”
“พระเจ้า เมืองเทพประทานนี้ถูกประทานโดยเทพจริงๆหรือ?”
หลังจากผ่านไปสองวัน เรือลิขิตสวรรค์ก็หยุดลง เจียงอี้และเฟิ่งหลวนแผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาออกไปทันทีและพวกเขาทั้งหมดก็พากันตะลึง
มันเป็นพื้นที่ราบที่ไม่มีหญ้าและเต็มไปด้วยดอกไม้งามตระการตาไปทั่วทุกหนแห่ง แต่เมืองเทพประทานนั้นไม่ได้อยู่บนพื้นที่ราบแต่มันอยู่บนท้องฟ้า!
หินสีดำลอยอยู่บนฟ้าเหนือพื้นดินไปสามกิโลเมตร และแผ่นหินนั้นกว้างอย่างน้อยห้าสิบกิโลเมตร มันเป็นหินยักษ์ก้อนเดียวซึ่งไม่มีรอยแตกหรือเสาค้ำอยู่ด้านล่างเลย มันลอยอยู่กลางอากาศ และบนหินนั้นก็มีเมืองขนาดยักษ์ตั้งอยู่ มันเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดที่เจียงอี้เคยพบเจอมา มันใหญ่กว่าเมืองในราชวังลี้ลับเสียอีก กำแพงต่างก็ทำด้วยหินสีดำซึ่งมีน้ำหนักกว่าร้อยกิโลกรัมและกำแพงเมืองสูงถึงสามพันกิโลเมตรที่แผ่ความเก่าแก่และความนิรันดร์ออกมา แม้แต่เรือลิขิตสวรรค์ที่ใหญ่พอๆกับสัตว์อสูรยักษ์ยังดูเหมือนมดเมื่อเทียบกับเมืองนี้เลย
“พระเจ้า เมืองนี้ลอยอยู่บนฟ้าได้อย่างไรกันเจ้าคะ?” ปากของชิงหยีอ้าออกมาจนวางไข่เป็ดได้เลย
เมืองลอยฟ้า!
นี่มันน่าทึ่งมาก มันน่าจะหนักกว่าเรือลิขิตสวรรค์หลายพันหลายหมื่นลำรวมกันเสียอีก
เจียงอี้กลืนน้ำลายหนึ่งอึกใหญ่เพื่อผ่อนคลายการหายใจของเขา เวลานี้ก็ค่อนข้างค่ำแล้ว พวกเขาจะต้องเข้าไปในเมืองและซื้อบ้านให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้น เมื่ออาทิตย์ตกดิน เมืองเทพประทานจะอยู่ภายใต้กฎที่ห้ามเดินออกมายามค่ำคืน และหากพวกเขาไม่สามารถอยู่ในเมืองได้ พวกเขาก็จะต้องตายอย่างแน่นอน ฟรึ่บ! ฟรั่บ! ฟรึ่บ!
ผู้คนนับไม่ถ้วนพุ่งออกจากเรือลิขิตสวรรค์และบินไปยังเมืองเทพประทาน ส่วนราชวังจักรพรรดิของเจียงอี้ก็ส่องประกายบนมือของเขา เจียงอี้พาเฉียนว่านก้วนออกมาและนำเฟิ่งหลวนและชิงหยีเข้าไปในนั้น หลังจากนั้นเขาก็พาเฉียนว่านก้วนออกจากระวางเรือ
“แขกผู้มีเกียรติทั้งสองท่าน นี่คือป้ายแขกพิเศษของสมาคมการค้าวิหคมรกตของเรา ท่านสามารถเพลิดเพลินกับส่วนลดแปดในสิบส่วน ด้วยการยื่นป้ายนี้ได้ ข้าต้องขออภัยเป็นอย่างมากกับสิ่งที่เกิดขึ้นและหวังว่าพวกท่านจะยกโทษให้เราด้วยขอรับ”
ผู้บัญชาการเดินไปหาพวกเขาอย่างรวดเร็วและมอบป้ายสีทองเข้มมาพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นเจียงอี้ก็เก็บมันเข้าไปในแหวนและป้องมือของเขาพร้อมกับพูดว่า “ลาก่อน!”
พวกเขาทั้งสองรีบบินไปทางประตูเมืองทางใต้อันงดงามทันที และในไม่ช้าพวกเขาก็ลงมาอยู่บนแผ่นหินสีดำ มันเป็นลานเมืองที่ราบเรียบพวกเขามองไปรอบๆและเห็นทหารองครักษ์หนึ่งร้อยคนอยู่นอกประตูเมือง ซึ่งพวกเขาทั้งหมดเป็นขอบเขตเทียนจุนระดับกลางและถูกนำโดยขอบเขตเทียนจุนระดับสูง
“สี่ตระกูลนี้มีอิทธิพลอย่างแท้จริง!”
พวกเขาแอบขวัญหายกันเล็กน้อยและไม่เสี่ยงที่จะทำเรื่องราววุ่นวายและรีบไปต่อแถวเข้าเมืองอย่างเชื่อฟัง
“หืม? นี่เราต้องจ่ายศิลาสวรรค์เพื่อเข้าเมืองคนละหมื่นก้อนด้วย? สิบสามตระกูลนี่ชั่วร้ายจริงๆ…”
เจียงอี้มองไปไม่กี่ครั้งและเกาจมูกด้วยความอึดอัดใจ ตอนนี้มีคนหลายพันคนต่อแถวอยู่ ซึ่งมันหมายถึงศิลาสวรรค์เกือบร้อยล้านก้อน ซึ่งบางคนลำบากจริงๆและพวกเขาไม่สามารถมอบศิลาสวรรค์ให้ได้เพราะหวงฝูเทาเทียนได้ปล้นพวกเขาไประหว่างทางมาที่นี่ พวกเขาแทบจะแลกสมบัติทั้งหมดที่มีเพื่อศิลาสวรรค์แล้ว ซึ่งมันแทบจะไม่พอให้พวกเขาเข้าไปในเมืองเลย
“คนหลายๆคนที่ไม่มีศิลาสวรรค์เหลืออยู่มากนัก พวกเขาจะไม่ตายหรือหากเข้าไปในเมืองแล้ว?”
เจียงอี้ส่งข้อความเสียงถามไปยังเฉียนว่านก้วนที่กลอกตาและส่งข้อความกลับมา “พวกเขาอาจจะไปหาญาติหรือสหายของพวกเขาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือหรือไม่พวกเขาก็อาจจะเป็นเจ้าของที่ในเมืองอยู่แล้วก็ได้”
“ก็จริง!”
เจียงอี้ยิ้มอย่างอึดอัด มันรวดเร็วมากที่จะจ่ายศิลาสวรรค์และมันก็ถึงตาของเฉียนว่านก้วนและเจียงอี้ในเวลาไม่ถึงชั่วโมง เจียงอี้มอบศิลาสวรรค์สองหมื่นก้อนที่เตรียมเอาไว้ แต่อย่างไรก็ตาม องครักษ์ผู้หนึ่งเหลือบมองเขาอย่างเย็นชาและตะโกนว่า “เจ้ากล้าดียังไงถึงได้มาหลอกพวกเรา! เห็นได้ชัดว่าเจ้ายังมีคนอีกสี่คนและสัตว์อสูรในสิ่งประดิษฐ์ห้วงมิติอีก มันต้องเป็นเจ็ดหมื่นก้อน เมื่อเจ้าจงใจปิดบังความจริงจากเรา เจ้าจะต้องจ่ายศิลาสวรรค์เพิ่มสิบเท่าเป็นเจ็ดแสนก้อน!”
“อะไรนะ?” ดวงตาของเจียงอี้หดลง พวกเขาไม่ได้จงใจปิดบังแต่ว่าพวกเขาแค่ไม่รู้กฎ การจ่ายศิลาสวรรค์นั้นไม่มีปัญหาหรอก แต่พวกเขาก็ไร้เหตุผลเกินไป!
เมื่อเห็นความไม่พอใจในดวงตาของพวกเจียงอี้ ผู้คุมก็คำรามอย่างเดือดดาลทันที “พวกเจ้าจะมัวรออะไรอยู่ล่ะ? หากไม่มีศิลาสวรรค์ก็ไสหัวไปซะ!”
“มี!”
เจียงอี้กัดฟันตอบและหยิบศิลาสวรรค์เจ็ดแสนก้อนออกมาแล้วโยนไปทันที จากนั้นเขาก็เข้าไปในเมือง ก่อนหน้านี้เขามีความประทับใจที่ดีต่อเมืองเทพประทานแต่กลับถูกทำลายลงด้วยองครักษ์ที่อยู่หน้าประตูคนนั้น และเขาก็มีความประทับใจต่อสี่ตระกูลใหญ่แย่กว่านั้นมาก
หลังจากที่เข้าไปแล้ว มันเป็นถนนยาวๆแทน มีลานจัตุรัสขนาดยักษ์อยู่และมีคนอยู่หนาแน่น ตรงกลางมีรูปปั้นขนาดใหญ่อยู่ตรงนั้น ไอลีนโนเวล
“จักรพรรดิหนานกง?” รูปปั้นนั้นชัดแจ้งมาก มันเป็นรูปปั้นชายวัยกลางคนที่ดูธรรมดาและสิ่งเดียวที่ดูโดดเด่นคือดวงตาของเขา และมีคำสลักอยู่ด้านล่างตัวใหญ่ ซึ่งเจียงอี้หันกลับไปถามเฉียนว่านก้วนว่า “จักรพรรดิหนานกง? คือใครกัน?”
“เขาเป็นคนที่สร้างค่ายกลเก้ามังกรสยบเทพและเขาได้รับการยอมรับจากทั้งสิบสามตระกูล” เฉียนว่านก้วนอธิบายอย่างรวดเร็วและส่งข้อความเสียงว่า “ลูกพี่ เจ้าไม่รู้จักสี่ตระกูลใหญ่จริงๆหรือ?”
เจียงอี้พยักหน้าและส่งข้อความกลับ “ข้ารู้แค่เพียงตระกูลหวงฝูเท่านั้น และข้าก็ได้ข้อมูลนี้มาหลังจากที่ได้เจอหวงฝูเทาเทียน ก็เจ้าไม่เคยบอกอะไรข้าเลยนี่…”
เจียงอี้ไม่ค่อยได้สนใจเรื่องเหล่านี้มาก่อน เขาจะใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนเพื่อบ่มเพาะพลังที่ภูเขาอัสนีและไม่ค่อยรู้เรื่องบนเกาะเทพประทานนัก เฉียนว่านก้วนกลอกตาไปมาและพูดว่า “สี่ตระกูลใหญ่ของเกาะเทพประทานมี ตระกูลเหลย, ตระกูลหนานกง, ตระกูลซือถูและตระกูลหวงฝูพวกเขาเป็นสี่ตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในสิบสามตระกูลและควบคุมเกาะเทพประทานมานานกว่าแสนปี”
“โอ อืม!”
เจียงอี้พยักหน้าและรู้สึกสับสน ทำไมเขาถึงคุ้นแซ่หนานกงขนาดนี้นะ? ดูเหมือนเขาจะเคยได้ยินมันมาก่อน
“ใช่แล้ว….เจ๊ใหญ่กระพรวนกังวาน!”
เจียงอี้ตีหัวตัวเองทันที เหมือนว่าก่อนที่เจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานจะจากไป นางเผยแซ่ของนางให้รู้อย่างจงใจ ซึ่งมันคือแซ่หนานกง เจียงอี้เองก็ยังรู้สึกงงงวยว่าเหตุใดนางจึงกล่าวถึงมัน หรือมันมีความหมายพิเศษบางอย่าง?
“เจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานเป็นสมาชิกตระกูลหนานกงหรือ? นั่นมันดูไม่สมเหตุสมผลเลย…หากนางเป็นทายาทตระกูล หนานกงจริงๆ ทำไมนางจึงไปยังเมืองอัสนีฟ้ากระจ่าง? นางยังพูดถึงเรื่องการล้างแค้นด้วย หากนางเป็นนายหญิงน้อยของตระกูลหนานกงจริงๆ นางจะสั่งสังหารคนอื่นเพียงแค่ออกคำสั่งก็ได้ไม่ใช่หรือ?” เจียงอี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและเลิกคิด เขาหยุดคิดเรื่องนี้เพราะเผ่าเทพประทานใหญ่เกินไป บางทีเขาอาจจะไม่มีวันได้พบเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานอีกตลอดชีวิตเลยก็ได้
“ลูกพี่ นี่ก็เริ่มมืดแล้ว ไปซื้อลานบ้านกันก่อนเถอะ”
พวกเขาค่อยๆเดินต่อไป และเฉียนว่านก้วนมีวาจาเป็นเลิศ ในไม่ช้าเขาจึงพบว่ามีตำหนักเจ้าเมืองภาคใต้อยู่ทางทิศเหนือของจัตุรัสเมือง พวกเขาจึงรีบเดินไปที่นั่นอย่างรวดเร็วและตรงไปที่ชั้นสามและเข้าไปยังห้องโถงกลางทันที
“ท่านใต้เท้า เราต้องการจะซื้อบ้านสวน”
เจียงอี้ยืนอยู่ข้างๆและเฉียนว่านก้วนก็เดินออกมาข้างหน้าและถามอย่างสุภาพ ชายชราในชุดคลุมสีดำนั่งอยู่ที่นั่น เขาชำเลืองมองพวกเขาอย่างไม่แสดงอารมณ์ใดๆและพูดว่า “ลานเล็กใช้แต้มความดีความชอบพันล้านแต้มและค่าเช่าด้วยศิลาสวรรค์เดือนละสิบล้านก้อน, ลานกลางใช้แต้มความดีความชอบสามพันล้านแต้มและมีค่าเช่าด้วยศิลาสวรรค์เดือนละยี่สิบล้านก้อน ส่วนลานกว้างใช้แต้มความดีความชอบหมื่นล้านแต้มและไม่ต้องจ่ายศิลาสวรรค์”
“อะไรนะ?”
เฉียนว่านก้วนคิดว่าเขาได้ยินผิดไป ไม่ใช่ว่าพวกเขาต้องใช้แค่แต้มความดีความชอบเท่านั้นหรอกหรือ? ทำไมพวกเขาจึงต้องมอบศิลาสวรรค์ให้ทุกเดือนด้วย ยิ่งกว่านั้น มันคือศิลาสวรรค์สิบล้านก้อนต่อเดือนอีก ราวกับว่าพวกนั้นปล้นพวกเขาไปอย่างหน้าตาเฉย
“อะไร? จะซื้อหรือไม่? หากไม่ซื้อก็เชิญออกไปได้” ชายชรามองเฉียนว่านก้วนอย่างเฉยเมยและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ลึกล้ำ
เฉียนว่านก้วนมองไปที่เจียงอี้และเขาพยักหน้าอย่างไม่แสดงอาการใดๆ ตอนนี้เจียงอี้มีความประทับใจที่เลวร้ายต่อสี่ตระกูลใหญ่อย่างหนัก ที่นี่เป็นที่ที่สูบเลือดสูบเนื้อผู้คนจนแทบจะไม่เหลือแม้แต่กระดูก หากผู้ใดไม่สามารถส่งค่าเช่ารายเดือนได้ คนผู้นั้นจะต้องไปสังหารคนอื่นเพื่อศิลาสวรรค์ หากเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น อาจจะมีคนตกตายได้ ซึ่งหมายความว่า บ้านในลานบ้านของคนผู้นั้นจะถูกขายอีกครั้ง
เฉียนว่านก้วนหยิบป้ายความดีความชอบออกมาเพื่อแลกกับเหรียญหยกขาวที่มีหมายเลขหนึ่งหนึ่งหนึ่งสองเขียนเอาไว้
จากนั้นพวกเขาก็ออกจากตำหนักเจ้าเมืองมา เจียงอี้มองไปยังจัตุรัสกลางเมืองยักษ์และรูปปั้นสูงสามสิบเมตรพร้อมกับถอนหายใจและกล่าวว่า “เราไม่สามารถอยู่ที่เผ่าเทพประทานได้นานนัก เราจะต้องพัฒนาความแข็งแกร่งให้ได้เร็วที่สุดแล้วกลับไปที่ทวีปจักรพรรดิบูรพาให้เร็วที่สุด ยิ่งเราอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งตายเร็วขึ้นเท่านั้น….”
…