เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 761 เป็นไปไม่ได้แน่ๆ
พวกเขายังอยู่ได้อีกสองเดือนเพราะพวกเขายังมียาเทพสะอื้นอยู่อีกห้าเม็ด ดังนั้นเจียงอี้จึงไม่ได้รีบร้อนอะไร ทุกๆคืนเขาจะบ่มเพาะแก่นแท้พลังและเมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เขาก็จะไปอยู่กับเฟิ่งหลวน, ชิงหยี, เจียงเสี่ยวนู๋และคนอื่นๆ หลังจากนั้นเขาก็จะฝึกวาดภาพ ในตอนนี้เขาไม่ต้องพยายามวาดภาพท้องฟ้าอย่างพิถีพิถันอีกต่อไปแต่เขาวาดมันด้วยความกล้าหาญและจินตนาการในขณะที่เขาพยายามพัฒนาฝีมือการวาดภาพของเขา ในช่วงบ่ายเขาก็จะพักผ่อนสองชั่วโมงก่อนที่จะบ่มเพาะแก่นแท้พลังต่อไปและเข้าถึงรูปแบบเต๋าหรือศาสตร์เวทย์
เจียงอี้ใช้เวลาทั้งหมดไปอย่างน่าเบื่อหน่าย ส่วนเจียงเสี่ยวนู๋ก็พักผ่อนครึ่งเดือนและเข้าสู่สันโดษต่อ นางเข้าใจว่ายิ่งนางแข็งแกร่งมากขึ้นเท่าไหร่ นางก็จะยิ่งช่วยเจียงอี้ได้มากเท่านั้น และแรงกดดันบนบ่าเจียงอี้ก็จะไม่หนักเกินไปด้วย
เฉียนว่านก้วนเองก็เข้าสู่สันโดษเช่นกัน เขาเข้าใจชิ้นส่วนรูปแบบเต๋าวิญญาณไปได้จนถึงช่วงสำคัญสุดท้ายแล้ว ความแข็งแกร่งของเขาจะไปถึงขอบเขตจินกังขั้นสูงสุดหากเขาเข้าใจมันได้ แม้ว่าความแข็งแกร่งเพียงเล็กน้อยนี้จะไร้ประโยชน์ต่อเจียงอี้เป็นอย่างยิ่ง แต่มันก็ยังยืดอายุขัยของเขาได้ นอกจากนี้ ทุกๆคนต่างก็เข้าสู่สันโดษกันหมดหรือไม่ก็แค่อยู่เฉยๆ และเขาเองก็ว่างอยู่เช่นกัน
แก่นแท้พลังของเจียงอี้เพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว น่าเสียดายที่รูปแบบเต๋าของเขาไม่คืบหน้าเลย ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาไม่รู้ว่าเขาจะทำให้รูปแบบเต๋าทั้งสามประเภทผสานกันได้อย่างไร แต่ในอีกทางหนึ่ง ร่างจำแลงคณานับของเขาก็ดีขึ้นบ้างและสามารถสร้างร่างแยกได้ห้าร้อยร่างแล้ว
“ช่างมันเถอะ ศาสตร์เวทย์มาได้ถึงขนาดนี้ก็ดีมากพอแล้ว การสร้างร่างจำแลงก็ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว” ยี่สิบวันต่อมา เจียงอี้ตัดสินใจฝึกฝนศาสตร์เวทย์สวรรค์สยบเพลิงอเวจีต่อ หากเขาปรับแต่งเปลวเพลิงเก้าหยางที่แท้จริงได้ เขาจะแผดเผาขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดได้เมื่อฝึกฝนศาสตร์นี้ไปจนถึงขั้นสูงสุด ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เจียงอี้ไม่เคยหยุดฝึกฝนศาสตร์เวทย์นี้เลย แต่น่าเสียดายที่พัฒนาการมันช้ามากและตอนนี้เขาผลิตได้เพียงเพลิงโลกาเท่านั้น
ขณะที่เจียงอี้บ่มเพาะแก่นแท้พลัง เขาก็จะเข้าถึงศาสตร์เวทย์ด้วย เขาใช้เวลาทั้งวันไปอย่างสบายๆและบังคับให้ตัวเองลืมซูรั่วเสวี่ยและอีเพียวเพียวไปก่อน เพราะเมื่อเขานึกถึงหญิงสองนางที่สำคัญที่สุดในชีวิตเขา หัวใจของเขาจะเจ็บปวดและจิตใจว้าวุ่นจนไม่สามารถฝึกฝนได้
หนึ่งเดือนผ่านไปเพียงพริบตา และมันเป็นคืนจันทร์เต็มดวงและเสียงเทพสะอื่นก็มาตามที่คาดไว้ ทุกคนมารวมตัวกันอีกครั้ง คราวนี้เฉียนว่านก้วนและชิงหยีไม่ทำตัวโง่เขลาอีกต่อไปและกินยาเทพสะอื้นก่อนเวลาแต่โดยดี ส่วนสัตว์อสูรหยาจื้อและมังกรวารีสีทองก็ทำเช่นนั้นทันที ส่วนเจียงเสี่ยวนู๋อุ้มจิ้งจอกน้อยและนั่งอยู่ข้างๆเจียงอี้เงียบๆ ส่วนเจียงอี้ก็นั่งลงในห้องโถงและรับมือกับการโจมตีดวงจิตวิญญาณอย่างมีสมาธิ
ไม่มีสิ่งเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น!
เจียงอี้อดทนมาสี่ชั่วโมง และครั้งนี้ดาบวิญญาณก็แยกออกมาอีกสามเล่มและจำนวนดาบวิญญาณทั้งหมดภายในทะเลแห่งดวงจิตของเขาก็มีถึงสี่สิบสองเล่มแล้ว ในช่วงระหว่างนั้นเขาก็ปลดปล่อยญาณศักดิ์สิทธิ์ออกมาตรวจสอบที่มาของเสียงแปลกๆนี้ แต่เขาก็ยังคงไม่ได้อะไรกลับมา เหมือนว่ามันจะเป็นเสียงสะอื้นของทวยเทพจริงๆและเป็นการโจมตีดวงจิตวิญญาณที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
ฮู ฮู่!
หลังจากที่ต้านการโจมตีดวงจิตไปสี่ชั่วโมง เจียงอี้ก็หมดแรงมากและพักผ่อนไปชั่วโมงหนึ่งก่อนที่จะลืมตาขึ้นมา เขาเริ่มผ่อนคลายเมื่อเห็นว่าทุกๆคนสบายดี
“ลูกพี่…”
ทันใดนั้นเฉียนว่านก้วนก็ส่งข้อความมาว่า “เราเข้าไปในห้องกันหน่อยได้ไหม?”
“เอ่อ?”
เจียงอี้กระพริบตาด้วยความงุนงงและเขาก็ยืนขึ้นและทุกคนต่างก็พากันแยกย้ายไปก่อนที่เขาจะเข้าห้องไปกับเฉียนว่านก้วน
“ลูกพี่” เฉียนว่านก้วนเปิดใช้ข้อจำกัดทันทีที่พวกเขาเข้ามาและนอกจากนี้เขาก็ส่งข้อความว่า “ยาเทพสะอื้นแพงเกินไป หาก…จะทำเรื่องนั้นกับมังกรวารีสีทองและสัตว์อสูรหยาจื้อดีไหม?”
“เรื่องนั้น?”
เจียงอี้ขมวดคิ้วและสีหน้าของเขาก็หนักขึ้น เขาส่ายหัวและตอบว่า “ว่านก้วน มังกรวารีสีทองกับหยาจื้ออาจเป็นเพียงสัตว์อสูรและเป็นสัตว์วิญญาณของข้า แต่มันเป็นไปไม่ได้แน่ๆหากเจ้าอยากให้ข้าสังหารพวกเขา” “ข้าไม่ได้ขอให้เจ้าสังหารพวกนั้น”
เฉียนว่านก้วนกลอกตาและอธิบาย “ข้าหมายถึงว่าให้เจ้าคืนอิสรภาพและจัดเตรียมเรือลิขิตสวรรค์ให้พวกเขาเพื่อส่งพวกเขาออกจากเกาะแห่งบาป ท้ายที่สุดแล้วมันก็ไม่จำเป็นที่พวกเขาจะติดตามเราไป ไม่เพียงแต่พวกเขาจะเป็นภาระของเรา แต่พวกเราก็ทรมานตัวเองด้วย”
“โอ้ ก็ได้”
สีหน้าของเจียงอี้ดีขึ้นบ้างเล็กน้อย มังกรวารีสีทองและสัตว์อสูรหยาจื้อเป็นสัตว์วิญญาณของเขา หลังจากที่เขาอยู่ด้วยกันมานาน เขาก็มีความรู้สึกต่อพวกนั้นโดยเฉพาะสัตว์อสูรหยาจื้อ แม้ว่าความแข็งแกร่งของพวกนั้นในตอนนี้จะอ่อนแอมากและไม่มีประโยชน์อะไรต่อพวกเขา แต่เจียงอี้ไม่เคยคิดจะทิ้งพวกนั้นมาก่อน
“คืนอิสรภาพให้แล้วปล่อยพวกนั้นไป?”
เจียงอี้ทบทวนอีกครั้งและตอบว่า “มันจะดีกว่าที่จะให้สัตว์อสูรหยาจื้อตามเราต่อไป ข้าจะไปถามมังกรวารีสีทอง หากเขาต้องการจะไป ข้าจะคืนอิสรภาพให้ แล้วเจ้าก็ไปเตรียมเรือลิขิตสวรรค์ให้เขาด้วย” ไอลีนโนเวล
“ก็ได้ ข้าจะไปเรียกมังกรวารีสีทองมาแล้วกัน”
เฉียนว่านก้วนพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ อันที่จริงเขาก็รู้ดีว่ามันจะจบแบบนั้น เจียงอี้ให้ความสำคัญกับความจงรักภักดีมาก เขาอาจโหดเหี้ยมกับศัตรูของเขา แต่เขาแทบจะดึงใส้พุงออกมาเพื่อคนของเขาด้วยเหมือนกัน
“มังกรวารีสีทอง!”
เฉียนว่านก้วนเรียกมังกรวารีสีทองเข้ามาและเจียงอี้ก็พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้าให้เจ้าเลือกสองทาง อย่างแรกคือติดตามข้าต่อไปและหากวันหนึ่งข้ายิ่งใหญ่ ข้าจะไม่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่เป็นธรรม อย่างที่สองคือข้าจะคืนอิสรภาพให้เจ้าและส่งเจ้าขึ้นเรือลิขิตสวรรค์ให้เจ้าได้ออกไปจากเกาะแห่งบาปนี้”
มังกรวารีสีทองตกใจเพราะไม่คิดว่าเจียงอี้จะคืนอิสรภาพให้เขาเร็วเช่นนี้มาก่อน เขาก้มหัวลงและครุ่นคิดอยู่นานก่อนที่เขาจะส่ายหัว “นายท่าน ข้าจะติดตามท่านต่อไป ความเร็วในการฝึกฝนของข้าเพิ่มขึ้นเร็วมากเมื่ออยู่ในเมืองเทพประทานนี้ขอรับ”
“ดี เช่นนั้นก็คอยคุ้มกันเราข้างนอกต่อไป”
เจียงอี้ตบบ่ามังกรวารีสีทองแล้วส่งเขาออกไป ส่วนเฉียนว่านก้วนก็บีบขมับของเขาขณะที่เจียงอี้ยิ้มกว้าง “ว่านก้วน ไม่ต้องกังวลไป ช่วงนี้ฝีมือการวาดภาพของข้าดีขึ้นบ้างแล้ว อีกไม่กี่วันข้าจะวาดภาพสวรรค์ระดับสูงให้เจ้าแล้วเจ้าจะได้นำมันออกไปขายได้”
“อื้อ”
เฉียนว่านก้วนพยักหน้าและเดินออกไปคุยกับเฟิ่งหลวนเกี่ยวกับเรื่องการขายภาพวาด ในขณะเดียวกันเจียงอี้ก็เข้าไปอีกห้อง เขาร่าเริงขึ้นหลังจากที่พูดถึงเรื่องวาดภาพและตั้งใจจะลองดูว่าวันนี้เขาจะวาดภาพดีๆได้หรือเปล่า
เดิมทีชิงหยีต้องการจะบดหมึกให้เขา แต่เจียงอี้ก็โบกมือเป็นสัญญาณว่านางไม่ต้องเข้าใกล้เขา คุณภาพของภาพวาดของเจียงอี้จะไม่ดีหากเขาวาดภาพราวกับเครื่องจักรเหมือนครั้งก่อน เขาจะต้องใส่ความรู้สึกเข้าไปด้วยหากเขาอยากจะสร้างภาพวาดที่ดี
อันที่จริงแล้วมันก็ไม่ต่างจากการร้องเพลงหรือเล่นดนตรีใดๆ หากเล่นเหมือนเครื่องจักรก็จะทำได้เพียงแค่ร้องหรือเล่นเพลงได้โดยไม่ได้คิดถึงว่าฝีมือของพวกเขาจะดีเพียงใด แต่หากผู้ใดใส่ความรู้สึกลงไปได้ คนผู้นั้นจะมอบชีวิตให้แก่เพลงหรือทำนอง มันจะฟังเหมือนเสียงของธรรมชาติแม้ว่าจะขาดทักษะไปบ้างก็ตาม
เจียงอี้จับแปรงด้วยมือเดียว แต่เขายังไม่ได้เริ่มวาดภาพแต่หลับตาลงเฉยๆโดยที่ไม่ได้เข้าสู่สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์ เขาอยู่ตรงนั้นเงียบๆจนมีภาพชุดหนึ่งปรากฏขึ้นในหัวของเขา
“ท่านแม่…”
อันดับแรก หญิงงามที่เปี่ยมด้วยความเมตตาปรากฏขึ้นในใจของเขา เขาจำคำพูดที่อีเพียวเพียวได้ทิ้งเอาไว้ในภาพลวงตา “ลูกรัก ข้ามีนามว่าอีเพียวเพียว แม่ที่ไร้สามารถของเจ้า ลูกรัก หากชีวิตนี้เราไม่อาจพบกัน อย่าเสียใจไปเลย มันคือลิขิตที่สวรรค์ประทานให้เรา…แม่จะรัก คิดถึงและนึกถึงลูกเสมอ”
คำพูดที่แสดงถึงความรักนั้นสะท้อนออกมาไม่หยุดหย่อนขณะที่เจียงอี้เผยร่องรอยของความปรารถนาอันแรงกล้า ในเวลานั้น มือของเขาก็สว่างขึ้นด้วยแก่นแท้พลังสีแดงที่ลุกโชติช่วงขึ้นมา และในที่สุดเขาก็เริ่มขยับแปรง
พู่กันเคลื่อนไหวไปมาราวกับอสรพิษที่มีจิตวิญญาณของมันเองและเชื่อมโยงเส้นต่างๆเข้าด้วยกัน หลังจากตวัดไปมาไม่กี่ครั้ง หญิงงามก็ปรากฏขึ้นบนกระดาษสีขาว หญิงสาวที่แต่งงานแล้วไม่ได้ให้ความรู้สึกที่น่าทึ่งมากเกินไปและจะไม่ทำให้หัวใจของผู้ใดรู้สึกกระสับกระส่าย แต่หัวใจของพวกเขาจะเต้นแรงเมื่อได้เห็นภาพวาดนี้ โดยเฉพาะรอยยิ้มจางๆที่มุมปากของนาง มันดูเหมือนว่ามันจะรักษาบาดแผลในใจของผู้ใดก็ได้
ฉึบ ฉึบ ฟรึ่บ!
เฟิ่งหลวนและชิงหยีมาอยู่ข้างหลังเจียงอี้ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ทั้งสองไม่ส่งเสียงดังเลยและในเวลานี้พวกนางก็ต่างพากันเอามือปิดปากขณะที่ร่างของพวกนางสั่นเทาเล็กน้อย
ดวงตาของทั้งสองเต็มไปด้วยประกายขณะที่น้ำตาของพวกนางไหลลงมาซึ่งมันส่งเสียงเล็กน้อยเมื่อหยาดน้ำตาหยดลงสู่พื้น ทั้งคู่นึกถึงแม่ของตัวเองอย่าไม่อาจอธิบายได้เมื่อมองดูภาพวาดนี้ ขณะที่พวกนางนึกถึงญาติที่อยู่ในทวีปเฟิ่งหมิง ราวกับว่าภาพวาดนี้มีพลังเวทย์มนตร์ที่ทำให้นึกถึงความทรงจำนับไม่ถ้วนที่ไม่สามารถอธิบายได้