เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 762 “ความโหยหา” “ความตรอมตรม” “ความหลงใหล
- Home
- เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
- บทที่ 762 “ความโหยหา” “ความตรอมตรม” “ความหลงใหล
”
ดูเหมือนว่าเจียงอี้หมกมุ่นอยู่กับตัวเองอย่างสมบูรณ์และไม่สนใจสองพี่น้องเลยแม้แต่นิด เขาจ้องไปที่หญิงงามในภาพอย่างลึกซึ้งก่อนที่จะวางภาพวาดนี้ไว้ข้างๆและเริ่มขยับแปรงอีกครั้ง
คราวนี้ ภาพวาดนั้นเป็นชายวัยกลางคนที่หล่อเหลาและดูสุภาพ แต่มันไม่เหมือนภาพวาดหน้าคนแต่เป็นฉากที่เจียงเปี๋ยหลีช่วยชีวิตเขาไว้ในขณะที่สละชีวิตของตัวเอง มีฝ่ามือขนาดยักษ์ที่น่าสะพรึงอยู่บนฟ้าขณะที่เจียงเปี๋ยหลีมีโล่สีดำและพุ่งใส่ฝ่ามือยักษ์นั่นอย่างเด็ดเดี่ยว
“เมื่อเจ้าเห็นภาพลวงตานี้แสดงว่าข้าได้จากไปแล้ว อย่าเสียใจไปเลยเพราะข้าเป็นพ่อที่ไม่มีความรับผิดชอบ ข้าไม่คู่ควรกับความเสียใจนั้น”
คำพูดที่ทิ้งไว้ในภาพลวงตาของเจียงเปี๋ยหลีก้องกังวานในจิตใจของเจียงอี้อีกครั้ง จิตใจของเขาจมอยู่กับความเศร้าขณะที่เขาจ้องมองรูปภาพนั้นอย่างว่างเปล่าก่อนที่เขาจะหรี่ตาลงเล็กน้อย
ในตอนนี้ ดวงตาของเฟิ่งหลวนและชิงหยีที่อยู่ข้างหลังเขาเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาและไม่สามารถกลั้นมันเอาไว้ได้ พวกนางทั้งคู่รู้สึกเศร้าใจอย่างสุดซึ้งเมื่อมองภาพวาดนี้ เห็นได้ชัดว่าภาพวาดนี้มีมนตร์สะกดที่อธิบายไม่ได้ซึ่งจะทำให้ผู้คนจมอยู่กับความเศร้าได้
“ฟรึ่บ!”
เจียงอี้วางภาพวาดนี้ไว้ข้างๆและเริ่มขยับแปรงอีกครั้ง คราวนี้ก็ยังเป็นภาพคนและเป็นหญิงสาวที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ หญิงสาวนั้นยืนอยู่บนกำแพงเมืองที่พังระเนระนาดและรอบๆนางก็เต็มไปด้วยทหารและซากศพ เสื้อคลุมสีขาวและผมสีดำของนางปลิวไสวไปตามสายลมและมีเลือดไหลออกมาจากมุมปากของนาง แต่ใบหน้านางเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่พึงพอใจ ความสดใสที่อยู่ในดวงตาของนางเหมือนจะบอกให้โลกได้รู้ว่านางโชคดีเพียงใด
ฉึบ ฉับ ฉึบ!
เมื่อแปรงหยุด หมึกก็แห้งลง!
แต่คราวนี้ น้ำตาของเจียงอี้หยดลงมา เขาหันหน้าไปทางอื่นทันทีและไม่กล้ามองภาพวาดนั้นอีกต่อไป และเมื่อเขาหันหน้าไปด้านหลัง เขาก็พบว่าเฟิ่งหลวนและชิงหยีกำลังจ้องมองเขาอยู่ ดวงตาของพวกนางเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความเสียใจขณะที่ใบหน้าของพวกนางมีสายน้ำตานองหน้าอยู่ ทั้งคู่รีบโผกอดเจียงอี้หลังจากที่รู้ว่าเขาไม่ได้จะวาดภาพอีกต่อไป
“ข้าไม่เป็นอะไร ไม่ต้องห่วงข้า”
เจียงอี้ฝืนยิ้มออกมาเมื่อเห็นหญิงทั้งสองกำลังสั่นเทาเพราะพวกนางสะอื้นไห้ ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสุขุมทันทีขณะที่เขากอดพวกนางทั้งสองแน่น เขาไม่เคยกล้าเปิดเผยความอ่อนแอที่อยู่ในใจต่อหน้าทุกคนเพราะเขาคือฟ้าของทุกคน ซึ่งเป็นฟ้าที่ไม่มีวันถล่ม! “เฟิ่งเอ๋อร์ ภาพวาดทั้งสามของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
เจียงอี้ถามด้วยความมั่นใจเมื่อเขาเห็นพวกนางสงบลงเล็กน้อย เฟิ่งหลวนเงยหน้าขึ้นมาและเช็ดน้ำตา นางไม่ได้มองไปทางภาพวาดแต่มองไปที่เจียงอี้อย่างโง่เขลา “นายน้อย ลวดลายของเต๋าถูกแทรกลงไปในภาพเขียนทั้งสามเจ้าค่ะ ภาพแรกประกอบไปด้วยพลังแห่งชีวิต ภาพวาดที่สองประกอบด้วยพลังแห่งการทำลายล้างและภาพที่สามประกอบด้วยพลังวายุ ภาพทั้งสามนี้เป็นภาพวาดสวรรค์ ถึงฝีมือการวาดภาพของท่านจะไม่ได้ดีขึ้นมากนักและทักษะเหล่านี้ก็แทบจะไม่ถึงระดับปรมาจารย์ศิลปินเลย แต่….มีสามอารมณ์ที่แตกต่างกันแฝงอยู่ในภาพวาดเหล่านี้ ภาพแรกจะปลุกเร้าความรู้สึกโหยหา, ภาพที่สองก่อให้เกิดความตรอมตรม, และภาพที่สามก่อให้เกิดความหลงใหล มันประเมินราคาของภาพวาดทั้งสามนี้ไม่ได้เลย”
ชิงหยีขัดจังหวะขึ้นมา “นายน้อย ภาพวาดทั้งสามภาพนี้วาดได้ดีมากเลยเจ้าค่ะ เราไม่ขายมันได้ไหม? เราแค่วาดภาพสวรรค์ภาพอื่นขายกันเถอะเจ้าค่ะ”
“ใช่แล้ว!” เฟิ่งหลวนตระหนักขึ้นได้และพูดต่อ “ภาพทั้งสามเป็นสมบัติล้ำค่าอยู่ในใจข้าเลย นายน้อย เราไม่ขายมันได้ไหมเจ้าคะ?”
“ขาย!”
เจียงอี้อธิบายว่า “เป็นเพราะคุณค่าของภาพวาดเหล่านี้นี่แหละ ข้าถึงจะขายมัน ข้าต้องการให้คนอื่นได้เห็นภาพวาดเหล่านี้และให้พวกเขาได้กระจายชื่ออีเพียวเพียวออกไป บางที…สักวันหนึ่งนางอาจจะมาตามหาข้าหลังจากที่ได้เห็นภาพวาดเหล่านี้แล้ว”
เฟิ่งหลวนและชิงหยีมองหน้ากันและเฟิ่งหลวนก็ถามเจียงอี้ว่า “ใครคืออีเพียวเพียวกันเจ้าคะ?”
เจียงอี้เผยร่องรอยของความอ่อนโยนออกมาเมื่อเขาจ้องมองไปยังภาพวาดภาพแรก เขาตอบเบาๆว่า “นั่นก็คือนาง นางคือแม่ของข้าเอง”
“เอ่อ…”
เจียงอี้ไม่ได้บอกพวกนางถึงอดีตของเขาและเจียงเสี่ยวนู๋เองก็แทบจะไม่พูดเรื่องนี้เช่นกัน พวกนางเพิ่งจะเข้าใจว่าเหตุใดเจียงอี้มักจะลงลายมือชื่ออีเพียวเพียวบนภาพวาดของเขาตลอด อันที่จริงแล้วมันเป็นข้อความพิเศษที่ซ่อนอยู่ในชื่อนั้นนั่นเอง
ชิงหยีเอียงหัวไปข้างๆแล้วถามว่า “นายน้อย ท่านแม่ท่านอยู่ที่ไหน? ทำไมนางจึงไม่ตามหาท่านกันเจ้าคะ?”
แสงในดวงตาของเจียงอี้หรี่ลงและเขาก็ส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้ ข้าเหนื่อยแล้ว นำภาพวาดใส่กรอบแล้วส่งให้ว่านก้วนนำไปขาย….” Aileen-novel
“อื้ม!”
เฟิ่งหลวนและชิงหยีไม่โน้มน้าวเขาอีกต่อไปเพราะมันมีความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังภาพเหล่านี้ เฟิ่งหลวนหยิบพู่กันขึ้นมาและค่อยๆลงลายชื่ออีเพียวเพียวลงไปบนภาพวาดทั้งสาม ในขณะเดียวกัน ชิงหยีก็ได้หากรอบภาพวาดทั้งสามนี้อย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นชิงหยีก็นึกบางอย่างขึ้นได้ “พี่ใหญ่ เรามาตั้งชื่อภาพทั้งสามนี้กันเถอะ”
“ก็ได้!”
เฟิ่งหลวนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะทิ้งคำเหล่านี้ไว้ในภาพทั้งสามตามลำดับ “ความโหยหา” “ความตรอมตรม” “ความหลงใหล”!
นอกจากลวดลายเต๋าที่ถูกแทรกเข้าไปในภาพวาดเหล่านี้แล้ว มันยังทำให้ผู้อื่นรับรู้ถึงอารมณ์พิเศษอีกด้วย เฟิ่งหลวนวางภาพทั้งสามลงในกรอบอย่างระมัดระวังก่อนที่จะนำออกมาให้เฉียนว่านก้วน นางสรุปให้เขาฟังอย่างจริงจัง “ภาพวาดทั้งสามภาพมีมูลค่าสูงมาก อย่าขายมันทันที ลองตรวจสอบดูว่ามีการประมูลขนาดใหญ่ในเมืองหรือไม่ และโรงประมูลมักจะหักค่าสินค้าแค่หนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น”
“ประมูล?” เฉียนว่านก้วนมองไปที่กล่องไม้ทั้งสามด้วยความสงสัยและถามว่า “ปกติแล้วของที่ประมูลนั้นมีมูลค่าสูงมาก หรือว่าฝีมือการวาดภาพของลูกพี่ก้าวหน้าขึ้นมาก?”
“เจ้าไม่ต้องสนใจมันหรอก” เฟิ่งหลวนโบกมือของนาง “ข้าจะให้นายน้อยส่งเจ้าออกไปและเจ้าต้องทำตามที่เราเพิ่งคุยกันไว้ และอย่าเผยที่อยู่ของเจ้าด้วยล่ะ”
เฉียนว่านก้วนพยักหน้าและเฟิ่งหลวนก็ไปหาเจียงอี้ จากนั้นเฉียนว่านก้วนก็ถูกส่งออกมาและเฉียนว่านก้วนก็พูดกับมังกรวารีสีทองไม่กี่คำก่อนที่จะออกมาเพียงลำพัง
“คารวะท่านใต้เท้า ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าโรงประมูลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองอยู่ที่ไหนกันหรือขอรับ?”
เฉียนว่านก้วนเปลี่ยนรูปลักษณ์ของเขาและไปยังตำหนักเจ้าเมือง เขามอบแหวนให้ทหารยามโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆเอาไว้ จากนั้นคนผู้นั้นก็ส่องมันด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก่อนที่จะยิ้มทันที “ไม่มีโรงประมูลที่ใหญ่ที่สุดเพราะที่นี่มีโรงประมูลเพียงแห่งเดียว ไปยังจัตุรัสเทพประทานแล้วหาสมาคมการค้าซือถู ยังมีเวลาอีกสามวันก่อนที่เทศกาลเทพประทานจะเกิดขึ้น การประมูลนั้นจะจัดขึ้นโดยสมาคมการค้าซือถูในช่วงเทศกาลเทพประทานซึ่งจะเป็นการประมูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของปี มันจะดีกว่าหากเจ้าต้องการจะซื้อหรือขายอะไร”
“ข้าโชคดีอะไรเพียงนี้?”
เฉียนว่านก้วนมีความสุขอยู่ในใจ ยิ่งการประมูลยิ่งใหญ่เพียงใด ผู้คนก็จะไปที่นั่นกันมากขึ้นเท่านั้นและรายการราคาที่จะประมูลได้ก็จะสูงขึ้นไปด้วย เขาอาจจะขายได้ราคาสูงหากภาพวาดทั้งสามถูกประมูลออกไปได้จริงๆ
เฉียนว่านก้วนเดินไปที่จัตุรัสที่ใหญ่ที่สุดในเมืองทันทีและเขาก็พบที่ตั้งของสมาคมการค้าซือถูได้อย่างง่ายดาย
บริกรหญิงพาเขาไปยังห้องโถงเล็กๆเมื่อเขาเข้าไปในสมาคมการค้านั้นและหัวหน้าก็ต้อนรับเขา “แขกผู้นี้ ท่านต้องการจะประมูลสิ่งใดกัน? เพราะงานเทศกาลเทพประทานนี้ สมบัติใดๆที่มีมูลค่าน้อยกว่าหนึ่งร้อยล้านจะไม่สามารถร่วมการประมูลนี้ได้”
“หนึ่งร้อยล้าน?”
มุมปากของเฉียนว่านก้วนกระตุก ภาพวาดทั้งสามนี้มีมูลค่าถึงหนึ่งร้อยล้านหรือไม่? ภาพก่อนหน้านั้นที่เจียงอี้นำไปขาย ขายได้เพียงสองล้านเท่านั้น แม้ว่ามันจะเพิ่มเป็นสิบเท่า เขาก็ยังขายออกได้แค่เพียงศิลาสวรรค์หกสิบล้านก้อนเท่านั้น
มันคงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะถอย เมื่อเขามาถึงขั้นนี้แล้ว เขาจึงทำได้เพียงแค่กัดฟันและนำกล่องไม้ขนาดใหญ่สามกล่องออกมาจากแหวนแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์โบราณของเขาและวางมันไว้ตรงที่ต้อนรับและพูดว่า “นี่คือภาพวาดสวรรค์สามภาพ ข้ารบกวนท่านเชิญผู้ประเมินราคามาประเมินภาพวาดนี้คร่าวๆได้หรือไม่?”
“ภาพวาดสวรรค์?” ผู้ที่เป็นหัวหน้าเย้ยหยันก่อนจะโบกมือ “ขออภัยด้วย ครั้งนี้เราได้ภาพวาดสวรรค์มาหลายร้อยภาพแล้ว ดังนั้น…เราไม่สามารถรับภาพวาดสวรรค์ของท่านได้ แต่ท่านสามารถมาประมูลได้อีกสามเดือนให้หลัง”
“สามเดือนให้หลัง?”
ไขมันของเฉียนว่านก้วนสั่นเทา ศิลาสวรรค์ของเขาเหลือไม่พอ แล้วพวกเขาจะไปซื้อยาเทพสะอื้นได้อย่างไรหากพวกเขาไม่สามารถขายภาพวาดเพื่อหารายได้ได้? เขา ชิงหยีและคนอื่นๆอาจตายได้หากพวกเขาไม่สามารถต้านการโจมตีดวงจิตวิญญาณของเสียงสะอื้นแห่งทวยเทพได้