เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 763 - 764
บทที่ 763 ข้าจะจบชีวิตของเจ้าซะ
“หากไม่มีธุระอะไรแล้ว โปรดกลับมาหลังจากนี้อีกสามเดือน”
เมื่อหัวหน้าเห็นเฉียนว่านก้วนนิ่งเงียบไป เขาก็พูดอย่างหมดความอดทน ในฐานะที่เป็นโรงประมูลเดียวในเมืองและเป็นสมาชิกตระกูลซือถูซึ่งเป็นหนึ่งในสี่กลุ่มใหญ่ หัวหน้าผู้นี้จึงหยิ่งผยองมาก
เฉียนว่านก้วนถูกปลุกจากภวังค์ ดวงตาของเขาสั่นไหวขณะที่เขาเย้ยหยัน “ท่านมีภาพวาดสวรรค์แบบไหน? หนึ่งภาพของข้ามีค่ากว่าภาพวาดสวรรค์หลายร้อยรูปของท่านเสียอีก หากท่านไม่เชื่อก็ให้ผู้ประเมินงานศิลป์มาดูสิ”
“หืม?”
ดวงตาของหัวหน้าผู้นั้นเย็นชา เขารู้ว่าภาพวาดสวรรค์หลายร้อยภาพนั้นมันจะต้องถูกประมูลออกไปด้วยราคาที่สูงเสียดฟ้า คนผู้นี้พูดอะไรไม่ทันคิดหรือยังไงกัน? เป็นเพียงแค่ขอบเขตจินกังยังกล้าแสดงท่าทางโอ้อวดเช่นนี้เชียวหรือ?
หากนี่ไม่ใช่สมาคมการค้าซือถู หัวหน้าผู้นี้คงจะให้คนมากำจัดเฉียนว่านก้วนไปให้พ้นๆ เขานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเย้ยหยันว่า “แล้วหากภาพวาดทั้งสามนี้ไม่ได้มีค่าอะไรนักล่ะ? เราจะทำอย่างไร?”
เนื่องจากเฉียนว่านก้วนตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยืนกรานอย่างดื้อดึง “หากมันไม่มีค่าอะไร เช่นนั้นท่านจะทำอะไรกับข้าก็ได้”
“ก็ได้!”
หัวหน้ายืนขึ้นมาและตะโกนอย่างเย็นชาว่า “หากมันมีค่าจริงๆ ข้าจะให้เจ้าประมูลสินค้าพวกนี้ฟรีๆเลย แต่หากมันไม่คุ้มกับศิลาสวรรค์สามร้อยล้านก้อน ข้าจะให้เจ้าคลานออกจากที่นี่ ใครก็ได้….ไปพาผู้อาวุโสหยางมาประเมินภาพวาด”
หัวหน้าพูดออกมาอย่างชัดเจนมากว่าหากภาพวาดเหล่านี้มีค่า พวกมันจะประมูลได้เลยฟรีๆ แต่หากพวกมันไม่มีค่าอะไร เขาจะหักขาเฉียนว่านก้วนและให้เฉียนว่านก้วนคลานออกมา!
ปากของเฉียนว่านก้วนกระตุก ขาหักนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สมาคมการค้าเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย หากเขาคลานออกไปแบบนี้ มันคงไร้ยางอายจริงๆ เมื่อเขานึกถึงการเย้ยหยันของผู้คนนับไม่ถ้วน ร่างของเขาก็แข็งทื่อไป
“ภาพวาดเหล่านี้มีมูลค่าสามร้อยล้านจริงๆหรือ?”
เขาไม่รู้ แต่เขาหวังแค่เพียงว่าเฟิ่งหลวนและเจียงอี้จะไม่หลอกเขาเล่น ไม่อย่างนั้นเขาคงจะขายหน้าครั้งใหญ่จริงๆ
ตึก ตึก ตัก!
ไม่นาน ผู้อาวุโสชุดขาวก็เดินมาจากด้านนอก ผู้อาวุโสผู้นี้แก่มากแล้วจริงๆ เคราสีขาวของเขายาวถึงหน้าอกแล้ว เขามีดวงตาที่ขุ่นมัวและค่อยๆเดินเข้ามาราวกับว่าเขาอาจจะล้มได้ทุกเมื่อ
ผู้อาวุโสผู้นี้เหมือนจะมีสถานะที่สูงส่งมาก เพราะเมื่อเขาเดินเข้ามา หัวหน้าวัยกลางคนก็รีบเดินไปพยุงเขาอย่างรวดเร็วขณะที่พูดว่า “ผู้อาวุโสหยาง ท่านได้โปรดช่วยประเมินมูลค่าของภาพวาดทั้งสามนี้ด้วยนะขอรับ”
“เปิดมันออกมา!”
ผู้อาวุโสหยางโบกมือขณะที่บริกรสองคนเปิดกล่องไม้อย่างรวดเร็ว พวกเขานำภาพวาดออกมาวางบนโต๊ะไม้สีเขียวและเมื่อทุกคนเหลือบมองภาพวาดนั้น พวกเขาก็ตะลึงงันทันที
“ภาพวาดนั้นยอดเยี่ยมนัก!”
แม้แต่เฉียนว่านก้วนที่ไม่ค่อยรู้เรื่องภาพวาดเองก็ยังรู้สึกได้ว่ามันยอดเยี่ยมเพียงใด มันดีกว่าภาพวาดครั้งก่อนของเจียงอี้หลายเท่า ภาพวาดที่ถูกตั้งว่าความตรอมตรมที่เป็นภาพที่เจียงเปี๋ยหลีพุ่งเข้าหาฝ่ามือยักษ์บนท้องฟ้าโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด ซึ่งรอยฝ่ามือนั้นมีกลิ่นอายแห่งการทำลายล้างที่ทำให้ดวงจิตของเฉียนว่านก้วนสั่นสะท้าน
“ท่านจอมพลเจียง….”
เฉียนว่านก้วนไม่ใช่ผู้ที่หลั่งน้ำตาให้กับสิ่งใดง่ายๆ แต่เมื่อเขาเห็นภาพวาดนี้ เขาก็แทบอยากจะร้องไห้ เขาเคยได้ยินว่าเจียงเปี๋ยหลีตายเพราะเจียงอี้ แต่เจียงอี้ก็ไม่ได้พูดถึงมันมากนัก และในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเจียงเปี๋ยหลีเสียชีวิตลงไปเช่นไร
ร่างอันผอมบางของผู้อาวุโสหยางสั่นสะท้านขณะที่ดวงตาอันขุ่นมัวของเขาเปล่งประกายเจิดจ้า มือของเขาสั่นเทาเล็กน้อยขณะที่เขาอยากจะสัมผัสภาพวาด แต่เขาก็เกรงว่าจะสร้างความเสียหายให้กับภาพวาด เขาจึงไม่กล้าแตะต้องมัน ดวงตาของเขาเผยความอ่อนโยนออกมาราวกับเขาเห็นหญิงที่เขารัก ริมฝีปากของเขาสั่นเทาและเขาก็พึมพำกับตัวเองว่า “ยอดเยี่ยมนัก ตาแก่อย่างข้าได้เห็นภาพวาดที่มีชื่อเสียงมามากมายและโชคดีที่เคยได้เห็นภาพวาดสวรรค์ของจักรพรรดิอรหัง แต่กับภาพวาดนี้….อย่างน้อยมันก็ติดหนึ่งในสิบอันดับแรกได้แน่ๆ!”
“ฮะ!”
หัวหน้าผู้นั้นไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับศิลปะอะไรเลย แต่เพียงแค่ชำเลืองมองมันก็เพียงพอที่จะรู้ว่าภาพวาดนี้มีค่าเพียงใดแล้ว ที่สำคัญที่สุดคือปฏิกิริยาของผู้อาวุโสหยางนั้นทำให้เขาตกใจ ผู้อาวุโสหยางไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้ประเมินงานศิลป์ธรรมดาเท่านั้น แต่เขาเคยเป็นผู้อาวุโสที่มีอำนาจของตระกูลซือถูและเลื่องชื่อในด้านการต่อสู้ด้วย และในปัจจุบัน ชื่อซือถูหยางก็ยังคงมีอิทธิพลมาก แต่ผู้อาวุโสหยางในตอนนี้ก็แก่มากแล้วและไม่ค่อยได้เข้ามายุ่งเรื่องต่างๆมากนัก แต่ลูกชายของเขาเองก็ยังคงเป็นหนึ่งในสิบแปดผู้อาวุโสระดับสูงของตระกูลซือถู
ซือถูหยางเป็นหนึ่งในสามผู้ประเมินงานศิลป์ที่ยิ่งใหญ่ของสมาคมการค้า เขาเคยเห็นภาพวาดที่มีชื่อเสียงมามากมายในช่วงชีวิตของเขา และการที่เขาบอกว่าภาพนี้ติดสิบอันดับแรกมันก็คงจะไม่มีทางประเมินค่าภาพวาดเหล่านี้ได้เลย
“เร็ว เร็วเข้า เปิดอีกสองภาพออกมา!”
หลังจากที่ผู้อาวุโสหยางมองอยู่ครู่หนึ่ง ตัวเขาก็สั่นเทาขณะที่สั่งให้บริกรข้างๆทั้งสองคนเปิดกล่องไม้อีกสองกล่องอย่างระมัดระวัง และเมื่อผู้อาวุโสหยางมองมันอีกพักหนึ่ง ร่างกายของเขาก็ยิ่งสั่นสะท้านยิ่งขึ้นไปอีก เขาพูดอย่างรวดเร็วว่า “ความโหยหา, ความตรอมตรม, ความหลงใหล? เยี่ยม เยี่ยม เยี่ยมมาก เป็นผลงานที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้จริงๆ ซือถูหง ตั้งให้ภาพวาดทั้งสามนี้เป็นงานจบของการประมูลส่วนที่สอง ภาพวาดทั้งสามนี้จะนำพาโรงประมูลไปอีกระดับอย่างแน่นอน หากไม่ใช่เพราะกฎตระกูลที่ระบุว่าสมาชิกตระกูลไม่สามารถเข้าร่วมประมูลได้ ข้าคงจะนำเงินเก็บมาซื้อภาพวาดทั้งสามนี้แน่ๆ”
“นี่….”
ปากของซือถูหงกระตุกและหวังว่าเขาจะตบตัวเองได้ ช่วงจบของการประมูลส่วนที่สอง? นั่นหมายความว่าภาพวาดทั้งสามนี้ไม่สามารถประเมินค่าได้อย่างแท้จริง และกฏของการประมูลคือการมอบค่าประมูลหนึ่งในสิบส่วนให้โรงประมูลซึ่งมันเป็นรายได้จำนวนมหาศาลมากเช่นกัน
เฉียนว่านก้วนดีใจมากเพราะเฟิ่งหลวนไม่ได้หลอกเขาจริงๆ พวกเขาจะได้กำไรในครั้งนี้เยอะมาก จากนั้นเจ้าอ้วนก็ชำเลืองมองผู้อาวุโสหยางและซือถูหง ขณะที่พูดออกมาว่า “ท่านใต้เท้า ภาพทั้งสามนี้มีมูลค่ามากกว่าสามร้อยล้านใช่ไหม? การประมูลโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆที่ท่านกล่าวถึงก่อนหน้านี้จะยังคงเดิมเช่นนั้นอยู่หรือไม่? หากข้าประมูลภาพเหล่านี้ไม่ได้ เช่นนั้นข้าคงต้องให้สมาคมการค้าอื่นช่วยจัดการแล้วล่ะ”
“อะไรนะ?”
เมื่อผู้อาวุโสหยางได้ยินเฉียนว่านก้วนพูด เขาก็มองซือถูหงอย่างเย็นชาและพูดว่า “หากภาพวาดเหล่านี้ประมูลไม่ได้ แล้วจะมีสมบัติอะไรที่ประมูลได้อีก? ซือถูหง เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? การประมูลโดยไม่มีค่าใช้จ่ายมันหมายความว่าอย่างไรกัน?”
การแสดงออกของ ซือถูหงเปลี่ยนไปและตอนนี้เขารู้สึกเหมือนกำลังจะตาย เขายิ้มขอโทษผู้อาวุโสหยางและส่งข้อความเสียงไปเพื่ออธิบายสถานการณ์ จากนั้นเขาก็หันไปหาเฉียนว่านก้วนและป้องมือ “ท่านแขกผู้มีเกียรติ ข้าน้อยผู้นี้ละเลยแขกผู้มีเกียรติของเรา สมาคมการค้าจะรับภาพวาดทั้งสามและรับประกันว่าจะประมูลในช่วงสุดท้ายของส่วนที่สอง ส่วนเรื่องค่าประมูล….”
“เราจะจ่ายค่าส่วนต่างการประมูล!”
เฉียนว่านก้วนนิ่งไปครู่หนึ่งและพูดว่า “แต่ข้าต้องการศิลาสวรรค์ล่วงหน้าสามร้อยล้านก้อน!”
“ได้ ไม่มีปัญหา ใครก็ได้ พาแขกผู้มีเกียรติผู้นี้ไปทำเรื่องด้วย” ซือถูหงยิ้มออกมาขณะที่เขายื่นของบางอย่างออกมา “ข้าขอมอบสิ่งนี้ให้ท่านใต้เท้า มันคือป้ายแขกพิเศษขอรับ”
เฉียนว่านก้วนติดตามผู้ดูแลไปด้วยความพึงพอใจ ตราบใดที่เขาสามารถขายภาพวาดได้ในราคาสูง ค่าส่วนต่างนั้นก็ไม่มีปัญหา มันคงไม่ใช่เรื่องดีนักที่จะขุ่นเคืองกับตระกูลซือถูแห่งเมืองเทพประทาน
“ไร้ประโยชน์นัก!”
หลังจากที่เฉียนว่านก้วนจากไปแล้ว ผู้อาวุโสหยางก็เดือดดาลขณะที่จ้องซือถูหงเขม็ง “ซือถูหง เจ้าไม่อยากรักษาตำแหน่งของเจ้าเอาไว้แล้วหรือยังไง?”
“ผู้อาวุโสหยาง อภัยให้ข้าด้วยขอรับ ข้าจัดการเรื่องนี้ผิดไปจริงๆ ข้าจะไปขอให้ทางตระกูลให้อภัยข้าน้อยด้วยขอรับ!” ซือถูหงยิ้มอย่างรู้สึกผิดแล้วก้มหน้าลง เพราะผู้อาวุโสหยางผู้นี้อาจไม่ได้จัดการเรื่องภายในใดๆ แต่หากเขาพูดอะไรออกมา เพียงแค่ประโยคเดียวมันก็พอที่จะกำจัดซือถูหงได้แล้ว
ซือถูหงชำเลืองมองลายประทับชื่อบนภาพวาดทั้งสามและรีบเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว “ผู้อาวุโสหยาง ข้ามีเรื่องสำคัญจะรายงานขอรับ ลองดูชื่อที่สลักบนภาพวาดทั้งสามได้ไหมขอรับ”
“อีเพียวเพียว มันมีอะไรกัน?” ผู้อาวุโสหยางเหลือบมองแล้วถามด้วยความสงสัย
ซือถูหงปล่อยแก่นแท้พลังออกมาเพื่อเปิดใช้อาคมยับยั้งของห้องโถงก่อนที่เขาจะส่งข้อความว่า “ผู้อาวุโสหยาง ก่อนหน้านี้ตระกูลชวีส่งภาพวาดสวรรค์มาราวหกร้อยภาพสำหรับการประมูลและภาพวาดทั้งหมดนั้นเป็นภาพวาดภูเขาไฟระเบิดในทะเลเหมือนกันหมดเลยขอรับ ท่านน่าจะได้ยินเรื่องนี้ใช่ไหมขอรับ? ชื่อที่สลักลงไปในภาพวาดสวรรค์ทั้งหกร้อยภาพวาดเหล่านั้น…ล้วนแต่เป็นอีเพียวเพียวทั้งหมดเลยขอรับ”
“หืม?”
จากนั้นดวงตาของซือถูหยางเปล่งประกายขณะที่เขาตะโกนออกมา “ไปรายงานตระกูลและให้ท่านประมุขตัดสินใจ เราต้องรับผู้มีพรสวรรค์เข้าตระกูลเราเดี๋ยวนี้! หากเขาถูกตระกูลอื่นแย่งไปก่อน ข้าจะจบชีวิตของเจ้าซะ!”บทที่ 674 เทศกาลเทพประทาน
“ตามหาตัวไม่เจอ? ป้ายแขกพิเศษถูกทิ้งไว้ในสมาคมการค้าหนานกง?”
ด้านหลังสมาคมการค้าซือถูมีปราสาทขนาดยักษ์และมันเต็มไปด้วยปราสาทหรูหราหลายแถว และในตอนนี้ในปราสาทที่ใหญ่ที่สุด มีชายวัยกลางคนที่ดูปราดเปรียวในชุดสีน้ำตาลซึ่งนั่งอยู่ในห้องตำรา เขากำลังอยู่ต่อหน้าหัวหน้าวัยกลางคนซึ่งก็คือซือถูหงแห่งโรงประมูล
“ท่านประมุข ข้าน้อยไร้ประโยชน์ ท่านลงโทษข้าน้อยเถอะขอรับ”
ซือถูหงมองชายผู้ที่ไม่เผยความรู้สึกใดๆอย่างระมัดระวัง ชายผู้นี้ไม่ได้มีสถานะปกติเพราะเขาเป็นประมุขตระกูลซือถู ซือถูอ้าว
ตระกูลใหญ่ๆและตระกูลรองๆของเผ่าเทพประทานนั้นเหมือนกันหมดคือเหล่าผู้อาวุโสมักไม่ค่อยเข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องปกติและจะเข้ามายุ่งก็ต่อเมื่อเกี่ยวข้องกับการอยู่รอดของตระกูล และเรื่องที่เหลือ ประมุขตระกูลจะเป็นผู้ที่คอยจัดการทั้งหมด
หลังจากที่ซือถูหยางมีคำสั่งลงมา ซือถูหงก็ส่งคนไปติดตามเฉียนว่านก้วนทันที แต่ใครจะรู้ว่าเฉียนว่านก้วนจะมีประสบการณ์? หลังจากที่วนเวียนสมาคมการค้าหลายแห่ง เขาก็สลัดหน่วยสอดแนมชั้นยอดของพวกเขาและทิ้งป้ายแขกพิเศษของสมาคมการค้าเอาไว้ที่สมาคมการค้าตระกูลหนานกง ป้ายนั้นมีผนึกเฉพาะของตระกูลซือถูซึ่งมันจะทำให้สมาชิกตระกูลซือถูติดตามได้อย่างง่ายดาย
เมื่อซือถูหงเห็นว่าซือถูอ้าวไม่ได้พูดอะไร เขาก็คำนับและขอความเห็นชอบว่า “ท่านประมุข ท่านต้องการใช้กลุ่มหน่วยลับเพื่อไปสืบสวนหรือไม่ขอรับ? ผู้อาวุโสหยางกล่าวว่าเราต้องรีบรับคนผู้นี้เข้ามาอย่างเร่งด่วนขอรับ”
“เจ้ามันไม่รู้เรื่องอะไรเลย! ห้ามแตะต้องหน่วยลับ!”
ซือถูอ้าวมองซือถูหงอย่างเฉยเมยและพูดว่า “หากเราใช้หน่วยลับแล้วอีกฝ่ายรู้เรื่องนี้มันรั้งแต่จะสร้างความเข้าใจผิดกันได้ เทศกาลเทพประทานจะจัดขึ้นในอีกสามวัน และผู้ขายจะมารับศิลาสวรรค์อย่างแน่นอน ให้อีเสี้ยวเป็นคนติดต่อด้วยตัวเองและบอกอีเสี้ยวด้วยว่าให้วางตัวดีๆ เรื่องเงื่อนไขสามารถต่อรองได้ทั้งหมดและแม้ว่าเราจะไม่สามารถรับเขาเข้าตระกูลมาได้ แต่เราก็ยังต้องสร้างสัมพันธ์ที่ดีเอาไว้”
“นายน้อยอีเสี้ยว?”
ซือถูหงพยักหน้า ซือถูอีเสี้ยวเป็นนายน้อยอันดับหนึ่งของตระกูลซือถูผู้เป็นเชื้อสายที่แท้จริงและยังเป็นหนึ่งในนายน้อยรุ่นเยาว์ชั้นยอดของเผ่าเทพประทานด้วย หากซือถูอีเสี้ยวเป็นผู้เชิญเข้าตระกูลด้วยตัวเอง นั่นก็เป็นการแสดงถึงความจริงใจของตระกูลซือถูแล้ว อย่าว่าแต่ศิลปินเลย แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดเองก็คงรู้สึกซาบซึ้งมาก
… “ลูกพี่ เจ้าน่าทึ่งเกินไปแล้ว”
เมื่อเฉียนว่านก้วนกลับมาที่ลานบ้าน เจียงอี้ก็พาเขาเข้ามายังราชวังจักรพรรดิและเจียงอี้ก็ใช้ญาณศักดิ์สิทธิ์ตรวจสอบสถานการณ์รอบๆ เมื่อเขาเห็นว่าไม่มีใครตามเฉียนว่านก้วนมาหลังจากที่ผ่านไปสิบห้านาทีแล้ว เขาก็ลืมตาขึ้นมาและยิ้ม “ว่านก้วน เป็นเช่นไรบ้าง?”
“ยอดเยี่ยมมาก ภาพวาดทั้งสามภาพนี้น่าจะขายได้ศิลาสวรรค์จำนวนมหาศาล เราจะรู้มูลค่าที่แน่ชัดก็ต่อเมื่อมันถูกประมูลในอีกสามวันข้างหน้า”
เฉียนว่านก้วนอธิบายรายละเอียดทั้งหมดให้ทุกคนฟัง ส่วนเฟิ่งหลวนและชิงหยีก็รู้สึกเสียดายอยู่เงียบๆเพราะพวกนางไม่ได้เต็มใจที่จะให้ขายภาพวาดทั้งสามไป ภาพวาดสวรรค์ที่มีเจตจำนงที่พิเศษเช่นนี้ไม่ได้สร้างขึ้นมาได้ง่ายๆ ตัวเจียงอี้เองอาจจะไม่สามารถสร้างภาพวาดเช่นนี้ได้ตลอดช่วงชีวิตที่เหลือเลยก็ได้ หลังจากได้ยินว่ามันจะถูกประมูลในเทศกาลเทพประทานในอีกสามวันให้หลัง ทุกคนก็แอบตื่นเต้นและไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีศิลาสวรรค์เพียงพอในอนาคต พวกเขาหวังเป็นอย่างมากว่าภาพวาดจะถูกขายให้กับผู้ที่มีอิทธิพลและชื่อเสียงของภาพวาดทั้งสามนี้ก็จะแพร่กระจายไปทั่วเกาะแห่งบาป และด้วยความช่วยเหลือจากเหล่าพ่อค้าทวีปจักรพรรดิบูรพาที่ซ่อนตัวอยู่ที่นี่ มันก็จะทำให้เรื่องนี้ถูกแพร่ไปยังทวีปจักรพรรดิบูรพาด้วย ซึ่งจะทำให้ชื่อของอีเพียวเพียวเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งทวีปจักรพรรดิบูรพา!
และแน่นอนว่า…การซื้อของเป็นเรื่องธรรมชาติของสตรี มันทำให้ใจของเฟิ่งหลวนและชิงหยีเต้นรัว พวกนางหวังว่าจะสามารถเข้าร่วมการประมูลได้ แม้ว่าพวกนางจะไม่สามารถซื้ออะไรได้ แต่พวกนางก็ยังมีโอกาสได้เห็นสมบัติล้ำค่าของโลกและคงไม่ได้มาเกาะเทพประทานอย่างไร้ค่า
แต่พวกนางก็รู้ดีว่าการปรากฏตัวในที่สาธารณะนั้นอันตรายและการเข้าร่วมการประมูลยิ่งอันตรายขึ้นไปอีก ลู่หลินกับตระกูลหงและตระกูลลี่อาจจะอยู่ที่นี่ ซึ่งมันจะเปิดเผยตัวตนพวกเขาทันที
“ว่านก้วนกับข้าจะออกไปในอีกสามวันข้างหน้า”
เจียงอี้พึมพำอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดว่า “พวกเจ้าอยู่ในราชวังจักรพรรดิกันไปก่อน หากที่ประมูลปลอดภัย ข้าจะพาพวกเจ้าออกมา”
“ได้เลย ได้เลยเจ้าค่ะ” ชิงหยีปรบมือของนางอย่างตื่นเต้นเพราะนางอยากรู้จริงๆว่าภาพวาดจะขายได้ราคาสูงเพียงใด
“นายน้อย นี่….”
เฟิ่งหลวนลังเลและถามว่า “มันจะไม่อันตรายไปหรือเจ้าคะ?”
เจียงอี้ส่ายมือและพูดว่า “หากเมืองเทพประทานไม่ปลอดภัย มันก็ไม่สำคัญแล้วว่าเราอยู่ในที่สาธารณะหรือเปล่า ภาพวาดทั้งสามภาพนี้มันก็เพียงพอที่จะเปิดเผยตัวตนของเราแล้ว แต่หากเราไม่ขายภาพวาด…เราก็อยู่เมืองนี้ต่อไม่ได้ เจ้าประเมินความสามารถของตระกูลใหญ่ต่ำไป หากตระกูลซือถูต้องการตามหาตัวเราจริงๆ เราคงถูกเปิดเผยตัวตนไปนานแล้ว เราได้แต่หวังว่าตระกูลทั้งสี่จะไม่ลงมือในเมืองเท่านั้น”
หากสี่ตระกูลใหญ่ไม่ลงมือ แสดงว่าตระกูลลู่ที่มีอิทธิพลด้อยกว่าจะไม่กล้าลงมือเช่นกัน แม้ว่าลู่หลินจะตามรอยพวกเขามาถึงที่นี่ได้ แล้วเขาจะทำอะไรได้อีกหากพวกนั้นไม่ออกจากเมือง?
ภาพวาดทั้งสามนี้มีความสำคัญต่อเจียงอี้และเขาก็อยากรู้ว่าผู้ใดเป็นคนเสนอราคาคนสุดท้ายที่จะได้ภาพวาดไปครอง เขาจึงตัดสินใจที่จะออกไปดูงานประมูล
เฉียนว่านก้วนออกไปอีกครั้งขณะที่เขาใช้จ่ายศิลาสวรรค์ไปในตลาดมืดเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ในเมืองเทพประทาน ไม่เช่นนั้น เขากลัวว่าพวกเขาอาจจะตายโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
และด้วยเทศกาลเทพประทานที่กำลังจะมาถึงนี้ เมืองเทพประทานก็มีชีวิตชีวาขึ้นมา!
เทศกาลเทพประทานเป็นเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเผ่าเทพประทานเนื่องจากมันเป็นวันที่จักรพรรดิหนานกงได้สร้างค่ายกลเก้ามังกรสยบเทพขึ้นมา หากปราศจากค่ายกลนี้ เผ่าเทพประทานคงสูญสิ้นไปแล้ว ดังนั้นในวันนี้ของทุกปี ตระกูลทั้งหมดในเผ่าเทพประทานจะรีบมาที่เมืองเทพประทานเพื่อถวายบรรณาการแด่จักรพรรดิหนานกงผู้ยิ่งใหญ่
ในช่วงเวลาก่อนและหลังเทศกาลเทพประทานห้าวัน เกาะเทพประทานจะห้ามไม่ให้มีการใช้กำลังทั้งหมด ไม่ใช่เพียงแค่ในเมืองเท่านั้น หากพบว่ามีผู้ใดกล้าสร้างเรื่องนอกเมือง ทั้งสี่ตระกูลใหญ่จะไล่ล่าพวกเขาจนตายอย่างแน่นอน
ในวันเทศกาลเทพประทาน เมืองทั้งเมืองจะเปิดให้เข้ามาได้และจะไม่มีกฎการเข้าที่พักในตอนกลางคืน และโรงเตี๊ยมใหญ่ๆทั้งหมดของสมาคมการค้าทั้งสี่จะจัดหาอาหารและเครื่องดื่มมาเลี้ยงและพวกเขาก็เป็นเจ้าภาพในการเฉลิมฉลองทั่วทั้งเมือง
เมื่อเฉียนว่านก้วนนำข้อมูลกลับมา เจียงอี้และคนอื่นๆก็รู้สึกผ่อนคลายลง
การประมูลจะเริ่มขึ้นในช่วงพลบค่ำเท่านั้นและการที่จะเข้าร่วมได้จะต้องจ่ายศิลาสวรรค์มากมาย เฉียนว่านก้วนเองก็เพิ่งจะใช้ศิลาสวรรค์ไปกว่าร้อยล้านก้อนเพื่อได้ที่ในศาลาขนาดเล็กที่ไม่มีผู้ใดสามารถสอดแนมจากภายนอกได้
เจียงอี้จึงตัดสินใจว่าจะให้ทุกคนไปร่วมงานประมูลด้วยการปลอมตัว ในเวลาเดียวกัน พวกเขาจะใช้หินจันทร์มายาเพื่อเปลี่ยนรูปลักษณ์ของพวกเขาด้วยเช่นกัน
สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็วและเทศกาลเทพประทานก็มาถึง!
ฟรึ่บ! ฟรั่บ!
ก่อนที่ฟ้าจะสว่าง เรือลิขิตสวรรค์นับไม่ถ้วนก็มาถึงนอกประตูเมืองเทพประทานแล้วและส่งกลุ่มคนจากตระกูลต่างๆเข้ามาในเมือง ในเวลาเพียงสองชั่วโมงก็มีเรือลิขิตสวรรค์ร้อยลำมาถึงที่นี่แล้วและนำคนมาเกือบหนึ่งล้านคน
ฟรึ่บ! ฟรั่บ! ฟรึ่บ!
ในเวลาเดียวกัน โจรจำนวนนับไม่ถ้วนนอกเกาะเทพประทานก็แห่เข้ามาในเมืองจากประตูเมืองทั้งสี่ทิศ วันนี้เป็นวันที่สามารถเข้ามาในเมืองได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายและกองโจรจำนวนมากก็ต้องการเข้ามาในเมืองเพื่อเพลิดเพลินและซื้อสมบัติขณะที่คอยค้นหาข้อมูล
ในเวลาเช้าตรู่ จำนวนคนในเมืองก็เพิ่มขึ้นมามากกว่าสิบล้านคนและยังมีคนเข้ามาเรื่อยๆ และในช่วงพระอาทิตย์ตกดิน ลานจัตุรัสทั้งห้าแห่งของเมืองก็เต็มไปด้วยผู้คนและโรงเตี๊ยมของสมาคมการค้าก็เช่นกัน เจียงอี้และกลุ่มของเขาเพิ่งจะออกมาและตกตะลึงกับฝูงชนที่หนาแน่นขนาดนี้ “ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว พิธีจะเริ่มในไม่ช้า เราไปดูที่จัตุรัสแล้วค่อยเข้าไปในโรงประมูลหลังเสร็จพิธีกันเถอะ”
เฉียนว่านก้วนกวักมือของเขาและพาทุกคนออกไปยังจัตุรัสใจกลางเมืองทันที