เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 824 สตรี
ภายในปราสาทสงครามนั้น นอกจากบันไดหินแล้วก็มีเพียงค่ายกลเคลื่อนย้ายและผู้อาวุโสนั่งอยู่ที่หัวมุม ซือถูอีเสี้ยวนำทุกคนเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายขณะที่มือของผู้อาวุโสก็ส่องแสงหลากสีพุ่งเข้ามาในค่ายกลเคลื่อนย้าย ค่ายกลเคลื่อนย้ายสว่างขึ้นมาขณะที่เจียงอี้และคนอื่นๆก็หายไปจากปราสาทสงคราม
“เอ๊ะ?”
หลังจากที่เจียงอี้เข้ามา เขาก็สังเกตเห็นว่าเขาเข้ามายังเขตพื้นที่แปลกๆที่คล้ายเขตแดนลึกลับของตระกูลหนานกง ทุกๆที่เต็มไปด้วยก้อนหินลอยน้ำและทั้งสามคนต่างก็ยืนอยู่บนก้อนหินแต่ละก้อน ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือก้อนหินเหล่านี้ไม่มีสิ่งกีดขวางและไม่มีอะไรเลยนอกจากความมืดครอบคลุมเอาไว้
“เจียงอี้ ไม่ต้องตื่นตระหนกไป เจ้าเพียงแค่ต้องสังเกตมันเงียบๆ ทุกอย่างในนี้เป็นเพียงภาพลวงตาและมันจะทำอันตรายเราไม่ได้อย่างแน่นอน”
เสียงของซือถูอีเสี้ยวดังก้องขณะที่หวงฝูเทาเทียนพยักหน้าและนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลางก้อนหิน ใบหน้าของพวกเขาสงบลงขณะที่ดวงตาของพวกเขาเป็นประกาย เจียงอี้ก็นั่งตามไปติดๆขณะที่เขาคอยมองไปรอบๆ
บรึฟ!
มีแสงสว่างจ้าจากทางตะวันออก ซึ่งต่อมามันก็ได้ส่องสว่างไปทั่วพื้นที่ สภาพแวดล้อมรอบๆเองก็เปลี่ยนไปอย่างมากและกลายเป็นถิ่นกันดาร มันดูสมจริงมากราวกับว่าพวกเขาเข้ามาในถิ่นกันดารจริงๆ
ฟรึ่บ!
มีเสียงทะลุเสียดฟ้ามาจากทางตะวันออก จากนั้นจอมยุทธที่สวมชุดเกราะสีดำก็บินไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่เขากำลังหนี เขาก็ตะโกนออกมาว่า “เจี้ยนเหิง ทำไมเจ้าถึงไล่ล่าข้า ในเมื่อเราไม่ได้มีความแค้นต่อกัน? คนของตระกูลเจี้ยนไร้เหตุผลเช่นนี้ทุกคนเลยหรือ?”
ฟรึ่บ!
เสียงเสียดแหลมดังมาจากทางตะวันออกขณะที่จอมยุทธวัยกลางคนที่สวมชุดขาวบินมา จอมยุทธผู้นี้ยืนอยู่บนดาบหินขนาดยักษ์ที่ส่องประกายด้วยอักขระและมีกลิ่นอายที่น่าตกใจและมันเป็นสมบัติเชื่อมดวงจิต จอมยุทธวัยกลางคนหัวเราะอย่างโหดเหี้ยมและกล่าวว่า “มอบแผ่นเงาวายุมา แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า ไม่เช่นนั้น ภูเขาที่รกร้างแห่งนี้แหละที่จะเป็นที่ตายของเจ้า”
“เลิกคิดเรื่องนี้ไปได้เลย!”
จอมยุทธชุดดำตะโกนด้วยความเดือดดาล “นี่เป็นมรดกตกทอดของตระกูลข้า ข้าไม่คิดเลยว่าตระกูลเจี้ยนของเจ้าช่างน่ารังเกียจจริงๆ แม้ว่าวันนี้ข้าจะต้องตาย ข้าก็จะลากเจ้าให้ตายไปพร้อมกับข้าด้วย”
จอมยุทธชุดเกราะดำไม่หนีอีกต่อไป แผ่นสีเขียวปรากฏขึ้นในมือของเขาและเมื่อเขาเทแก่นแท้พลังไป แผ่นสีเขียวๆนั้นก็ขยายออกมาทันที นอกจากนี้ยังมีใบมีดที่คมกริบมากมายที่ขอบของแผ่นเหล็กนี่ แถมมันยังมีแสงระยิบระยับไปด้วยอักขระอีกด้วย เห็นได้ชัดว่ามันเป็นสมบัติเชื่อมดวงจิต
“ตายซะ!”
จู่ๆ ดาบหินยักษ์ที่อยู่ใต้จอมยุทธตระกูลเจี้ยนก็พุ่งออกมาราวกับสายรุ้งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งทันใดนั้นมันก็กลายเป็นเงาดาบนับหมื่นและร่ายรำอยู่บนท้องฟ้า ดาบหินแต่ละเล่มมีกลิ่นอายที่น่าเกรงขามและรู้สึกราวกับว่ามันสามารถทำลายทุกสิ่งได้และรู้สึกเหมือนจริงอย่างยิ่ง
“ภาพลวงตานี้ช่างเหมือนจริงเกินไปแล้ว…”
หากซือถูอีเสี้ยวไม่แจ้งเขาก่อนหน้านี้ เจียงอี้คงคิดว่านี่คือเรื่องจริง ศาสตร์ลวงตานี่เหมือนมีชีวิตเกินไปและพลังแห่งการทำลายล้างที่แผ่ออกมาจากดาบนั้นก็ชัดเจนเกินไปด้วย การปรากฏที่น่าสะพรึงเหล่านั้นทำให้ร่างกายของเขาตึงเครียดขึ้นมา และหากว่าเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ พวกเขาคงจะกลัวจนตายไปเลย
ฟรึ่บ!
เงาดาบจำนวนมากถูกส่งออกมายังก้อนหินยักษ์ด้านซือถูอีเสี้ยวและทิศทางของคนอื่น เจียงอี้ไม่ได้ดูปฏิกิริยาของอีกสองคน แต่ร่างของเขาไม่ขยับเลย เงาดาบเหล่านี้อาจดูเหมือนจริง แต่ใจของเขาไม่มีการเตือนสัญญาณอันตรายใดๆเลย
จริงด้วย!
เงาดาบเหล่านั้นแทงทะลุผ่านพวกเขาไปยังภูเขาสูงที่อยู่ห่างออกไป ยอดเขาหลายแห่งระเบิดทันทีและท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยเศษหินขณะที่ทิ้งรอยร้าวอันน่าสยดสยองไว้บนฟ้า แผ่นเงาวายุนั้นส่งเสียงกังวานขณะที่มันปะทะเข้ากับเงาดาบนับสิบ เห็นได้ชัดว่าพลังของแผ่นเงาวายุนี้สำคัญมาก เนื่องจากมันทำลายดาบยักษ์ไปหลายสิบเล่มและลอยไปทางจอมยุทธตระกูลเจี้ยนราวกับแสงสีเขียว
“วายุคณานับ? พลังแห่งการทำลายล้าง!”
เจียงอี้สังเกตเห็นรูปแบบเต๋าสองรูปแบบจากการโจมตีของจอมยุทธตระกูลเจี้ยนและยอมรับเงียบๆว่าแดนลึกลับนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ มันเป็นเขตมายาที่เกินจริงซึ่งทำให้ผู้คนสัมผัสถึงรูปแบบเต๋าภายในการโจมตีได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม เขาไม่รู้ว่าตระกูลซือถูได้มีการต่อสู้เช่นนี้ได้อย่างไรซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันอยู่บนทวีปจักรพรรดิบูรพา? พวกเขาใช้เงินมหาศาลเพื่อซื้อผนึกศิลามาจากทวีปจักรพรรดิบูรพาหรือ?
“หึหึ! ถึงเวลาตายของเจ้าแล้ว ดาบกำเนิดนิกาย!”
แผ่นเงาวายุกลายเป็นโค้งแสงสีเขียวที่พุ่งไปยังจอมยุทธตระกูลเจี้ยน อีกฝ่ายก็คำรามออกมาอย่างไม่เกรงกลัวและเงาดาบนับหมื่นก็ควบแน่นและรวมเป็นดาบศิลาที่โจมตีจอมยุทธชุดเกราะดำทันที
ดาบนับหมื่นของเขากระจัดกระจายอย่างรวดเร็ว แต่ก็มาบรรจบกันอย่างรวดเร็วเช่นกัน หลังจากบรรจบกันแล้ว ความเร็วของดาบก็เพิ่มขึ้นหลายเท่า ก่อนที่จอมยุทธชุดดำจะมีโอกาสได้โต้ตอบ ดาบนั้นก็พุ่งเข้าใส่โล่ศักดิ์สิทธิ์ของเขาซึ่งมันแตกสลายลงในทันที หลังจากนั้น ร่างของจอมยุทธชุดเกราะดำก็ระเบิดเป็นชิ้นๆขณะที่รัศมีของแผ่นเงาวายุลดลงไปและถูกจอมยุทธตระกูลเจี้ยนเก็บเอาไว้
หลังจากที่การต่อสู้สิ้นสุดลง ฉากนั้นก็ค่อยๆหายไปและสภาพแวดล้อมก็กลับกลายเป็นสีดำสนิทอีกครั้ง ดวงตาของเจียงอี้เต็มไปด้วยความประหลาดใจ เขาไม่ได้คาดหวังว่าวายุคณานับจะผสานกลับมาอีกครั้ง? จากหนึ่งกลายเป็นหมื่น จากหมื่นกลับไปเป็นหนึ่ง? พลังนั้นแข็งแกร่งขึ้นจริงๆหลังจากที่รวมเป็นหนึ่งเดียว
เจียงอี้ประหลาดใจอยู่เงียบๆ แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมหมื่นถึงกลับมารวมกันเป็นหนึ่งหลังจากที่มันแยกตัวออกมา?
บรึฟ!
บริเวณรอบๆสว่างขึ้นอีกครั้ง ขณะที่ท้องทะเลปรากฏอยู่เบื้องล่าง มีการต่อสู้เกิดขึ้นอีกครั้งและครั้งนี้ก็มีคนห้าคนไล่ล่าคนหนึ่งคน พวกเขาทั้งหมดเป็นขอบเขตเทียนจุนระดับสูงและการต่อสู้ก็ดุเดือดมาก เจียงอี้สลัดความคิดของตัวเองออกไปและคอยจดจ่ออยู่กับการต่อสู้ เขตพื้นที่การต่อสู้นี้เป็นแดนลึกลับของตระกูลซือถูและผู้อาวุโสตระกูลซือถูจะต้องคัดค้านที่ซือถูอีเสี้ยวพาเขาเข้ามา มันคงน่าเสียดายมากที่จะพลาดโอกาสดีๆเช่นนี้ เขาจึงจดจ่ออยู่กับการต่อสู้นี้ ซึ่งมันคงไม่สายเกินไปที่จะมาคิดเรื่องอื่นทีหลัง
บรึฟ!
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนระดับสูงเคลื่อนไหวเร็วเกินไปและเจียงอี้ก็รู้สึกราวกับว่าเขากำลังตาเลือนลาง เขามีแรงบันดาลใจขึ้นมาอย่างกะทันหันขณะที่หมุนเวียนแก่นแท้พลังไปที่ดวงตาของเขา ซึ่งทำให้การมองเห็นของเขาเปลี่ยนไปมาก เขาจ้องมองการต่อสู้อย่างต่อเนื่องและถอนหายใจอยู่เรื่อยๆ “การโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของบุคคลนี้คือรูปแบบเต๋าอัคคีธาตุ บุคคลนี้มีรูปแบบเต๋าธาตุลม เอ๋…คนที่ถูกไล่ล่ามีรูปแบบเต๋าลึกลับและมันเป็นรูปแบบเต๋าระดับสูงจริงๆ? พลังนั้นช่างน่ากลัวนัก!”
เจียงอี้จดจ่อกับการสังเกตเนื่องจากมันยากมากที่จะได้พบกับการต่อสู้ระดับสูงเช่นนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาสังเกตมันได้ใกล้ๆโดยไม่มีอันตรายใดๆ เขาจะผ่อนคลายจิตใจและสังเกตในขณะที่เขาเข้าถึงรูปแบบเต๋าที่ปลดปล่อยสมาธิออกมาอย่างเต็มที่ สิ่งนี้มันได้ผลดีมากสำหรับเหล่าจอมยุทธ
เห็นได้ชัดว่าซือถูอีเสี้ยวเขาสู่เขตแดนการต่อสู้บ่อยๆและไม่ได้สนใจจริงๆ ส่วนหวงฝูเทาเทียนก็คอยเฝ้ามองด้วยความสนใจเรื่องจากมีภาพลวงตาของการต่อสู้มากมายที่หวงฝูเทาเทียนไม่มี สำหรับผู้ที่คลั่งไคล้การต่อสู้เช่นเขา มันก็ช่วยเขาได้มากโขเลย
หลังจากที่การต่อสู้แต่ละครั้งจบลง การต่อสู้อื่นก็จะเริ่มขึ้นมาอีกครั้ง
ชั้นแรกของเขตแดนการต่อสู้ของตระกูลซือถูนั้นมีฉากการต่อสู้มากมายซึ่งมีมากกว่าร้อยฉาก เจียงอี้และหวงฝูเทาเทียนเฝ้ามองมาครึ่งวันแล้วและยังดูไม่จบเลย และทั้งสองคนก็อยู่ในสภาวะพร่ามัว ดวงตาของพวกเขาจะสับสนเป็นครั้งคราวราวกับถูกกระตุ้น ส่วนเจียงอี้ก็เริ่มแสดงท่าทางตามสัญชาตญาณเป็นครั้งคราว แต่ซือถูอีเสี้ยวก็ผิดหวังเล็กน้อยเนื่องจากไม่ได้ทำให้เจียงอี้หลอมรวมรูปแบบเต๋าของเขาได้ ไม่เช่นนั้นเขาคงเข้าสู่สันโดษไปแล้ว
บรึฟ!
สภาพแวดล้อมที่มืดสนิทกลับสว่างไสวขึ้นอีกครั้งเมื่อมันกลายเป็นเกาะ และจริงๆแล้วมันคือเกาะอัสนีฟ้ากระจ่าง? บางคนอยู่ในการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่บนเกาะอัสนีฟ้ากระจ่างและอีกหลายคนกำลังสังเกตจากข้างๆ การต่อสู้อีกฝั่งหนึ่งน่าจะเป็นตระกูลลู่และผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดมากกว่าสิบคนกำลังต่อสู้กับชายชราอยู่ ชายชราผู้นั้นกำลังจัดการกับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดราวกับว่าเขากำลังหยอกล้อเด็กกลุ่มหนึ่ง
ที่ตั้งของการต่อสู้นั้นอยู่ใกล้กับเมืองอัสนีฟ้ากระจ่างเพราะเจียงอี้เห็นผู้คนจำนวนมากคอยมองการต่อสู้จากกำแพงเมือง มีบางอย่างที่ค่อนข้างเด่นชัดเนื่องจากมีสตรีกำลังสังเกตอยู่ที่สันเขาอัสนี นางมีท่าทางสงบเหมือนน้ำในบ่อโบราณราวกับนางกำลังดูการต่อสู้ธรรมดาๆ
“หืม?”
ทันใดนั้น ซือถูอีเสี้ยวก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งและชำเลืองมองเจียงอี้ทันที ซึ่งมันทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ…ใบหน้าของเจียงอี้เต็มไปด้วยน้ำตาและเขามองไปที่สตรีผู้นั้นขณะที่ร่างของเขาสั่นเทา
หวงฝูเทาเทียนเองก็ยังสังเกตเห็นมันขณะที่เขาถามด้วยน้ำเสียงงุนงง “เจียงอี้ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า?”
เจียงอี้ไม่ได้พูดอะไรและมองไปยังสตรีบนสันเขาอัสนีต่อด้วยท่าทางที่ซาบซึ้งราวกับว่าเขากลัวว่านางอาจจะหายลับไป และเมื่อชายชราผู้นั้นใช้กระบวนท่าเพียงครั้งเดียวเพื่อทุบผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนของตระกูลลู่ทั้งหมดลงบนพื้นและกลับไปยังสตรีที่น่าทึ่ง ฉากการต่อสู้ก็หายไป เจียงอี้ยืนขึ้นมาและถามว่า “พี่ซือถู เจ้ารู้สถานะของสตรีนางนั้นและชายชราผู้นั้นหรือไม่! นี่มันสำคัญมากสำหรับข้า!”
“สำคัญมาก?”
ซือถูอีเสี้ยวนึกบางอย่างขึ้นได้และตบหัวของเขาขณะที่พูดว่า “ใช่แล้ว ข้ากำลังคิดว่าทำไมหน้าของนางถึงคุ้นๆ แม่นางผู้นี้กับแม่นางที่อยู่ในภาพวาดโหยหานั้นดูคล้ายกันนัก…..”
“เอ๊ะ?”
หลังจากที่เจียงอี้เข้ามา เขาก็สังเกตเห็นว่าเขาเข้ามายังเขตพื้นที่แปลกๆที่คล้ายเขตแดนลึกลับของตระกูลหนานกง ทุกๆที่เต็มไปด้วยก้อนหินลอยน้ำและทั้งสามคนต่างก็ยืนอยู่บนก้อนหินแต่ละก้อน ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือก้อนหินเหล่านี้ไม่มีสิ่งกีดขวางและไม่มีอะไรเลยนอกจากความมืดครอบคลุมเอาไว้
“เจียงอี้ ไม่ต้องตื่นตระหนกไป เจ้าเพียงแค่ต้องสังเกตมันเงียบๆ ทุกอย่างในนี้เป็นเพียงภาพลวงตาและมันจะทำอันตรายเราไม่ได้อย่างแน่นอน”
เสียงของซือถูอีเสี้ยวดังก้องขณะที่หวงฝูเทาเทียนพยักหน้าและนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลางก้อนหิน ใบหน้าของพวกเขาสงบลงขณะที่ดวงตาของพวกเขาเป็นประกาย เจียงอี้ก็นั่งตามไปติดๆขณะที่เขาคอยมองไปรอบๆ
บรึฟ!
มีแสงสว่างจ้าจากทางตะวันออก ซึ่งต่อมามันก็ได้ส่องสว่างไปทั่วพื้นที่ สภาพแวดล้อมรอบๆเองก็เปลี่ยนไปอย่างมากและกลายเป็นถิ่นกันดาร มันดูสมจริงมากราวกับว่าพวกเขาเข้ามาในถิ่นกันดารจริงๆ
ฟรึ่บ!
มีเสียงทะลุเสียดฟ้ามาจากทางตะวันออก จากนั้นจอมยุทธที่สวมชุดเกราะสีดำก็บินไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่เขากำลังหนี เขาก็ตะโกนออกมาว่า “เจี้ยนเหิง ทำไมเจ้าถึงไล่ล่าข้า ในเมื่อเราไม่ได้มีความแค้นต่อกัน? คนของตระกูลเจี้ยนไร้เหตุผลเช่นนี้ทุกคนเลยหรือ?”
ฟรึ่บ!
เสียงเสียดแหลมดังมาจากทางตะวันออกขณะที่จอมยุทธวัยกลางคนที่สวมชุดขาวบินมา จอมยุทธผู้นี้ยืนอยู่บนดาบหินขนาดยักษ์ที่ส่องประกายด้วยอักขระและมีกลิ่นอายที่น่าตกใจและมันเป็นสมบัติเชื่อมดวงจิต จอมยุทธวัยกลางคนหัวเราะอย่างโหดเหี้ยมและกล่าวว่า “มอบแผ่นเงาวายุมา แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า ไม่เช่นนั้น ภูเขาที่รกร้างแห่งนี้แหละที่จะเป็นที่ตายของเจ้า”
“เลิกคิดเรื่องนี้ไปได้เลย!”
จอมยุทธชุดดำตะโกนด้วยความเดือดดาล “นี่เป็นมรดกตกทอดของตระกูลข้า ข้าไม่คิดเลยว่าตระกูลเจี้ยนของเจ้าช่างน่ารังเกียจจริงๆ แม้ว่าวันนี้ข้าจะต้องตาย ข้าก็จะลากเจ้าให้ตายไปพร้อมกับข้าด้วย”
จอมยุทธชุดเกราะดำไม่หนีอีกต่อไป แผ่นสีเขียวปรากฏขึ้นในมือของเขาและเมื่อเขาเทแก่นแท้พลังไป แผ่นสีเขียวๆนั้นก็ขยายออกมาทันที นอกจากนี้ยังมีใบมีดที่คมกริบมากมายที่ขอบของแผ่นเหล็กนี่ แถมมันยังมีแสงระยิบระยับไปด้วยอักขระอีกด้วย เห็นได้ชัดว่ามันเป็นสมบัติเชื่อมดวงจิต
“ตายซะ!”
จู่ๆ ดาบหินยักษ์ที่อยู่ใต้จอมยุทธตระกูลเจี้ยนก็พุ่งออกมาราวกับสายรุ้งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งทันใดนั้นมันก็กลายเป็นเงาดาบนับหมื่นและร่ายรำอยู่บนท้องฟ้า ดาบหินแต่ละเล่มมีกลิ่นอายที่น่าเกรงขามและรู้สึกราวกับว่ามันสามารถทำลายทุกสิ่งได้และรู้สึกเหมือนจริงอย่างยิ่ง
“ภาพลวงตานี้ช่างเหมือนจริงเกินไปแล้ว…”
หากซือถูอีเสี้ยวไม่แจ้งเขาก่อนหน้านี้ เจียงอี้คงคิดว่านี่คือเรื่องจริง ศาสตร์ลวงตานี่เหมือนมีชีวิตเกินไปและพลังแห่งการทำลายล้างที่แผ่ออกมาจากดาบนั้นก็ชัดเจนเกินไปด้วย การปรากฏที่น่าสะพรึงเหล่านั้นทำให้ร่างกายของเขาตึงเครียดขึ้นมา และหากว่าเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ พวกเขาคงจะกลัวจนตายไปเลย
ฟรึ่บ!
เงาดาบจำนวนมากถูกส่งออกมายังก้อนหินยักษ์ด้านซือถูอีเสี้ยวและทิศทางของคนอื่น เจียงอี้ไม่ได้ดูปฏิกิริยาของอีกสองคน แต่ร่างของเขาไม่ขยับเลย เงาดาบเหล่านี้อาจดูเหมือนจริง แต่ใจของเขาไม่มีการเตือนสัญญาณอันตรายใดๆเลย
จริงด้วย!
เงาดาบเหล่านั้นแทงทะลุผ่านพวกเขาไปยังภูเขาสูงที่อยู่ห่างออกไป ยอดเขาหลายแห่งระเบิดทันทีและท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยเศษหินขณะที่ทิ้งรอยร้าวอันน่าสยดสยองไว้บนฟ้า แผ่นเงาวายุนั้นส่งเสียงกังวานขณะที่มันปะทะเข้ากับเงาดาบนับสิบ เห็นได้ชัดว่าพลังของแผ่นเงาวายุนี้สำคัญมาก เนื่องจากมันทำลายดาบยักษ์ไปหลายสิบเล่มและลอยไปทางจอมยุทธตระกูลเจี้ยนราวกับแสงสีเขียว
“วายุคณานับ? พลังแห่งการทำลายล้าง!”
เจียงอี้สังเกตเห็นรูปแบบเต๋าสองรูปแบบจากการโจมตีของจอมยุทธตระกูลเจี้ยนและยอมรับเงียบๆว่าแดนลึกลับนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ มันเป็นเขตมายาที่เกินจริงซึ่งทำให้ผู้คนสัมผัสถึงรูปแบบเต๋าภายในการโจมตีได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม เขาไม่รู้ว่าตระกูลซือถูได้มีการต่อสู้เช่นนี้ได้อย่างไรซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันอยู่บนทวีปจักรพรรดิบูรพา? พวกเขาใช้เงินมหาศาลเพื่อซื้อผนึกศิลามาจากทวีปจักรพรรดิบูรพาหรือ?
“หึหึ! ถึงเวลาตายของเจ้าแล้ว ดาบกำเนิดนิกาย!”
แผ่นเงาวายุกลายเป็นโค้งแสงสีเขียวที่พุ่งไปยังจอมยุทธตระกูลเจี้ยน อีกฝ่ายก็คำรามออกมาอย่างไม่เกรงกลัวและเงาดาบนับหมื่นก็ควบแน่นและรวมเป็นดาบศิลาที่โจมตีจอมยุทธชุดเกราะดำทันที
ดาบนับหมื่นของเขากระจัดกระจายอย่างรวดเร็ว แต่ก็มาบรรจบกันอย่างรวดเร็วเช่นกัน หลังจากบรรจบกันแล้ว ความเร็วของดาบก็เพิ่มขึ้นหลายเท่า ก่อนที่จอมยุทธชุดดำจะมีโอกาสได้โต้ตอบ ดาบนั้นก็พุ่งเข้าใส่โล่ศักดิ์สิทธิ์ของเขาซึ่งมันแตกสลายลงในทันที หลังจากนั้น ร่างของจอมยุทธชุดเกราะดำก็ระเบิดเป็นชิ้นๆขณะที่รัศมีของแผ่นเงาวายุลดลงไปและถูกจอมยุทธตระกูลเจี้ยนเก็บเอาไว้
หลังจากที่การต่อสู้สิ้นสุดลง ฉากนั้นก็ค่อยๆหายไปและสภาพแวดล้อมก็กลับกลายเป็นสีดำสนิทอีกครั้ง ดวงตาของเจียงอี้เต็มไปด้วยความประหลาดใจ เขาไม่ได้คาดหวังว่าวายุคณานับจะผสานกลับมาอีกครั้ง? จากหนึ่งกลายเป็นหมื่น จากหมื่นกลับไปเป็นหนึ่ง? พลังนั้นแข็งแกร่งขึ้นจริงๆหลังจากที่รวมเป็นหนึ่งเดียว
เจียงอี้ประหลาดใจอยู่เงียบๆ แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมหมื่นถึงกลับมารวมกันเป็นหนึ่งหลังจากที่มันแยกตัวออกมา?
บรึฟ!
บริเวณรอบๆสว่างขึ้นอีกครั้ง ขณะที่ท้องทะเลปรากฏอยู่เบื้องล่าง มีการต่อสู้เกิดขึ้นอีกครั้งและครั้งนี้ก็มีคนห้าคนไล่ล่าคนหนึ่งคน พวกเขาทั้งหมดเป็นขอบเขตเทียนจุนระดับสูงและการต่อสู้ก็ดุเดือดมาก เจียงอี้สลัดความคิดของตัวเองออกไปและคอยจดจ่ออยู่กับการต่อสู้ เขตพื้นที่การต่อสู้นี้เป็นแดนลึกลับของตระกูลซือถูและผู้อาวุโสตระกูลซือถูจะต้องคัดค้านที่ซือถูอีเสี้ยวพาเขาเข้ามา มันคงน่าเสียดายมากที่จะพลาดโอกาสดีๆเช่นนี้ เขาจึงจดจ่ออยู่กับการต่อสู้นี้ ซึ่งมันคงไม่สายเกินไปที่จะมาคิดเรื่องอื่นทีหลัง
บรึฟ!
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนระดับสูงเคลื่อนไหวเร็วเกินไปและเจียงอี้ก็รู้สึกราวกับว่าเขากำลังตาเลือนลาง เขามีแรงบันดาลใจขึ้นมาอย่างกะทันหันขณะที่หมุนเวียนแก่นแท้พลังไปที่ดวงตาของเขา ซึ่งทำให้การมองเห็นของเขาเปลี่ยนไปมาก เขาจ้องมองการต่อสู้อย่างต่อเนื่องและถอนหายใจอยู่เรื่อยๆ “การโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของบุคคลนี้คือรูปแบบเต๋าอัคคีธาตุ บุคคลนี้มีรูปแบบเต๋าธาตุลม เอ๋…คนที่ถูกไล่ล่ามีรูปแบบเต๋าลึกลับและมันเป็นรูปแบบเต๋าระดับสูงจริงๆ? พลังนั้นช่างน่ากลัวนัก!”
เจียงอี้จดจ่อกับการสังเกตเนื่องจากมันยากมากที่จะได้พบกับการต่อสู้ระดับสูงเช่นนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาสังเกตมันได้ใกล้ๆโดยไม่มีอันตรายใดๆ เขาจะผ่อนคลายจิตใจและสังเกตในขณะที่เขาเข้าถึงรูปแบบเต๋าที่ปลดปล่อยสมาธิออกมาอย่างเต็มที่ สิ่งนี้มันได้ผลดีมากสำหรับเหล่าจอมยุทธ
เห็นได้ชัดว่าซือถูอีเสี้ยวเขาสู่เขตแดนการต่อสู้บ่อยๆและไม่ได้สนใจจริงๆ ส่วนหวงฝูเทาเทียนก็คอยเฝ้ามองด้วยความสนใจเรื่องจากมีภาพลวงตาของการต่อสู้มากมายที่หวงฝูเทาเทียนไม่มี สำหรับผู้ที่คลั่งไคล้การต่อสู้เช่นเขา มันก็ช่วยเขาได้มากโขเลย
หลังจากที่การต่อสู้แต่ละครั้งจบลง การต่อสู้อื่นก็จะเริ่มขึ้นมาอีกครั้ง
ชั้นแรกของเขตแดนการต่อสู้ของตระกูลซือถูนั้นมีฉากการต่อสู้มากมายซึ่งมีมากกว่าร้อยฉาก เจียงอี้และหวงฝูเทาเทียนเฝ้ามองมาครึ่งวันแล้วและยังดูไม่จบเลย และทั้งสองคนก็อยู่ในสภาวะพร่ามัว ดวงตาของพวกเขาจะสับสนเป็นครั้งคราวราวกับถูกกระตุ้น ส่วนเจียงอี้ก็เริ่มแสดงท่าทางตามสัญชาตญาณเป็นครั้งคราว แต่ซือถูอีเสี้ยวก็ผิดหวังเล็กน้อยเนื่องจากไม่ได้ทำให้เจียงอี้หลอมรวมรูปแบบเต๋าของเขาได้ ไม่เช่นนั้นเขาคงเข้าสู่สันโดษไปแล้ว
บรึฟ!
สภาพแวดล้อมที่มืดสนิทกลับสว่างไสวขึ้นอีกครั้งเมื่อมันกลายเป็นเกาะ และจริงๆแล้วมันคือเกาะอัสนีฟ้ากระจ่าง? บางคนอยู่ในการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่บนเกาะอัสนีฟ้ากระจ่างและอีกหลายคนกำลังสังเกตจากข้างๆ การต่อสู้อีกฝั่งหนึ่งน่าจะเป็นตระกูลลู่และผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดมากกว่าสิบคนกำลังต่อสู้กับชายชราอยู่ ชายชราผู้นั้นกำลังจัดการกับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดราวกับว่าเขากำลังหยอกล้อเด็กกลุ่มหนึ่ง
ที่ตั้งของการต่อสู้นั้นอยู่ใกล้กับเมืองอัสนีฟ้ากระจ่างเพราะเจียงอี้เห็นผู้คนจำนวนมากคอยมองการต่อสู้จากกำแพงเมือง มีบางอย่างที่ค่อนข้างเด่นชัดเนื่องจากมีสตรีกำลังสังเกตอยู่ที่สันเขาอัสนี นางมีท่าทางสงบเหมือนน้ำในบ่อโบราณราวกับนางกำลังดูการต่อสู้ธรรมดาๆ
“หืม?”
ทันใดนั้น ซือถูอีเสี้ยวก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งและชำเลืองมองเจียงอี้ทันที ซึ่งมันทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ…ใบหน้าของเจียงอี้เต็มไปด้วยน้ำตาและเขามองไปที่สตรีผู้นั้นขณะที่ร่างของเขาสั่นเทา
หวงฝูเทาเทียนเองก็ยังสังเกตเห็นมันขณะที่เขาถามด้วยน้ำเสียงงุนงง “เจียงอี้ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า?”
เจียงอี้ไม่ได้พูดอะไรและมองไปยังสตรีบนสันเขาอัสนีต่อด้วยท่าทางที่ซาบซึ้งราวกับว่าเขากลัวว่านางอาจจะหายลับไป และเมื่อชายชราผู้นั้นใช้กระบวนท่าเพียงครั้งเดียวเพื่อทุบผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนของตระกูลลู่ทั้งหมดลงบนพื้นและกลับไปยังสตรีที่น่าทึ่ง ฉากการต่อสู้ก็หายไป เจียงอี้ยืนขึ้นมาและถามว่า “พี่ซือถู เจ้ารู้สถานะของสตรีนางนั้นและชายชราผู้นั้นหรือไม่! นี่มันสำคัญมากสำหรับข้า!”
“สำคัญมาก?”
ซือถูอีเสี้ยวนึกบางอย่างขึ้นได้และตบหัวของเขาขณะที่พูดว่า “ใช่แล้ว ข้ากำลังคิดว่าทำไมหน้าของนางถึงคุ้นๆ แม่นางผู้นี้กับแม่นางที่อยู่ในภาพวาดโหยหานั้นดูคล้ายกันนัก…..”