เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 833 อัสนีพิโรธ
“ท่านลุงซือถู ข้าไม่ใช่คนล้ำเส้นก่อน”
เจียงอี้มองไปยังซือถูอ้าวและหัวเราะอย่างขมขื่น “ด้วยวิสัยทัศน์ของท่านลุง ท่านไม่เห็นหรือว่าอีกฝ่ายเตรียมตัวไว้แล้ว?”
เมืองเทพประทานอยู่ห่างจากที่นี่เป็นร้อยกิโลเมตร มันเป็นระยะทางที่ไม่ไกลที่เหลยถิงเวยและคนอื่นๆจะมาถึงที่นี่ได้ทันที แต่พวกเขานำคนมากี่คนกัน? ตระกูลลู่, ตระกูลหนานกงและตระกูลเหลยได้นำขอบเขตเทียนจุนมาอย่างน้อยหลายพันคนใช่ไหม? ใครกันที่จะรวบรวมคนได้มากมายในเวลาสั้นๆเพียงนี้กัน? แล้วพวกเขาจะมาถึงที่นี่ด้วยความเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร?
มีเพียงคำอธิบายเดียว…นั่นคือยอดฝีมือจากทั้งสามตระกูลนั้นเตรียมตัวมาพร้อมรบแล้ว
ซือถูอ้าวถอนหายใจเบาๆ อันที่จริง เขาสามารถรวบรวมขอบเขตเทียนจุนห้าพันคนได้เพราะหน่วยสอดแนมของเขาพบการเคลื่อนไหวที่แปลกๆจากสามตระกูล เขาเตรียมคนเผื่อเอาไว้และไม่ได้คาดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นมาจริงๆ
ฟรึ่บ! ฟรั่บ!
ผู้คนนับหมื่นบินมาซึ่งตระกูลเหลย, ตระกูลหนานกงและตระกูลลู่นำคนมามากที่สุด เห็นได้ชัดว่าตระกูลที่เหลือไม่ได้เตรียมการใดๆเลยเพราะพวกเขานำทหารมาเพียงไม่กี่ร้อยจนถึงพันคนเท่านั้น ส่วนตระกูลหวงฝูก็ดีหน่อยที่นำคนมามากกว่าพันคน
ทุกสายตาจับจ้องไปยังเจียงอี้ขณะที่หวงฝูฉีและคนอื่นๆกระพริบตาไม่หยุด พวกเขาไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่พวกเขารู้สึกว่ายอดฝีมือจากสามตระกูลมีการเคลื่อนไหวแปลกๆ พวกเขาจึงนำคนมาด้วยโดยสัญชาตญาณ
ฟรึ่บ! ฟรั่บ! ฟรึ่บ!
ทายาทของตระกูลต่างๆพากันทะยานขึ้นไปบนฟ้าและกลับไปอยู่ที่กองกำลังของตระกูลตัวเองขณะที่ลูกหลานตระกูลเล็กๆที่เหลือพากันบินไปอีกด้านหนึ่งและไม่กล้าเคลื่อนไหวโดยประมาท ส่วนซือถูอีเสี้ยวบินไปข้างๆซือถูอ้าว ดวงตาของเขานั้นสั่นไหวขณะที่ไม่รู้จะไปทางไหนอย่างสมบูรณ์ ส่วนองค์หญิงเชียนเชียนก็ทะยานไปบนฟ้าพร้อมกับใต้เท้าเทวาทมิฬขณะที่พวกเขาคอยอยู่ข้างๆและสังเกตการณ์เฉยๆ
ฟรึ่บ!
หวงฝูเทาเทียนเองก็บินไปบนฟ้า แต่เขาบินไปทางเจียงอี้ ส่วนเจียงอี้ก็เหลือบมองและตะโกนออกมาทันที “หวงฝูเทาเทียน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า เจ้ากลับเข้าเมืองไปเถอะ”
“ฮึ่ม!”
หวงฝูเทาเทียนกวาดตามองไปที่เจียงอี้อย่างไม่พอใจและส่งข้อความไปว่า “เจียงอี้ เจ้าหมายความเช่นไร? ทำไมเจ้าไม่บอกว่าเจ้าจะลงมือ? เจ้ายังเห็นข้าเป็นพี่น้องอยู่ไหม? ที่ข้าบอกว่าจะติดตามเข้าไปอีกสิบปีนั้น เจ้าคิดว่าข้าล้อเล่นหรือไง?” เจียงอี้ยิ้มออกมาอย่างเจ็บปวดเมื่อเห็นดวงตาที่แน่วแน่ของหวงฝูเทาเทียน คนผู้นี้ดื้อรั้นอย่างแท้จริง หากเจียงอี้รู้ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เขาคงไม่พาหวงฝูเทาเทียนมายังยอดเขานทีสวรรค์ด้วย เจียงอี้ไม่ได้พยายามโน้มน้าวใจอีกต่อไปขณะที่เขามองไปที่เหลยถิงเวย, หนานกงหยุนยี่และลู่หลี่เงียบๆ
ดวงตาของเหลยถิงเวยแผ่ความเย็นเยียบออกมาขณะที่กลิ่นอายของเขาเป็นดั่งสัตว์คลุ้มคลั่งและดุร้าย เขาหยุดเมื่ออยู่ห่างจากเจียงอี้ไม่กี่กิโลเมตร จากนั้นเขาก็ระงับความโกรธและพูดว่า “เจียงอี้ ปล่อยลูกข้าแล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!”
หนานกงหยุนยี่ก็ตะโกนอย่างเย็นชาเช่นกัน “เจียงอี้ ส่งฉี่หลิงมาและข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!”
“ฮึฮึ!”
เจียงอี้เย้ยหยันและพูดว่า “พวกท่านทั้งสองหยุดเล่นคำพูดคำจาพวกนี้เสียเถอะ หากข้าปล่อยเหลยฉีเหยียนและมอบฉี่หลิงคืนให้ แม้ว่าพวกท่านทั้งสองจะไม่ลงมือ แต่ลูกน้องของพวกท่านและตระกูลลู่จะไม่เคลื่อนไหวหรอ? เมื่อทั้งสามตระกูลของพวกท่านมีคนมากมายเพียงนี้ ไม่ใช่ว่าพวกท่านคิดจะมาสังหารข้ากับว่านก้วนหรอกหรือ? ไม่ต้องกังวลไป ก่อนที่ข้าจะตาย ข้าจะทำให้เหลยฉีเหยียนตายไปพร้อมกับข้าด้วย”
“หืม?”
ดวงตาของเหลยถิงเวยเป็นประกายขณะที่เขามองไปยังหนานกงหยุนยี่และลู่หลี่ ทั้งสามคนเผยความประหลาดใจออกมาเนื่องจากพวกเขาทั้งสามไม่คิดจะปล่อยให้เจียงอี้และเฉียนว่านก้วนรอดไปได้ในวันนี้ แต่พวกเขาไม่คาดคิดว่าเจียงอี้จะคาดการณ์ได้อย่างรวดเร็วและเริ่มจับตัวเหลยฉีเหยียนไว้ ซึ่งมันทำให้พวกเขาทำอะไรไม่ถูก
เหลยถิงเวยหยุดนิ่งไปชั่วขณะและพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ “เจ้าต้องการอะไร?”
“ง่ายมาก!”
เจียงอี้พูดตรงประเด็นเลยว่า “ส่งมอบแม่ของหนานกงฉี่หลิงมา และเราจะออกจากเผ่าเทพประทาน และหลังจากที่เราออกไปแล้ว ข้าจะปล่อยตัวประกันไป พวกเจ้ายังอาจจะไล่ตามข้ามาได้ ว่ายังไงล่ะ?”
เมื่อเจียงอี้พูดเช่นนี้ ซือถูอ้าวก็ไม่พอใจนัก เขาอาจจะไม่เข้าใจอะไรมากนัก แต่เขาจะปล่อยให้เจียงอี้และคนอื่นๆจากไปได้อย่างไร?
เจียงอี้และเฉียนว่านก้วนเป็นอัจฉริยะรุ่นใหม่และการจากไปของพวกเขาหมายถึงการขาดทุนมหาศาลต่อตระกูลซือถู นอกจากนี้ ซือถูอีเนี่ยนยังอยู่ในราชวังจักรพรรดิของเจียงอี้ด้วย เขาจึงรีบพูดอย่างรวดเร็วว่า “เจียงอี้ ทุกอย่างนั้นเจรจากันได้ ตอนนี้เจ้าเป็นผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูและว่านก้วนเองก็เป็นเขยข้าด้วย แม้ว่าเจ้าจะทำผิดพลาดไปบ้าง แต่ข้าคิดว่าประมุขตระกูลคงไม่เลยเถิดไปถึงขั้นใช้กำลังหรอก ทำไมไม่กลับไปยังเมืองเทพประทานก่อนล่ะ? หากมีเรื่องขัดแย้งใดๆ ทุกคนก็สามารถนั่งคุยกันได้” ซือถูอ้าวเริ่มทำหน้าที่เป็นผู้สร้างสันติในขณะที่เขาระบุอย่างชัดเจนว่าเขาต้องการช่วยเจียงอี้และเฉียนว่านก้วน หวงฝูฉียังพูดต่ออีกว่า “เจียงอี้ ปล่อยตัวประกันก่อนเถอะ เหลยฉีเหยียนกำลังจะตายหากเขายังเลือดออกไม่หยุดเช่นนี้ ทุกอย่างนั้นเจรจากันได้ ประมุขตระกูลทั้งหมดอยู่ที่นี่ในวันนี้และไม่มีสิ่งใดที่ไม่สามารถตกลงได้”
ความปรารถนาดีของซือถูอ้าวและหวงฝูฉีทำให้เจียงอี้ลำบากใจ เขาอาจไม่เข้าใจว่าทำไมทั้งสามตระกูลนั้นถึงเตรียมสังหารพวกเขาในคืนนี้ พวกเขาไม่กลัวว่าจะก่อสงครามกับตระกูลซือถูหรือ? เจียงอี้มั่นใจมากว่าหากเขาปล่อยเหลยฉีเหยียนไป ทั้งสามตระกูลจะเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน แม้แต่ซือถูอ้าวและหวงฝูฉีก็ไม่สามารถปกป้องพวกเขาได้หากพวกนั้นร่วมมือกัน
เพราะจากสายตาของเหลยถิงเวย, หนานกงหยุนยี่และลู่หลี่นั้น เจียงอี้เห็นกลิ่นอายสังหารออกมาอย่างแท้จริง! ดังนั้นเจียงอี้จึงนิ่งไปชั่วขณะและพูดว่า “งั้นเอาอย่างนี้ เราจะแลกเปลี่ยนตัวประกันกัน ส่งแม่ของหนานกงฉี่หลิงมาและข้าจะปล่อยเหลยฉีเหยียนไป”
เหลยถิงเวยและหนานกงหยุนยี่มองหน้ากัน จากนั้นหนานกงหยุนยี่ก็โบกมือขณะที่โถสีดำในมือของผู้อาวุโสตระกูลหนานกงสว่างขึ้นมา หญิงวัยกลางคนปรากฏตัวขึ้นมาซึ่งอยู่ในมือผู้อาวุโสคนนั้น “นี่คือแม่ของฉี่หลิง เราจะเปลี่ยนตัวประกันตอนนี้เลยไหม?”
บรึฟ!
เมื่อราชวังจักรพรรดิปรากฏขึ้นในมือของเจียงอี้ เจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานก็ปรากฏตัวออกมาเช่นกัน นางชำเลืองมองและตะโกนออกมาทันที “ท่านแม่!”
“ฉี่หลิง!”
ตอนแรกหญิงผู้นั้นสั่นสะท้านเมื่อเห็นผู้มีอิทธิพลมากมายจนนางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อนางเห็นเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวาน นางก็ร้องออกมาอย่างปวดร้าวใจในทันที “เอาล่ะ! เจ๊ใหญ่กระพรวนกังวาน ไปพาแม่ของเจ้ามานี่”
เจียงอี้พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขณะที่ดาบมังกรเพลิงของเขาเปล่งประกายด้วยแก่นแท้พลัง เขาพร้อมที่จะสู้ทุกเมื่อ ส่วนเหลยถิงเวยก็โบกมือและพูดว่า “เดี๋ยวก่อน ไม่ใช่ว่าเราบอกว่าจะแลกเปลี่ยนตัวประกันหรอกหรือ? หากเจ้าไม่ปล่อยลูกข้า ก็อย่าคิดจะพานางไป เจียงอี้ เหตุใดข้าต้องเชื่อเจ้าด้วย?”
“ท่านไม่มีทางเลือก!”
ดาบมังกรเพลิงของเจียงอี้ชี้ไปที่เหลยถิงเวยและพูดว่า “จะมอบตัวประกันมาหรือจะให้ข้าตายไปพร้อมกับลูกท่าน”
ฝูงชนทั้งหมดตกอยู่ในความเงียบสงัด อันที่จริงแล้ว คนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจว่าทำไมสถานการณ์จึงเป็นเช่นนี้? ทำไมเจียงอี้ถึงใช้ความรุนแรงและทำอะไรเช่นนี้? ทำไมเขาต้องแลกตัวประกันกับหญิงชราด้วย? แม้ว่าเขาจะได้ตัวหญิงชรามา แล้วเขาจะทำอะไรได้? แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป? ตระกูลซือถูจะเริ่มต่อสู้กับตระกูลเหลย, ตระกูลหนานกงและตระกูลลู่หรือไม่?
เหลยถิงเวยและเจียงอี้จ้องมองกันราวกับราชสีห์สองตัวและดูเหมือนจะไม่มีใครเต็มใจหลีกทางให้ มือของเจียงเสี่ยวนู๋ยังคงแทงเข้าไปในอกของเหลยฉีเหยียนและไม่มีความสั่นเทาใดๆราวกับว่านางเป็นหุ่นเชิดที่เยือกเย็น เลือดยังคงไหลออกจากหน้าอกของเหลยฉีเหยียนและหยดลงมาบนมือของเจียงเสี่ยวนู๋ เหลยฉีเหยียนนั้นมีสีหน้าที่เจ็บปวดมากนัก
“ส่งตัวนางไป!”
ในที่สุด เหลยถิงเวยก็กัดฟันคำรามออกมา จากนั้นผู้อาวุโสคนนั้นก็ค่อยๆบินไปด้านหน้าพร้อมกับแม่ของเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวาน ส่วนเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานก็รีบบินไปหาแม่ของนางด้วยความดีใจเป็นอย่างยิ่ง
“ฉี่หลิง!”
ผู้อาวุโสตระกูลหนานกง โยนผู้หญิงคนนั้นไป ทำให้แม่ที่อ่อนแอของเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก เจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานรีบหมุนแก่นแท้พลังของนางและรีบบินไปทางแม่ของนาง และในตอนนั้นเอง ผู้อาวุโสตระกูลหนานกงก็พุ่งไปขณะที่เขาจับไปที่คอของเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานราวกับอสรพิษ เขาเปิดใช้งานโล่ศักดิ์สิทธิ์และมีกลิ่นอายอันน่าสะพรึงขณะที่เขาเป็นขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุด!
“ระวัง!”
ซือถูอีเสี้ยวและหวงฝูเทาเทียนระเบิดออกมาพร้อมกันขณะที่ปากของเจียงอี้เริ่มเย็นชาขณะที่เขาก็คำรามออกมาด้วยความเดือดดาล “รนหาที่ตายนัก! อัสนีพิโรธ!”
เขาผ่าดาบมังกรเพลิงออกมาอย่างไร้ปรานี แต่ดาบมังกรเพลิงไม่ได้มีเปลวเพลิงอัสนีพุ่งออกมา มังกรเพลิงก็ไม่ออกมาเลย แต่กลับมีแสงจากเก้าสวรรค์จากเบื้องบนขณะที่สายฟ้าฟาดออกมาอย่างกะทันหัน ความเร็วนั้นเร็วมากจนซือถูอีเสี้ยว, หวงฝูเทาเทียนและคนอื่นๆมองไม่ทัน พวกเขาสัมผัสได้เพียงแสงสีขาวขณะที่สายฟ้าฟาดใส่ผู้อาวุโสของตระกูลหนานกงในทันที
ต่อมาก็เป็นเหตุการณ์ที่น่าตกตะลึง เมื่อสายฟ้าฟาดลงไปที่ผู้อาวุโสผู้นั้น โล่ศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็แตกสลายไปและร่างของเขาก็กลายเป็นเถ้าธุลีในทันที ฝ่ามือของเขาอยู่ห่างจากเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานไปเพียงสามเมตรเท่านั้น
เจียงอี้มองไปยังซือถูอ้าวและหัวเราะอย่างขมขื่น “ด้วยวิสัยทัศน์ของท่านลุง ท่านไม่เห็นหรือว่าอีกฝ่ายเตรียมตัวไว้แล้ว?”
เมืองเทพประทานอยู่ห่างจากที่นี่เป็นร้อยกิโลเมตร มันเป็นระยะทางที่ไม่ไกลที่เหลยถิงเวยและคนอื่นๆจะมาถึงที่นี่ได้ทันที แต่พวกเขานำคนมากี่คนกัน? ตระกูลลู่, ตระกูลหนานกงและตระกูลเหลยได้นำขอบเขตเทียนจุนมาอย่างน้อยหลายพันคนใช่ไหม? ใครกันที่จะรวบรวมคนได้มากมายในเวลาสั้นๆเพียงนี้กัน? แล้วพวกเขาจะมาถึงที่นี่ด้วยความเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร?
มีเพียงคำอธิบายเดียว…นั่นคือยอดฝีมือจากทั้งสามตระกูลนั้นเตรียมตัวมาพร้อมรบแล้ว
ซือถูอ้าวถอนหายใจเบาๆ อันที่จริง เขาสามารถรวบรวมขอบเขตเทียนจุนห้าพันคนได้เพราะหน่วยสอดแนมของเขาพบการเคลื่อนไหวที่แปลกๆจากสามตระกูล เขาเตรียมคนเผื่อเอาไว้และไม่ได้คาดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นมาจริงๆ
ฟรึ่บ! ฟรั่บ!
ผู้คนนับหมื่นบินมาซึ่งตระกูลเหลย, ตระกูลหนานกงและตระกูลลู่นำคนมามากที่สุด เห็นได้ชัดว่าตระกูลที่เหลือไม่ได้เตรียมการใดๆเลยเพราะพวกเขานำทหารมาเพียงไม่กี่ร้อยจนถึงพันคนเท่านั้น ส่วนตระกูลหวงฝูก็ดีหน่อยที่นำคนมามากกว่าพันคน
ทุกสายตาจับจ้องไปยังเจียงอี้ขณะที่หวงฝูฉีและคนอื่นๆกระพริบตาไม่หยุด พวกเขาไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่พวกเขารู้สึกว่ายอดฝีมือจากสามตระกูลมีการเคลื่อนไหวแปลกๆ พวกเขาจึงนำคนมาด้วยโดยสัญชาตญาณ
ฟรึ่บ! ฟรั่บ! ฟรึ่บ!
ทายาทของตระกูลต่างๆพากันทะยานขึ้นไปบนฟ้าและกลับไปอยู่ที่กองกำลังของตระกูลตัวเองขณะที่ลูกหลานตระกูลเล็กๆที่เหลือพากันบินไปอีกด้านหนึ่งและไม่กล้าเคลื่อนไหวโดยประมาท ส่วนซือถูอีเสี้ยวบินไปข้างๆซือถูอ้าว ดวงตาของเขานั้นสั่นไหวขณะที่ไม่รู้จะไปทางไหนอย่างสมบูรณ์ ส่วนองค์หญิงเชียนเชียนก็ทะยานไปบนฟ้าพร้อมกับใต้เท้าเทวาทมิฬขณะที่พวกเขาคอยอยู่ข้างๆและสังเกตการณ์เฉยๆ
ฟรึ่บ!
หวงฝูเทาเทียนเองก็บินไปบนฟ้า แต่เขาบินไปทางเจียงอี้ ส่วนเจียงอี้ก็เหลือบมองและตะโกนออกมาทันที “หวงฝูเทาเทียน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า เจ้ากลับเข้าเมืองไปเถอะ”
“ฮึ่ม!”
หวงฝูเทาเทียนกวาดตามองไปที่เจียงอี้อย่างไม่พอใจและส่งข้อความไปว่า “เจียงอี้ เจ้าหมายความเช่นไร? ทำไมเจ้าไม่บอกว่าเจ้าจะลงมือ? เจ้ายังเห็นข้าเป็นพี่น้องอยู่ไหม? ที่ข้าบอกว่าจะติดตามเข้าไปอีกสิบปีนั้น เจ้าคิดว่าข้าล้อเล่นหรือไง?” เจียงอี้ยิ้มออกมาอย่างเจ็บปวดเมื่อเห็นดวงตาที่แน่วแน่ของหวงฝูเทาเทียน คนผู้นี้ดื้อรั้นอย่างแท้จริง หากเจียงอี้รู้ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เขาคงไม่พาหวงฝูเทาเทียนมายังยอดเขานทีสวรรค์ด้วย เจียงอี้ไม่ได้พยายามโน้มน้าวใจอีกต่อไปขณะที่เขามองไปที่เหลยถิงเวย, หนานกงหยุนยี่และลู่หลี่เงียบๆ
ดวงตาของเหลยถิงเวยแผ่ความเย็นเยียบออกมาขณะที่กลิ่นอายของเขาเป็นดั่งสัตว์คลุ้มคลั่งและดุร้าย เขาหยุดเมื่ออยู่ห่างจากเจียงอี้ไม่กี่กิโลเมตร จากนั้นเขาก็ระงับความโกรธและพูดว่า “เจียงอี้ ปล่อยลูกข้าแล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!”
หนานกงหยุนยี่ก็ตะโกนอย่างเย็นชาเช่นกัน “เจียงอี้ ส่งฉี่หลิงมาและข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!”
“ฮึฮึ!”
เจียงอี้เย้ยหยันและพูดว่า “พวกท่านทั้งสองหยุดเล่นคำพูดคำจาพวกนี้เสียเถอะ หากข้าปล่อยเหลยฉีเหยียนและมอบฉี่หลิงคืนให้ แม้ว่าพวกท่านทั้งสองจะไม่ลงมือ แต่ลูกน้องของพวกท่านและตระกูลลู่จะไม่เคลื่อนไหวหรอ? เมื่อทั้งสามตระกูลของพวกท่านมีคนมากมายเพียงนี้ ไม่ใช่ว่าพวกท่านคิดจะมาสังหารข้ากับว่านก้วนหรอกหรือ? ไม่ต้องกังวลไป ก่อนที่ข้าจะตาย ข้าจะทำให้เหลยฉีเหยียนตายไปพร้อมกับข้าด้วย”
“หืม?”
ดวงตาของเหลยถิงเวยเป็นประกายขณะที่เขามองไปยังหนานกงหยุนยี่และลู่หลี่ ทั้งสามคนเผยความประหลาดใจออกมาเนื่องจากพวกเขาทั้งสามไม่คิดจะปล่อยให้เจียงอี้และเฉียนว่านก้วนรอดไปได้ในวันนี้ แต่พวกเขาไม่คาดคิดว่าเจียงอี้จะคาดการณ์ได้อย่างรวดเร็วและเริ่มจับตัวเหลยฉีเหยียนไว้ ซึ่งมันทำให้พวกเขาทำอะไรไม่ถูก
เหลยถิงเวยหยุดนิ่งไปชั่วขณะและพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ “เจ้าต้องการอะไร?”
“ง่ายมาก!”
เจียงอี้พูดตรงประเด็นเลยว่า “ส่งมอบแม่ของหนานกงฉี่หลิงมา และเราจะออกจากเผ่าเทพประทาน และหลังจากที่เราออกไปแล้ว ข้าจะปล่อยตัวประกันไป พวกเจ้ายังอาจจะไล่ตามข้ามาได้ ว่ายังไงล่ะ?”
เมื่อเจียงอี้พูดเช่นนี้ ซือถูอ้าวก็ไม่พอใจนัก เขาอาจจะไม่เข้าใจอะไรมากนัก แต่เขาจะปล่อยให้เจียงอี้และคนอื่นๆจากไปได้อย่างไร?
เจียงอี้และเฉียนว่านก้วนเป็นอัจฉริยะรุ่นใหม่และการจากไปของพวกเขาหมายถึงการขาดทุนมหาศาลต่อตระกูลซือถู นอกจากนี้ ซือถูอีเนี่ยนยังอยู่ในราชวังจักรพรรดิของเจียงอี้ด้วย เขาจึงรีบพูดอย่างรวดเร็วว่า “เจียงอี้ ทุกอย่างนั้นเจรจากันได้ ตอนนี้เจ้าเป็นผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูและว่านก้วนเองก็เป็นเขยข้าด้วย แม้ว่าเจ้าจะทำผิดพลาดไปบ้าง แต่ข้าคิดว่าประมุขตระกูลคงไม่เลยเถิดไปถึงขั้นใช้กำลังหรอก ทำไมไม่กลับไปยังเมืองเทพประทานก่อนล่ะ? หากมีเรื่องขัดแย้งใดๆ ทุกคนก็สามารถนั่งคุยกันได้” ซือถูอ้าวเริ่มทำหน้าที่เป็นผู้สร้างสันติในขณะที่เขาระบุอย่างชัดเจนว่าเขาต้องการช่วยเจียงอี้และเฉียนว่านก้วน หวงฝูฉียังพูดต่ออีกว่า “เจียงอี้ ปล่อยตัวประกันก่อนเถอะ เหลยฉีเหยียนกำลังจะตายหากเขายังเลือดออกไม่หยุดเช่นนี้ ทุกอย่างนั้นเจรจากันได้ ประมุขตระกูลทั้งหมดอยู่ที่นี่ในวันนี้และไม่มีสิ่งใดที่ไม่สามารถตกลงได้”
ความปรารถนาดีของซือถูอ้าวและหวงฝูฉีทำให้เจียงอี้ลำบากใจ เขาอาจไม่เข้าใจว่าทำไมทั้งสามตระกูลนั้นถึงเตรียมสังหารพวกเขาในคืนนี้ พวกเขาไม่กลัวว่าจะก่อสงครามกับตระกูลซือถูหรือ? เจียงอี้มั่นใจมากว่าหากเขาปล่อยเหลยฉีเหยียนไป ทั้งสามตระกูลจะเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน แม้แต่ซือถูอ้าวและหวงฝูฉีก็ไม่สามารถปกป้องพวกเขาได้หากพวกนั้นร่วมมือกัน
เพราะจากสายตาของเหลยถิงเวย, หนานกงหยุนยี่และลู่หลี่นั้น เจียงอี้เห็นกลิ่นอายสังหารออกมาอย่างแท้จริง! ดังนั้นเจียงอี้จึงนิ่งไปชั่วขณะและพูดว่า “งั้นเอาอย่างนี้ เราจะแลกเปลี่ยนตัวประกันกัน ส่งแม่ของหนานกงฉี่หลิงมาและข้าจะปล่อยเหลยฉีเหยียนไป”
เหลยถิงเวยและหนานกงหยุนยี่มองหน้ากัน จากนั้นหนานกงหยุนยี่ก็โบกมือขณะที่โถสีดำในมือของผู้อาวุโสตระกูลหนานกงสว่างขึ้นมา หญิงวัยกลางคนปรากฏตัวขึ้นมาซึ่งอยู่ในมือผู้อาวุโสคนนั้น “นี่คือแม่ของฉี่หลิง เราจะเปลี่ยนตัวประกันตอนนี้เลยไหม?”
บรึฟ!
เมื่อราชวังจักรพรรดิปรากฏขึ้นในมือของเจียงอี้ เจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานก็ปรากฏตัวออกมาเช่นกัน นางชำเลืองมองและตะโกนออกมาทันที “ท่านแม่!”
“ฉี่หลิง!”
ตอนแรกหญิงผู้นั้นสั่นสะท้านเมื่อเห็นผู้มีอิทธิพลมากมายจนนางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อนางเห็นเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวาน นางก็ร้องออกมาอย่างปวดร้าวใจในทันที “เอาล่ะ! เจ๊ใหญ่กระพรวนกังวาน ไปพาแม่ของเจ้ามานี่”
เจียงอี้พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขณะที่ดาบมังกรเพลิงของเขาเปล่งประกายด้วยแก่นแท้พลัง เขาพร้อมที่จะสู้ทุกเมื่อ ส่วนเหลยถิงเวยก็โบกมือและพูดว่า “เดี๋ยวก่อน ไม่ใช่ว่าเราบอกว่าจะแลกเปลี่ยนตัวประกันหรอกหรือ? หากเจ้าไม่ปล่อยลูกข้า ก็อย่าคิดจะพานางไป เจียงอี้ เหตุใดข้าต้องเชื่อเจ้าด้วย?”
“ท่านไม่มีทางเลือก!”
ดาบมังกรเพลิงของเจียงอี้ชี้ไปที่เหลยถิงเวยและพูดว่า “จะมอบตัวประกันมาหรือจะให้ข้าตายไปพร้อมกับลูกท่าน”
ฝูงชนทั้งหมดตกอยู่ในความเงียบสงัด อันที่จริงแล้ว คนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจว่าทำไมสถานการณ์จึงเป็นเช่นนี้? ทำไมเจียงอี้ถึงใช้ความรุนแรงและทำอะไรเช่นนี้? ทำไมเขาต้องแลกตัวประกันกับหญิงชราด้วย? แม้ว่าเขาจะได้ตัวหญิงชรามา แล้วเขาจะทำอะไรได้? แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป? ตระกูลซือถูจะเริ่มต่อสู้กับตระกูลเหลย, ตระกูลหนานกงและตระกูลลู่หรือไม่?
เหลยถิงเวยและเจียงอี้จ้องมองกันราวกับราชสีห์สองตัวและดูเหมือนจะไม่มีใครเต็มใจหลีกทางให้ มือของเจียงเสี่ยวนู๋ยังคงแทงเข้าไปในอกของเหลยฉีเหยียนและไม่มีความสั่นเทาใดๆราวกับว่านางเป็นหุ่นเชิดที่เยือกเย็น เลือดยังคงไหลออกจากหน้าอกของเหลยฉีเหยียนและหยดลงมาบนมือของเจียงเสี่ยวนู๋ เหลยฉีเหยียนนั้นมีสีหน้าที่เจ็บปวดมากนัก
“ส่งตัวนางไป!”
ในที่สุด เหลยถิงเวยก็กัดฟันคำรามออกมา จากนั้นผู้อาวุโสคนนั้นก็ค่อยๆบินไปด้านหน้าพร้อมกับแม่ของเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวาน ส่วนเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานก็รีบบินไปหาแม่ของนางด้วยความดีใจเป็นอย่างยิ่ง
“ฉี่หลิง!”
ผู้อาวุโสตระกูลหนานกง โยนผู้หญิงคนนั้นไป ทำให้แม่ที่อ่อนแอของเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก เจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานรีบหมุนแก่นแท้พลังของนางและรีบบินไปทางแม่ของนาง และในตอนนั้นเอง ผู้อาวุโสตระกูลหนานกงก็พุ่งไปขณะที่เขาจับไปที่คอของเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานราวกับอสรพิษ เขาเปิดใช้งานโล่ศักดิ์สิทธิ์และมีกลิ่นอายอันน่าสะพรึงขณะที่เขาเป็นขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุด!
“ระวัง!”
ซือถูอีเสี้ยวและหวงฝูเทาเทียนระเบิดออกมาพร้อมกันขณะที่ปากของเจียงอี้เริ่มเย็นชาขณะที่เขาก็คำรามออกมาด้วยความเดือดดาล “รนหาที่ตายนัก! อัสนีพิโรธ!”
เขาผ่าดาบมังกรเพลิงออกมาอย่างไร้ปรานี แต่ดาบมังกรเพลิงไม่ได้มีเปลวเพลิงอัสนีพุ่งออกมา มังกรเพลิงก็ไม่ออกมาเลย แต่กลับมีแสงจากเก้าสวรรค์จากเบื้องบนขณะที่สายฟ้าฟาดออกมาอย่างกะทันหัน ความเร็วนั้นเร็วมากจนซือถูอีเสี้ยว, หวงฝูเทาเทียนและคนอื่นๆมองไม่ทัน พวกเขาสัมผัสได้เพียงแสงสีขาวขณะที่สายฟ้าฟาดใส่ผู้อาวุโสของตระกูลหนานกงในทันที
ต่อมาก็เป็นเหตุการณ์ที่น่าตกตะลึง เมื่อสายฟ้าฟาดลงไปที่ผู้อาวุโสผู้นั้น โล่ศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็แตกสลายไปและร่างของเขาก็กลายเป็นเถ้าธุลีในทันที ฝ่ามือของเขาอยู่ห่างจากเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานไปเพียงสามเมตรเท่านั้น