เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 839 หมาเฒ่า ท่านอายุเท่าไหร่กัน
- Home
- เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
- บทที่ 839 หมาเฒ่า ท่านอายุเท่าไหร่กัน
“เป็นไปได้ยังไง?”
เหลยถิงเวยตะโกนออกมาอย่างไม่รู้ตัว แม้ว่าเปลวเพลิงในระฆังจะเผาเจียงอี้ไม่ได้ แต่เสียงกดวิญญาณก็น่าจะทำลายดวงจิตของเขาได้ เว้นแต่ว่าเจียงอี้จะมีสิ่งประดิษฐ์ที่สามารถป้องกันดวงจิตได้ แล้วมันมีสิ่งประดิษฐ์แบบนั้นอยู่บนโลกด้วยหรือ? กระบี่ลี้ลับและเกราะลี้ลับของจักรพรรดิลี้ลับเป็นสิ่งประดิษฐ์ในตำนาน แต่ไม่มีผู้ใดเคยพบเห็นมันมาก่อน
ด้วยเหตุผลอะไรนั้น มันไม่สำคัญแล้วเพราะเจียงอี้กำลังพุ่งมาและเหลยถิงเวยก็ไม่มีเวลามานั่งคิดอีก ความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้ถือว่าแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาขอบเขตเทียนจุนของตระกูลเหลย แต่หากเขาสามารถขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งประมุขได้ สมองของเขาจะต้องดีอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงตอบสนองทันทีและคำรามออกมาด้วยความเดือดดาล “ทุกคน โจมตี!”
“จู่โจม!”
“ฆ่ามัน!”
หนานกงหยุนยี่และลู่หลี่เองก็ออกคำสั่งทันที หลังจากที่สามคนนี้ออกคำสั่ง สมบัติและอาวุธนับหมื่นก็ปรากฏขึ้นในมือของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนทั้งหมด พวกเขาทั้งหมดแผ่แก่นแท้พลังออกมาและกำลังจะปลดปล่อยมันเพื่อสังหารเจียงอี้
“ทักษะวิชาเสียงสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์! อัสนีพิโรธ!”
เจียงอี้คำรามออกมาด้วยความเดือดดาลขณะที่ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด ร่างของเขาระเบิดกลิ่นอายสังหารออกมาขณะที่เขาปล่อยเจตจำนงสังหารหมู่ ดาบอ่อนในมือซ้ายของเขากวัดแกว่งออกมาขณะที่เขาปล่อยเจตจำนงสังหารหมู่ขณะที่อีกมือหนึ่งถือดาบมังกรเพลิงเอาไว้ มือทั้งสองของเขามีความเร็วจนทำให้ตาพร่ามัวไปหมด วู่ วู่ ฟู่ ฟู่!
เมื่อดาบอ่อนของเขาเริ่มกวัดแกว่ง เสียงแปลกๆก็สะท้อนออกมา เสียงนั้นเหมือนเสียงของเขตแดนลึกลับของตระกูลหนานกงซึ่งจะส่งเสียงในสายลมที่รุนแรงและยังเหมือนเสียงกดวิญญาณที่เปล่งออกมาจากระฆังหลอมศักดิ์สิทธิ์ด้วย และเมื่อทั้งสองเสียงผสานกัน มันก็น่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง
ทุกคนพากันตกตะลึงเมื่อเสียงที่น่าสยดสยองมาพร้อมกับกลิ่นอายสังหารที่ทรงพลังที่ปกคลุมทุกคนเอาไว้ กลิ่นอายสังหารที่หลอมรวมมากับเสียงเหล่านั้นทำให้ดวงจิตของทุกคนสั่นสะท้าน
“อ๊าก!”
เมื่อเสียงนั้นสะท้อนออกมา ขอบเขตเทียนจุนระดับต่ำมากมายก็จับหัวของพวกเขาแล้วเกลือกกลิ้งลงไปกับพื้นเนื่องจากพวกเขาเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ส่วนขอบเขตเทียนจุนระดับกลางทั้งหมดต่างก็สั่นสะท้านและจับหัวของพวกเขาไว้ขณะที่ดวงตาของพวกเขาแผ่ความเจ็บปวดและความหวาดกลัวออกมา ส่วนขอบเขตเทียนจุนระดับสูงนั้นถือว่ายังดีหน่อย แต่พวกเขาก็ยังเผยความกลัวออกมาจากดวงตาราวกับพวกเขาเห็นเทพสังหารกำลังเดินออกมา
“นี่มันเสียงบ้าอะไรกัน?”
มีเพียงกลุ่มเดียวที่ยังยืนหยัดอยู่ในสนามรบได้คือเหล่าขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุด แต่พวกเขาทั้งหมด รวมถึงเหลยถิงเวยและคนอื่นๆก็รู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างยิ่ง ดวงจิตของพวกเขาสั่นสะท้านอย่างต่อเนื่องและกลิ่นอายสังหารที่ทรงพลังนั้นก็กระตุ้นดวงจิตของพวกเขาด้วย ในตอนนี้ ดวงจิตของพวกเขาเต็มไปด้วยความสับสน ความตื่นตระหนก และความไม่สบายใจและพวกเขาก็ได้ลืมการโจมตีไปเลย
“ลุงทมิฬ ข้ารู้สึกไม่ค่อยดีเลย!”
แม้แต่องค์หญิงเชียนเชียนเองก็ยังทนไม่ได้ขณะที่นางจับหัวของนาง สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความทรมาน แต่เทวาทมิฬที่อยู่ด้านหลังนางไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เขาก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและสร้างม่านพลังสีทองขึ้นมาห่อหุ้มองค์หญิงเชียนเชียนไว้ในนั้นซึ่งทำให้ฝ่ายหลังรู้สึกดีขึ้นทันทีขณะที่นางมองเจียงอี้ด้วยความกลัวเล็กๆ
“อัจฉริยะรุ่นเยาว์!”
เทวาทมิฬเผยสีหน้าที่ยกย่องเจียงอี้บนใบหน้าที่เคร่งขรึมของเขา เมื่อเขาเห็นสีหน้าที่สับสนขององค์หญิงเชียนเชียน เขาจึงอธิบายว่า “เด็กคนนี้ไม่เพียงแต่จะเข้าใจเสียงกดวิญญาณในระฆังหลอมศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่เขายังผสานเสียงวิญญาณได้อย่างไร้ที่ติพร้อมกับกลิ่นอายสังหารพิเศษจากร่างของเขาด้วย เสียงกดวิญญาณนี่มีผลในการขยายเสียงอยู่แล้วและเมื่อมันถูกรวมเข้ากับเสียงวิญญาณและกลิ่นอายสังหารของเขา ผลของมันก็ขยายไปอีกร้อยเท่า พลังนั้นแกร่งกล้าเกินไป นอกจากขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดที่ฝึกปรือดวงจิตวิญญาณแล้วก็ไม่มีผู้ใดต้านมันได้เลย” ฟรึ่บ! ฟรั่บ! ฟรึ่บ!
ตูม! ตูม! ตูม!
ลมและเมฆจากเก้าสวรรค์เบื้องบนแปรปรวนขณะที่สายฟ้าฟาดผ่านท้องฟ้าและโจมตีผู้เชี่ยวชาญจากทั้งสามตระกูลอย่างไร้ปรานี เหล่ากลุ่มขอบเขตเทียนจุนระดับสูงและขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดที่อ่อนแอถูกระเบิดและกลายเป็นเถ้าถ่านไป เจียงอี้ไม่ได้โจมตีเหลยถิงเวย, หนานกงหยุนยี่และคนอื่นๆ ขณะที่เขาโจมตีผู้อาวุโสจากสามตระกูลแทน ดูเหมือนว่าในวันนี้เขาไม่ได้เตรียมตัวที่จะหลบหนีไปและกำลังเสี่ยงชีวิตของเขาเอง เขาทุ่มสุดตัวเพื่อดึงให้ผู้คนตกตายไปพร้อมกับเขาด้วย
วู่ วู่ ฟู่ ฟู่!
เขาปลดปล่อยทักษะเสียงสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ออกมาอย่างต่อเนื่องขณะที่มืออีกข้างก็วูบวาบไปพร้อมกับแสงด้วยความเร็วสูงและปล่อยอัสนีพิโรธออกมาและชี้ทางให้สายฟ้าฟาดลงมา ในเวลาเพียงชั่วพริบตาสายฟ้าฟาดลงมาเกือบพันสายและคร่าชีวิตผู้คนไปในเวลาเดียวกัน ร่างของเจียงอี้พุ่งไปทางผู้เชี่ยวชาญจากสามตระกูลขณะที่ดาบมังกรเพลิงปล่อยเปลวเพลิงอัสนีออกมา เขาสร้างโล่ศักดิ์สิทธิ์เปลวเพลิงอัสนีขึ้นมา แต่เขาไม่ได้นำเปลวเพลิงอัสนีออกมาใช้ เขาเพียงแค่พุ่งไปด้วยความเร็วที่เร็วที่สุดและปล่อยทักษะเสียงสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์และอัสนีพิโรธออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน!
“อ๊ากก!”
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนหลายคนไม่ได้ถูกสายฟ้าฟาดตาย แต่เพราะทักษะเสียงสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทำให้พวกเขาไม่สามารถเทแก่นแท้พลังมาที่โล่ศักดิ์สิทธิ์ได้ และเมื่อเจียงอี้เข้ามาใกล้พวกเขา อุณหภูมิอันน่าสะพรึงก็ได้แผดเผาโล่ศักดิ์สิทธิ์และทำให้พวกเขากลายเป็นคนในกองเพลิงไปสิ้น!
“หยุดนะ!”
มีเสียงคำรามดังสนั่นฟ้า เสียงนั้นดังมากจนเหมือนยอดเขานทีสวรรค์กำลังสั่นคลอนทำให้หลายคนตื่นจากภวังค์ขณะที่ฝ่ามือยักษ์กระแทกลงมาจากท้องฟ้าเหนือหัวเจียงอี้ไม่กี่เมตร ซึ่งเขตห้วงมิติก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จากนั้นทุกคนที่อยู่กลางอากาศก็ร่วงหล่นลงไปเหมือนพวกเขาไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้ การโจมตีของเจียงอี้ก็หยุดลงและโล่ศักดิ์สิทธิ์เปลวเพลิงอัสนีของเขาก็ถูกทำลายลงไปทำให้เปลวเพลิงกระจายไปทั่ว
โชคดีที่เขาเก็บราชวังจักรพรรดิเข้าไปในไข่มุกวิญญาณเพลิงแล้ว และรอยฝ่ามือยักษ์นั่นก็ไม่สามารถเขย่าราชวังจักรพรรดิให้ออกมาจากไข่มุกวิญญาณเพลิงด้วย จึงทำให้คนที่อยู่ในนั้นไม่ถูกผลักออกมา
วิชาทลายมิติ!
ผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลเหลย เหลยกูได้เคลื่อนไหวอีกครั้ง
ฟรึ่บ!
ร่างร่างหนึ่งบินออกมาจากเมืองราวกับมังกรเหินฟ้าและในชั่วพริบตาก็มาถึงท้องฟ้าเหนือยอดเขานทีสวรรค์แล้ว เหลยถิงเวย,หนานกงหยุนยี่, ลู่หลี่และคนอื่นๆเองก็เผยความละอายออกมา ทั้งสามนำขอบเขตเทียนจุนนับหมื่นมาสังหารบุคคลเพียงคนเดียว แต่ไม่เพียงแต่พวกเขาจะสังหารคนผู้นั้นไม่ได้แล้ว กลับกลายเป็นว่ายอดฝีมือกึ่งเทพก็ยังต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย นี่ถือเป็นความอัปยศอันใหญ่หลวงต่อทั้งสามตระกูลมาก
“อั๊ก…”
ห้วงมิติที่เจียงอี้อยู่ค่อยๆสงบลง แต่เขากระอักเลือดคำโตออกมาเต็มปาก ใบหน้าของเขาซีดเผือดและประกายในตาของเขาก็จางลงซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส
เจียงอี้ไม่ได้บาดเจ็บจากวิชาทลายมิติ แต่เป็นเพราะแรงสะท้อนกลับ!
ระหว่างที่โจมตีกันอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่ได้สังเกตถึงมัน แต่เขาสังเกตเห็นมันทันทีที่เขาหยุด มันเป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยทักษะเสียงสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์และอัสนีพิโรธออกมาในเวลาเดียวกันอย่างต่อเนื่อง การโจมตีทั้งสองนี้อาจน่าสะพรึงมาก แต่ขอบเขตการบ่มเพาะพลังดวงจิตของเขายังด้อยเกินไป มันเหมือนกับคนที่ยกหินหนักห้าสิบกิโลกรัมได้แต่พยายามมายกหินร้อยกิโลกรัม ถึงแม้ว่าเขาจะยกมันได้ แต่ภายในเขาก็จะต้องได้รับบาดเจ็บจากแรงกดดันอย่างแน่นอน
ฮู ฮู!
เจียงอี้ถอนหายใจออกมาและเช็ดเลือดที่มุมปากของเขา เขาเหลือบมองผู้เชี่ยวชาญทั้งสามตระกูลเหลย พร้อมเผยรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา
ในเวลาสั้นๆ เขาได้สังหารผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนไปมากกว่าพันคนแล้ว หากผู้อาวุโสตระกูลเหลยไม่ปรากฏตัว เขามั่นใจว่าเขาสามารถสังหารคนเหล่านี้ได้อีกหลายพันคน หากเขาจะต้องเสี่ยงชีวิต เช่นนั้นเขาคงจะสังหารคนที่นี่ไปได้มากกว่าครึ่ง
เจียงอี้หรี่ตาลงและเงยหน้าขึ้นไปมองผู้อาวุโส จากนั้นเขาก็เย้ยหยันและพูดว่า “ยอดฝีมือกึ่งเทพแห่งตระกูลเหลย? ท่านมันเป็นตาแก่ชั่วที่ร่างกายลงหลุมไปครึ่งตัวแล้ว แล้วท่านยังมายุ่งกับข้าถึงสองครั้งเลย? ท่านไม่ละอายใจบ้างหรอ? หัวหน้าผู้นี้อายุยี่สิบสองปีในปีนี้ ท่านหมาเฒ่า ท่านอายุเท่าไหร่กัน?”
เหลยถิงเวยตะโกนออกมาอย่างไม่รู้ตัว แม้ว่าเปลวเพลิงในระฆังจะเผาเจียงอี้ไม่ได้ แต่เสียงกดวิญญาณก็น่าจะทำลายดวงจิตของเขาได้ เว้นแต่ว่าเจียงอี้จะมีสิ่งประดิษฐ์ที่สามารถป้องกันดวงจิตได้ แล้วมันมีสิ่งประดิษฐ์แบบนั้นอยู่บนโลกด้วยหรือ? กระบี่ลี้ลับและเกราะลี้ลับของจักรพรรดิลี้ลับเป็นสิ่งประดิษฐ์ในตำนาน แต่ไม่มีผู้ใดเคยพบเห็นมันมาก่อน
ด้วยเหตุผลอะไรนั้น มันไม่สำคัญแล้วเพราะเจียงอี้กำลังพุ่งมาและเหลยถิงเวยก็ไม่มีเวลามานั่งคิดอีก ความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้ถือว่าแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาขอบเขตเทียนจุนของตระกูลเหลย แต่หากเขาสามารถขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งประมุขได้ สมองของเขาจะต้องดีอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงตอบสนองทันทีและคำรามออกมาด้วยความเดือดดาล “ทุกคน โจมตี!”
“จู่โจม!”
“ฆ่ามัน!”
หนานกงหยุนยี่และลู่หลี่เองก็ออกคำสั่งทันที หลังจากที่สามคนนี้ออกคำสั่ง สมบัติและอาวุธนับหมื่นก็ปรากฏขึ้นในมือของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนทั้งหมด พวกเขาทั้งหมดแผ่แก่นแท้พลังออกมาและกำลังจะปลดปล่อยมันเพื่อสังหารเจียงอี้
“ทักษะวิชาเสียงสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์! อัสนีพิโรธ!”
เจียงอี้คำรามออกมาด้วยความเดือดดาลขณะที่ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด ร่างของเขาระเบิดกลิ่นอายสังหารออกมาขณะที่เขาปล่อยเจตจำนงสังหารหมู่ ดาบอ่อนในมือซ้ายของเขากวัดแกว่งออกมาขณะที่เขาปล่อยเจตจำนงสังหารหมู่ขณะที่อีกมือหนึ่งถือดาบมังกรเพลิงเอาไว้ มือทั้งสองของเขามีความเร็วจนทำให้ตาพร่ามัวไปหมด วู่ วู่ ฟู่ ฟู่!
เมื่อดาบอ่อนของเขาเริ่มกวัดแกว่ง เสียงแปลกๆก็สะท้อนออกมา เสียงนั้นเหมือนเสียงของเขตแดนลึกลับของตระกูลหนานกงซึ่งจะส่งเสียงในสายลมที่รุนแรงและยังเหมือนเสียงกดวิญญาณที่เปล่งออกมาจากระฆังหลอมศักดิ์สิทธิ์ด้วย และเมื่อทั้งสองเสียงผสานกัน มันก็น่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง
ทุกคนพากันตกตะลึงเมื่อเสียงที่น่าสยดสยองมาพร้อมกับกลิ่นอายสังหารที่ทรงพลังที่ปกคลุมทุกคนเอาไว้ กลิ่นอายสังหารที่หลอมรวมมากับเสียงเหล่านั้นทำให้ดวงจิตของทุกคนสั่นสะท้าน
“อ๊าก!”
เมื่อเสียงนั้นสะท้อนออกมา ขอบเขตเทียนจุนระดับต่ำมากมายก็จับหัวของพวกเขาแล้วเกลือกกลิ้งลงไปกับพื้นเนื่องจากพวกเขาเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ส่วนขอบเขตเทียนจุนระดับกลางทั้งหมดต่างก็สั่นสะท้านและจับหัวของพวกเขาไว้ขณะที่ดวงตาของพวกเขาแผ่ความเจ็บปวดและความหวาดกลัวออกมา ส่วนขอบเขตเทียนจุนระดับสูงนั้นถือว่ายังดีหน่อย แต่พวกเขาก็ยังเผยความกลัวออกมาจากดวงตาราวกับพวกเขาเห็นเทพสังหารกำลังเดินออกมา
“นี่มันเสียงบ้าอะไรกัน?”
มีเพียงกลุ่มเดียวที่ยังยืนหยัดอยู่ในสนามรบได้คือเหล่าขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุด แต่พวกเขาทั้งหมด รวมถึงเหลยถิงเวยและคนอื่นๆก็รู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างยิ่ง ดวงจิตของพวกเขาสั่นสะท้านอย่างต่อเนื่องและกลิ่นอายสังหารที่ทรงพลังนั้นก็กระตุ้นดวงจิตของพวกเขาด้วย ในตอนนี้ ดวงจิตของพวกเขาเต็มไปด้วยความสับสน ความตื่นตระหนก และความไม่สบายใจและพวกเขาก็ได้ลืมการโจมตีไปเลย
“ลุงทมิฬ ข้ารู้สึกไม่ค่อยดีเลย!”
แม้แต่องค์หญิงเชียนเชียนเองก็ยังทนไม่ได้ขณะที่นางจับหัวของนาง สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความทรมาน แต่เทวาทมิฬที่อยู่ด้านหลังนางไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เขาก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและสร้างม่านพลังสีทองขึ้นมาห่อหุ้มองค์หญิงเชียนเชียนไว้ในนั้นซึ่งทำให้ฝ่ายหลังรู้สึกดีขึ้นทันทีขณะที่นางมองเจียงอี้ด้วยความกลัวเล็กๆ
“อัจฉริยะรุ่นเยาว์!”
เทวาทมิฬเผยสีหน้าที่ยกย่องเจียงอี้บนใบหน้าที่เคร่งขรึมของเขา เมื่อเขาเห็นสีหน้าที่สับสนขององค์หญิงเชียนเชียน เขาจึงอธิบายว่า “เด็กคนนี้ไม่เพียงแต่จะเข้าใจเสียงกดวิญญาณในระฆังหลอมศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่เขายังผสานเสียงวิญญาณได้อย่างไร้ที่ติพร้อมกับกลิ่นอายสังหารพิเศษจากร่างของเขาด้วย เสียงกดวิญญาณนี่มีผลในการขยายเสียงอยู่แล้วและเมื่อมันถูกรวมเข้ากับเสียงวิญญาณและกลิ่นอายสังหารของเขา ผลของมันก็ขยายไปอีกร้อยเท่า พลังนั้นแกร่งกล้าเกินไป นอกจากขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดที่ฝึกปรือดวงจิตวิญญาณแล้วก็ไม่มีผู้ใดต้านมันได้เลย” ฟรึ่บ! ฟรั่บ! ฟรึ่บ!
ตูม! ตูม! ตูม!
ลมและเมฆจากเก้าสวรรค์เบื้องบนแปรปรวนขณะที่สายฟ้าฟาดผ่านท้องฟ้าและโจมตีผู้เชี่ยวชาญจากทั้งสามตระกูลอย่างไร้ปรานี เหล่ากลุ่มขอบเขตเทียนจุนระดับสูงและขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดที่อ่อนแอถูกระเบิดและกลายเป็นเถ้าถ่านไป เจียงอี้ไม่ได้โจมตีเหลยถิงเวย, หนานกงหยุนยี่และคนอื่นๆ ขณะที่เขาโจมตีผู้อาวุโสจากสามตระกูลแทน ดูเหมือนว่าในวันนี้เขาไม่ได้เตรียมตัวที่จะหลบหนีไปและกำลังเสี่ยงชีวิตของเขาเอง เขาทุ่มสุดตัวเพื่อดึงให้ผู้คนตกตายไปพร้อมกับเขาด้วย
วู่ วู่ ฟู่ ฟู่!
เขาปลดปล่อยทักษะเสียงสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ออกมาอย่างต่อเนื่องขณะที่มืออีกข้างก็วูบวาบไปพร้อมกับแสงด้วยความเร็วสูงและปล่อยอัสนีพิโรธออกมาและชี้ทางให้สายฟ้าฟาดลงมา ในเวลาเพียงชั่วพริบตาสายฟ้าฟาดลงมาเกือบพันสายและคร่าชีวิตผู้คนไปในเวลาเดียวกัน ร่างของเจียงอี้พุ่งไปทางผู้เชี่ยวชาญจากสามตระกูลขณะที่ดาบมังกรเพลิงปล่อยเปลวเพลิงอัสนีออกมา เขาสร้างโล่ศักดิ์สิทธิ์เปลวเพลิงอัสนีขึ้นมา แต่เขาไม่ได้นำเปลวเพลิงอัสนีออกมาใช้ เขาเพียงแค่พุ่งไปด้วยความเร็วที่เร็วที่สุดและปล่อยทักษะเสียงสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์และอัสนีพิโรธออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน!
“อ๊ากก!”
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนหลายคนไม่ได้ถูกสายฟ้าฟาดตาย แต่เพราะทักษะเสียงสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทำให้พวกเขาไม่สามารถเทแก่นแท้พลังมาที่โล่ศักดิ์สิทธิ์ได้ และเมื่อเจียงอี้เข้ามาใกล้พวกเขา อุณหภูมิอันน่าสะพรึงก็ได้แผดเผาโล่ศักดิ์สิทธิ์และทำให้พวกเขากลายเป็นคนในกองเพลิงไปสิ้น!
“หยุดนะ!”
มีเสียงคำรามดังสนั่นฟ้า เสียงนั้นดังมากจนเหมือนยอดเขานทีสวรรค์กำลังสั่นคลอนทำให้หลายคนตื่นจากภวังค์ขณะที่ฝ่ามือยักษ์กระแทกลงมาจากท้องฟ้าเหนือหัวเจียงอี้ไม่กี่เมตร ซึ่งเขตห้วงมิติก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จากนั้นทุกคนที่อยู่กลางอากาศก็ร่วงหล่นลงไปเหมือนพวกเขาไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้ การโจมตีของเจียงอี้ก็หยุดลงและโล่ศักดิ์สิทธิ์เปลวเพลิงอัสนีของเขาก็ถูกทำลายลงไปทำให้เปลวเพลิงกระจายไปทั่ว
โชคดีที่เขาเก็บราชวังจักรพรรดิเข้าไปในไข่มุกวิญญาณเพลิงแล้ว และรอยฝ่ามือยักษ์นั่นก็ไม่สามารถเขย่าราชวังจักรพรรดิให้ออกมาจากไข่มุกวิญญาณเพลิงด้วย จึงทำให้คนที่อยู่ในนั้นไม่ถูกผลักออกมา
วิชาทลายมิติ!
ผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลเหลย เหลยกูได้เคลื่อนไหวอีกครั้ง
ฟรึ่บ!
ร่างร่างหนึ่งบินออกมาจากเมืองราวกับมังกรเหินฟ้าและในชั่วพริบตาก็มาถึงท้องฟ้าเหนือยอดเขานทีสวรรค์แล้ว เหลยถิงเวย,หนานกงหยุนยี่, ลู่หลี่และคนอื่นๆเองก็เผยความละอายออกมา ทั้งสามนำขอบเขตเทียนจุนนับหมื่นมาสังหารบุคคลเพียงคนเดียว แต่ไม่เพียงแต่พวกเขาจะสังหารคนผู้นั้นไม่ได้แล้ว กลับกลายเป็นว่ายอดฝีมือกึ่งเทพก็ยังต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย นี่ถือเป็นความอัปยศอันใหญ่หลวงต่อทั้งสามตระกูลมาก
“อั๊ก…”
ห้วงมิติที่เจียงอี้อยู่ค่อยๆสงบลง แต่เขากระอักเลือดคำโตออกมาเต็มปาก ใบหน้าของเขาซีดเผือดและประกายในตาของเขาก็จางลงซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส
เจียงอี้ไม่ได้บาดเจ็บจากวิชาทลายมิติ แต่เป็นเพราะแรงสะท้อนกลับ!
ระหว่างที่โจมตีกันอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่ได้สังเกตถึงมัน แต่เขาสังเกตเห็นมันทันทีที่เขาหยุด มันเป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยทักษะเสียงสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์และอัสนีพิโรธออกมาในเวลาเดียวกันอย่างต่อเนื่อง การโจมตีทั้งสองนี้อาจน่าสะพรึงมาก แต่ขอบเขตการบ่มเพาะพลังดวงจิตของเขายังด้อยเกินไป มันเหมือนกับคนที่ยกหินหนักห้าสิบกิโลกรัมได้แต่พยายามมายกหินร้อยกิโลกรัม ถึงแม้ว่าเขาจะยกมันได้ แต่ภายในเขาก็จะต้องได้รับบาดเจ็บจากแรงกดดันอย่างแน่นอน
ฮู ฮู!
เจียงอี้ถอนหายใจออกมาและเช็ดเลือดที่มุมปากของเขา เขาเหลือบมองผู้เชี่ยวชาญทั้งสามตระกูลเหลย พร้อมเผยรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา
ในเวลาสั้นๆ เขาได้สังหารผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนไปมากกว่าพันคนแล้ว หากผู้อาวุโสตระกูลเหลยไม่ปรากฏตัว เขามั่นใจว่าเขาสามารถสังหารคนเหล่านี้ได้อีกหลายพันคน หากเขาจะต้องเสี่ยงชีวิต เช่นนั้นเขาคงจะสังหารคนที่นี่ไปได้มากกว่าครึ่ง
เจียงอี้หรี่ตาลงและเงยหน้าขึ้นไปมองผู้อาวุโส จากนั้นเขาก็เย้ยหยันและพูดว่า “ยอดฝีมือกึ่งเทพแห่งตระกูลเหลย? ท่านมันเป็นตาแก่ชั่วที่ร่างกายลงหลุมไปครึ่งตัวแล้ว แล้วท่านยังมายุ่งกับข้าถึงสองครั้งเลย? ท่านไม่ละอายใจบ้างหรอ? หัวหน้าผู้นี้อายุยี่สิบสองปีในปีนี้ ท่านหมาเฒ่า ท่านอายุเท่าไหร่กัน?”