เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 844 เจียงอี้จะทำได้หรือ?
- Home
- เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
- บทที่ 844 เจียงอี้จะทำได้หรือ?
หลังจากที่กลับมายังปราสาทเจียงอีกครั้ง…. เจียงอี้และคนอื่นๆก็รู้สึกราวกับว่าเวลาผ่านไปเกือบทั้งชีวิต
ในวันนี้ ทุกคนคิดว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะได้กลับมาที่ปราสาทเจียงไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาทั้งหมดกำลังจะพินาศหรือใช้วิชาหลีกสวรรค์หนีไป ไม่มีใครคาดว่า หลังจากที่ผ่านทุกสิ่งทุกอย่างมา พวกเขาจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง….และกลับมาอย่างมีเกียรติขณะที่ซือถูอ้าวเป็นคนคุ้มกันพวกเขาเอง
“หลานชาย อยู่ที่นี่อย่างสงบสุขได้เลยในอนาคต บอกลุงมาได้ทุกอย่างและอย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกนะ”
ซือถูอ้าวทิ้งคำพูดไว้ขณะที่เขายิ้มอย่างขมขื่นและจากไปเพราะเขามีหลายอย่างที่ต้องจัดการ องค์หญิงเชียนเชียนเองก็ไปเรือนรับรองเล็กซือถูกับซือถูอีเนี่ยน แต่ในวันนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น ซือถูอ้าวต้องไปประชุมกับพ่อของและและผู้อาวุโสตระกูลและวางแผนจะรับผลของเหตุการณ์นี้และหาทางทำกำไรมากกว่านี้
“เจียงอี้ ข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้า!”
ซือถูอีเสี้ยวอยู่กับเขาหลังขณะที่ซือถูอีเนี่ยนไปจัดการที่พักให้เชียนเชียน เจียงอี้ไม่ได้กังวลกับซือถูอีเสี้ยวเลยขณะที่เขาพูดกับเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานและแม่ของนาง “เจ๊ใหญ่กระพรวนกังวาน ท่านป้า พวกท่านจะอยู่ที่ปราสาทเจียงนับแต่นี้ไป ส่วนตระกูลหนานกงนั่น…ก็คงดีที่จะปฏิเสธพวกเขา”
เจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานไม่ได้ร้องไห้ขณะที่นางเผยรอยยิ้มออกมาและพยักหน้าอย่างแรง “ฉี่หลิงจะไม่ใช้แซ่หนานกงอีกต่อไป ทำไมข้าไม่ใช้แซ่น้องข้าแทนล่ะ? จากนี้ไปข้าจะมีชื่อว่าเจียงฉี่หลิง”
“ก็ดีเหมือนกัน!”
เจียงอี้พยักหน้าและมองไปที่แม่ของเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานที่ยังคงหวาดผวาและพูดอย่างจริงใจว่า “ท่านป้า ฉี่หลิงเป็นพี่สาวของข้า ท่านทำเหมือนที่นี่เป็นบ้านของท่านได้เลย ในอนาคตจะไม่มีผู้ใดมาทำร้ายพวกท่านได้อีกต่อไป”
ซือถูอีเสี้ยวเสริมและพูดว่า “ใช่แล้ว ท่านป้า หากท่านต้องการอะไรก็บอกข้าได้เลย ที่แห่งนี้ปลอดภัยแน่ๆ มันเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดในเผ่าเทพประทานแล้ว”
“เฟิ่งเอ๋อร์ ชิงหยี หยุนเฟย พวกเจ้าพาเจ๊ใหญ่และท่านป้าไปที่ห้องเพื่อพักผ่อนได้ไหม?”
เจียงอี้เหลือบมองเฟิ่งหลวนขณะที่เฟิ่งหลวน, ชิงหยี, จ้านอู๋ซวงและหยุนเฟยรีบพาเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานออกไป เจียงอี้มองไปยังซือถูอีเสี้ยวและพูดต่อว่า “อีเสี้ยว เจ้ายังไว้วางใจว่านก้วนอยู่หรือไม่? เจ้ายังต้องการจะสร้างสมาคมการค้ามังกรโผบินอีกไหม?”
“โดยส่วนตัวแล้วข้าวางใจเขาอย่างเต็มที่ ว่านก้วนเป็นน้องเขยข้าและหากข้าไม่ไว้ใจเขา แล้วข้าจะเชื่อใจใครได้อีก”
ซือถูอีเสี้ยวมองเฉียนว่านก้วนที่ยังคงมีสีหน้ามืดมนที่ก้มหัวลงก่อนจะพูดว่า “ว่านก้วน การเจอความล้มเหลวในชีวิตมันไม่มีอะไรหรอก ที่สำคัญที่สุดคือการลุกขึ้นมายืนหยัดอีกครั้ง! อย่างไรก็ตาม ในส่วนของเรื่องสมาคมการค้านั้นคงขึ้นอยู่กับท่านพ่อและโถงอาวุโสแล้วล่ะ”
เฉียนว่านก้วนรู้สึกหมองหม่นเล็กน้อย หากเขาเตรียมการเป็นอย่างดี ทั้งสามตระกูลคงไม่มีเหตุผลที่จะจัดการพวกเขา เขาประมาทเกินไปและไม่คาดคิดว่าประธานหลิวจะเป็นสายลับมาก่อน
“ว่านก้วน!”
เจียงอี้เดินไปตบบ่าเฉียนว่านก้วนและพูดว่า “ถึงแม้ว่าจะไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้นในวันนี้ ทั้งสามตระกูลก็จะหาเรื่องอื่นมาจัดการเรา การล้มเหลวในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ดีต่อเจ้าจริงๆและเจ้าควรซึมซับบทเรียนนี้และปรับปรุงข้อบกพร่องของเจ้า ต่อไปเราค่อยมาหารือกับท่านลุงและดูว่าเราจะทำเรื่องนี้ยังไง”
“คนจากทวีปจักรพรรดิบูรพาทั้งหมดนั้นไม่สามารถใช้งานได้!”
ดวงตาของเฉียนว่านก้วนกระพริบขณะที่เขาเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “สัมพันธ์ทั้งหมดในทวีปจักรพรรดิบูรพานั้นไม่ปลอดภัยเลย ข้าประเมินคู่ต่อสู้ต่ำเกินไป คราวนี้ที่การพัฒนาดำเนินไปได้อย่างราบรื่นนั้นเพราะมีคนตั้งใจช่วยเราอยู่ในความมืด ดังนั้นสายสัมพันธ์ที่นั่นจึงไม่ปลอดภัยเลย เราจะต้องปูทางการค้าทางอื่น เราจะต้องใช้ทวีปที่เล็กกว่าและใช้ประโยชน์จากมัน หากเราจะดำเนินการในครั้งนี้ เราต้องเตรียมการณ์เป็นสิบหรือยี่สิบปีที่จะค่อยๆแทรกซึมเข้าไปช้าๆ ก่อนหน้านี้ข้ารีบร้อนในความสำเร็จเกินไป ข้าจึงตกหลุมพรางของแผนการอีกฝ่าย แล้วก็อีกประการ สมาคมการค้ามังกรโผบินใหม่นั้นไม่สามารถตัดตระกูลเหลย, ตระกูลหนานกงและตระกูลลู่ได้ เราทุกคนจะได้กำไรร่วมกันเพราะที่ที่เปราะบางที่สุดนั้นคือข้างใน…”
เจียงอี้และซือถูอีเสี้ยวมองหน้ากันและหัวเราะออกมา เฉียนว่านก้วนไม่ได้สูญเสียความมั่นใจของเขา แต่เพราะความล้มเหลวในครั้งนี้ เขาจึงมีประสบการณ์มากขึ้นแทน และเขายังเสนอให้ตระกูลเหลย, ตระกูลลู่และตระกูลหนานกงมามีส่วนร่วมด้วย ซึ่งหมายความว่าในตอนนี้ จิตใจและความคิดของเขามองได้กว้างขึ้นแล้ว
ซือถูอีเสี้ยวยืนขึ้นมาและพูดว่า “เอาล่ะ เจียงอี้ เจ้าควรพักฟื้นก่อน เราค่อยคุยกันใหม่พรุ่งนี้ อ้อใช่แล้ว….พี่หวงฝูถูกคุมขังอยู่ในบ้านโดยปรมาจารย์ตระกูลหวงฝูที่ลานตำหนักด้านใน ข้าเกรงว่าเขาคงไม่สามารถออกมาได้ในช่วงนี้”
“อื้ม มันเป็นการดีที่เขาจะกลับไป ข้าหวังว่าปรมาจารย์หวงฝูจะเปลี่ยนใจเขาได้” เจียงอี้พยักหน้า เขาเองก็มีความขุ่นเคืองกับเจียงเปี๋ยหลีในอดีตอย่างสุดซึ้ง แต่เขาก็เข้าใจว่าไม่มีความเกลียดชังชั่วนิรันดร์ระหว่างพ่อลูก…ที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข มีพ่อคนไหนบ้างที่อยากทำร้ายลูกๆของพวกเขา?
“เสี่ยวนู๋ เจ้าบาดเจ็บหรือไม่?” หลังจากที่ซือถูอีเสี้ยวออกไป เจียงอี้ก็มองไปที่เจียงเสี่ยวนู๋อย่างเป็นกังวลขณธที่ฝ่ายหลังส่ายหัวและมองเจียงอี้ด้วยความกังวลแทน “นายน้อย ข้าบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ความสามารถในการฟื้นฟูของเผ่าเราแข็งแกร่งมากและข้าสามารถฟื้นตัวได้โดยไม่ต้องพักฟื้นเลยเจ้าค่ะ นายน้อยไม่ต้องเป็นห่วงไป ท่านควรไปพักรักษาอาการบาดเจ็บของตัวเองก่อนนะเจ้าคะ”
“ก็ได้!”
เจียงอี้พยักหน้าด้วยความโล่งใจ เจียงเสี่ยวนู๋เข้าสู่สันโดษมานานกว่าหนึ่งปีและมาถึงจุดสูงสุดของศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ขนนกสีหมึกและความแข็งแกร่งของนางก็ทะลวงไปสู่ขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดแล้ว นางอาจไม่ได้เทียบเทียมกับขอบเขตเทียนจุนที่เข้าถึงรูปแบบเต๋าระดับห้าดาวขึ้นไปได้ แต่กับขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดธรรมดาจะไม่มีทางเป็นคู่ประกับนางได้ นางว่องไวมากและกรงเล็บของนางก็แหลมคมเกินไป “โอ้ ใช่แล้ว…”
เจียงอี้เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็นึกบางอย่างขึ้นได้ จากนั้นเขาจึงถามเจียงเสี่ยวนู๋ว่า “เสี่ยวนู๋ศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ขนนกสีหมึก ของเจ้ามีขั้นที่สามหรือเปล่า?”
“ไม่มีเลยเจ้าค่ะ!”
เจียงเสี่ยวนู๋เผยความผิดหวังขึ้นในดวงตาของนางขณะที่นางส่ายหัวและพูดว่า “ไม่ว่าข้าจะทำยังไง ข้าก็ไม่สามารถปลุกขั้นที่สามได้เลย บางที่เผ่าขนนกสีหมึกของเราคงบ่มเพาะได้ถึงแค่ขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดก็ได้”
เจียงอี้นิ่งไปชั่วขณะและปลอบเจียงเสี่ยวนู๋ “มันอาจมีขั้นต่อไปก็ได้ แต่เจ้าอาจจะต้องหลับไปยังเผ่าพันธุ์ของเจ้าเพื่อรับมันมา เดี๋ยวข้าจะลองถามดูว่ามีใครรู้เรื่องเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ขนนกสีหมึกบ้างหรือเปล่า”
“ไม่ ข้าไม่เอา!”
เจียงเสี่ยวนู๋ส่ายหัวและพูดว่า “ข้าไม่ได้อยากกลับไปที่เผ่าของข้า หากข้ากลับไปที่นั่นแล้วพวกเขาไม่ให้ข้าติดตามนายน้อยล่ะเจ้าคะ? ข้าไม่กลับไปหรอก!”
“เราค่อยคุยกันอีกครั้งก็ได้!”
เจียงอี้ถอนหายใจเบาๆขณะที่เขามีความรู้สึกเล็กๆว่าเขาอาจจะไม่สามารถหาเผ่าพันธุ์ขนนกสีหมึกเจอได้ในชั่วชีวิตนี้นอกจากเขาจะหาอีเพียวเพียวเจอ
เจียงเสี่ยวนู๋มีพลังมากและนางอายุน้อยกว่าเขา นางปลุกศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ขนนกสีหมึกขึ้นมาได้ตอนไหน? มันน่าจะราวๆหกปีก่อนใช่ไหม? เด็กสาวที่อ่อนแอสามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดได้ในเวลาเพียงหกปี ไม่จำเป็นต้องบอกก็รู้ว่าเผ่าของนางทรงพลังมาก อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยได้ยินเรื่องราวของเผ่าพันธุ์นี้มาก่อนและเมื่อเขาคุยกับหวงฝูเทาเทียน ฝ่ายหลังก็ไม่เคยได้ยินมันมาก่อนเช่นกัน
เจียงอี้มุ่งกลับไปที่ห้องของเขา เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสในครั้งนี้ อวัยวะภายในของเขาฉีกขาดและดวงจิตของเขาก็สั่นไหว เขาต้องใช้เวลาฟื้นฟูอย่างน้อยหนึ่งเดือนเพื่อกลับคืนสู่สภาพปกติ นอกจากนี้ เขายังต้องคอยศึกษาอัสนีพิโรธและทักษะวิชาเสียงสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่งเข้าใจมาด้วย พรุ่งนี้เขายังต้องไปร่วมงานศพของหยางตง, หนิวเติง, มังกรวารีสีทองและสัตว์อสูรหยาจื้อด้วย และทุกคนก็ถูกจัดไว้ใกล้ๆกัน
ตึก ตึก ตึก!
ขณะที่เจียงอี้เพิ่งจะเดินกลับมาถึงห้อง เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ด้านนอก และเจียงอี้ก็ขมวดคิ้วและเดินออกมาพบหญิงงามสองนางใต้แสงจันทร์ที่กำลังเดินมา พวกนางคือแม่นางเชียนเชียนและซือถูอีเนี่ยน
เจียงอี้เพิ่งได้รับความช่วยเหลือจากเอ๋าหลู และเอ๋าหลูก็เหมือนว่าจะมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับแม่นางเชียนเชียน ดังนั้นเจียงอี้จึงรีบออกไปต้อนรับนาง แม่นางเชียนเชียนหยุดอยู่ที่หน้าประตูและไม่เข้ามา จากนั้นนางก็ยิ้มให้เจียงอี้และกล่าวว่า “นายน้อยเจียง ท่านบรรพบุรุษได้ส่งข้อความถึงข้าโดยตรงเมื่อเขากลับไป ก่อนหน้านี้มีคนมากมายเกินไป เชียนเชียนจึงไม่ได้พูดอะไรออกมา”
“โอ้?”
เจียงอี้ถามอย่างสงสัย “ผู้อาวุโสเอ๋าพูดอะไรหรือ?”
เชียนเชียนมองไปทางตะวันออกและกล่าวว่า “ท่านบรรพบุรุษขอให้ท่านไปยังตำหนักซวนหวู่ภายในหนึ่งเดือน เขามีบางอย่างที่สำคัญจะให้ท่านทำ”
“บางอย่างสำคัญ?”
เจียงอี้เลิกคิ้วขึ้น ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วเมื่อเขานึกถึงสิ่งที่เอ๋าหลูมอบให้เขา ดูเหมือนว่าเอ๋าหลูจะมีบางอย่างที่เขาต้องการขอจากเจียงอี้
อย่างไรก็ตาม….ความแข็งแกร่งของเอ๋าหลูแทบจะสะเทือนฟ้า แล้วยังมีสิ่งใดที่เขาทำไม่ได้อีก? หากเขาทำมันไม่ได้ เช่นนั้นแล้วเจียงอี้จะทำได้หรือ?
ในวันนี้ ทุกคนคิดว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะได้กลับมาที่ปราสาทเจียงไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาทั้งหมดกำลังจะพินาศหรือใช้วิชาหลีกสวรรค์หนีไป ไม่มีใครคาดว่า หลังจากที่ผ่านทุกสิ่งทุกอย่างมา พวกเขาจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง….และกลับมาอย่างมีเกียรติขณะที่ซือถูอ้าวเป็นคนคุ้มกันพวกเขาเอง
“หลานชาย อยู่ที่นี่อย่างสงบสุขได้เลยในอนาคต บอกลุงมาได้ทุกอย่างและอย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกนะ”
ซือถูอ้าวทิ้งคำพูดไว้ขณะที่เขายิ้มอย่างขมขื่นและจากไปเพราะเขามีหลายอย่างที่ต้องจัดการ องค์หญิงเชียนเชียนเองก็ไปเรือนรับรองเล็กซือถูกับซือถูอีเนี่ยน แต่ในวันนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น ซือถูอ้าวต้องไปประชุมกับพ่อของและและผู้อาวุโสตระกูลและวางแผนจะรับผลของเหตุการณ์นี้และหาทางทำกำไรมากกว่านี้
“เจียงอี้ ข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้า!”
ซือถูอีเสี้ยวอยู่กับเขาหลังขณะที่ซือถูอีเนี่ยนไปจัดการที่พักให้เชียนเชียน เจียงอี้ไม่ได้กังวลกับซือถูอีเสี้ยวเลยขณะที่เขาพูดกับเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานและแม่ของนาง “เจ๊ใหญ่กระพรวนกังวาน ท่านป้า พวกท่านจะอยู่ที่ปราสาทเจียงนับแต่นี้ไป ส่วนตระกูลหนานกงนั่น…ก็คงดีที่จะปฏิเสธพวกเขา”
เจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานไม่ได้ร้องไห้ขณะที่นางเผยรอยยิ้มออกมาและพยักหน้าอย่างแรง “ฉี่หลิงจะไม่ใช้แซ่หนานกงอีกต่อไป ทำไมข้าไม่ใช้แซ่น้องข้าแทนล่ะ? จากนี้ไปข้าจะมีชื่อว่าเจียงฉี่หลิง”
“ก็ดีเหมือนกัน!”
เจียงอี้พยักหน้าและมองไปที่แม่ของเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานที่ยังคงหวาดผวาและพูดอย่างจริงใจว่า “ท่านป้า ฉี่หลิงเป็นพี่สาวของข้า ท่านทำเหมือนที่นี่เป็นบ้านของท่านได้เลย ในอนาคตจะไม่มีผู้ใดมาทำร้ายพวกท่านได้อีกต่อไป”
ซือถูอีเสี้ยวเสริมและพูดว่า “ใช่แล้ว ท่านป้า หากท่านต้องการอะไรก็บอกข้าได้เลย ที่แห่งนี้ปลอดภัยแน่ๆ มันเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดในเผ่าเทพประทานแล้ว”
“เฟิ่งเอ๋อร์ ชิงหยี หยุนเฟย พวกเจ้าพาเจ๊ใหญ่และท่านป้าไปที่ห้องเพื่อพักผ่อนได้ไหม?”
เจียงอี้เหลือบมองเฟิ่งหลวนขณะที่เฟิ่งหลวน, ชิงหยี, จ้านอู๋ซวงและหยุนเฟยรีบพาเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานออกไป เจียงอี้มองไปยังซือถูอีเสี้ยวและพูดต่อว่า “อีเสี้ยว เจ้ายังไว้วางใจว่านก้วนอยู่หรือไม่? เจ้ายังต้องการจะสร้างสมาคมการค้ามังกรโผบินอีกไหม?”
“โดยส่วนตัวแล้วข้าวางใจเขาอย่างเต็มที่ ว่านก้วนเป็นน้องเขยข้าและหากข้าไม่ไว้ใจเขา แล้วข้าจะเชื่อใจใครได้อีก”
ซือถูอีเสี้ยวมองเฉียนว่านก้วนที่ยังคงมีสีหน้ามืดมนที่ก้มหัวลงก่อนจะพูดว่า “ว่านก้วน การเจอความล้มเหลวในชีวิตมันไม่มีอะไรหรอก ที่สำคัญที่สุดคือการลุกขึ้นมายืนหยัดอีกครั้ง! อย่างไรก็ตาม ในส่วนของเรื่องสมาคมการค้านั้นคงขึ้นอยู่กับท่านพ่อและโถงอาวุโสแล้วล่ะ”
เฉียนว่านก้วนรู้สึกหมองหม่นเล็กน้อย หากเขาเตรียมการเป็นอย่างดี ทั้งสามตระกูลคงไม่มีเหตุผลที่จะจัดการพวกเขา เขาประมาทเกินไปและไม่คาดคิดว่าประธานหลิวจะเป็นสายลับมาก่อน
“ว่านก้วน!”
เจียงอี้เดินไปตบบ่าเฉียนว่านก้วนและพูดว่า “ถึงแม้ว่าจะไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้นในวันนี้ ทั้งสามตระกูลก็จะหาเรื่องอื่นมาจัดการเรา การล้มเหลวในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ดีต่อเจ้าจริงๆและเจ้าควรซึมซับบทเรียนนี้และปรับปรุงข้อบกพร่องของเจ้า ต่อไปเราค่อยมาหารือกับท่านลุงและดูว่าเราจะทำเรื่องนี้ยังไง”
“คนจากทวีปจักรพรรดิบูรพาทั้งหมดนั้นไม่สามารถใช้งานได้!”
ดวงตาของเฉียนว่านก้วนกระพริบขณะที่เขาเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “สัมพันธ์ทั้งหมดในทวีปจักรพรรดิบูรพานั้นไม่ปลอดภัยเลย ข้าประเมินคู่ต่อสู้ต่ำเกินไป คราวนี้ที่การพัฒนาดำเนินไปได้อย่างราบรื่นนั้นเพราะมีคนตั้งใจช่วยเราอยู่ในความมืด ดังนั้นสายสัมพันธ์ที่นั่นจึงไม่ปลอดภัยเลย เราจะต้องปูทางการค้าทางอื่น เราจะต้องใช้ทวีปที่เล็กกว่าและใช้ประโยชน์จากมัน หากเราจะดำเนินการในครั้งนี้ เราต้องเตรียมการณ์เป็นสิบหรือยี่สิบปีที่จะค่อยๆแทรกซึมเข้าไปช้าๆ ก่อนหน้านี้ข้ารีบร้อนในความสำเร็จเกินไป ข้าจึงตกหลุมพรางของแผนการอีกฝ่าย แล้วก็อีกประการ สมาคมการค้ามังกรโผบินใหม่นั้นไม่สามารถตัดตระกูลเหลย, ตระกูลหนานกงและตระกูลลู่ได้ เราทุกคนจะได้กำไรร่วมกันเพราะที่ที่เปราะบางที่สุดนั้นคือข้างใน…”
เจียงอี้และซือถูอีเสี้ยวมองหน้ากันและหัวเราะออกมา เฉียนว่านก้วนไม่ได้สูญเสียความมั่นใจของเขา แต่เพราะความล้มเหลวในครั้งนี้ เขาจึงมีประสบการณ์มากขึ้นแทน และเขายังเสนอให้ตระกูลเหลย, ตระกูลลู่และตระกูลหนานกงมามีส่วนร่วมด้วย ซึ่งหมายความว่าในตอนนี้ จิตใจและความคิดของเขามองได้กว้างขึ้นแล้ว
ซือถูอีเสี้ยวยืนขึ้นมาและพูดว่า “เอาล่ะ เจียงอี้ เจ้าควรพักฟื้นก่อน เราค่อยคุยกันใหม่พรุ่งนี้ อ้อใช่แล้ว….พี่หวงฝูถูกคุมขังอยู่ในบ้านโดยปรมาจารย์ตระกูลหวงฝูที่ลานตำหนักด้านใน ข้าเกรงว่าเขาคงไม่สามารถออกมาได้ในช่วงนี้”
“อื้ม มันเป็นการดีที่เขาจะกลับไป ข้าหวังว่าปรมาจารย์หวงฝูจะเปลี่ยนใจเขาได้” เจียงอี้พยักหน้า เขาเองก็มีความขุ่นเคืองกับเจียงเปี๋ยหลีในอดีตอย่างสุดซึ้ง แต่เขาก็เข้าใจว่าไม่มีความเกลียดชังชั่วนิรันดร์ระหว่างพ่อลูก…ที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข มีพ่อคนไหนบ้างที่อยากทำร้ายลูกๆของพวกเขา?
“เสี่ยวนู๋ เจ้าบาดเจ็บหรือไม่?” หลังจากที่ซือถูอีเสี้ยวออกไป เจียงอี้ก็มองไปที่เจียงเสี่ยวนู๋อย่างเป็นกังวลขณธที่ฝ่ายหลังส่ายหัวและมองเจียงอี้ด้วยความกังวลแทน “นายน้อย ข้าบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ความสามารถในการฟื้นฟูของเผ่าเราแข็งแกร่งมากและข้าสามารถฟื้นตัวได้โดยไม่ต้องพักฟื้นเลยเจ้าค่ะ นายน้อยไม่ต้องเป็นห่วงไป ท่านควรไปพักรักษาอาการบาดเจ็บของตัวเองก่อนนะเจ้าคะ”
“ก็ได้!”
เจียงอี้พยักหน้าด้วยความโล่งใจ เจียงเสี่ยวนู๋เข้าสู่สันโดษมานานกว่าหนึ่งปีและมาถึงจุดสูงสุดของศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ขนนกสีหมึกและความแข็งแกร่งของนางก็ทะลวงไปสู่ขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดแล้ว นางอาจไม่ได้เทียบเทียมกับขอบเขตเทียนจุนที่เข้าถึงรูปแบบเต๋าระดับห้าดาวขึ้นไปได้ แต่กับขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดธรรมดาจะไม่มีทางเป็นคู่ประกับนางได้ นางว่องไวมากและกรงเล็บของนางก็แหลมคมเกินไป “โอ้ ใช่แล้ว…”
เจียงอี้เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็นึกบางอย่างขึ้นได้ จากนั้นเขาจึงถามเจียงเสี่ยวนู๋ว่า “เสี่ยวนู๋ศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ขนนกสีหมึก ของเจ้ามีขั้นที่สามหรือเปล่า?”
“ไม่มีเลยเจ้าค่ะ!”
เจียงเสี่ยวนู๋เผยความผิดหวังขึ้นในดวงตาของนางขณะที่นางส่ายหัวและพูดว่า “ไม่ว่าข้าจะทำยังไง ข้าก็ไม่สามารถปลุกขั้นที่สามได้เลย บางที่เผ่าขนนกสีหมึกของเราคงบ่มเพาะได้ถึงแค่ขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดก็ได้”
เจียงอี้นิ่งไปชั่วขณะและปลอบเจียงเสี่ยวนู๋ “มันอาจมีขั้นต่อไปก็ได้ แต่เจ้าอาจจะต้องหลับไปยังเผ่าพันธุ์ของเจ้าเพื่อรับมันมา เดี๋ยวข้าจะลองถามดูว่ามีใครรู้เรื่องเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ขนนกสีหมึกบ้างหรือเปล่า”
“ไม่ ข้าไม่เอา!”
เจียงเสี่ยวนู๋ส่ายหัวและพูดว่า “ข้าไม่ได้อยากกลับไปที่เผ่าของข้า หากข้ากลับไปที่นั่นแล้วพวกเขาไม่ให้ข้าติดตามนายน้อยล่ะเจ้าคะ? ข้าไม่กลับไปหรอก!”
“เราค่อยคุยกันอีกครั้งก็ได้!”
เจียงอี้ถอนหายใจเบาๆขณะที่เขามีความรู้สึกเล็กๆว่าเขาอาจจะไม่สามารถหาเผ่าพันธุ์ขนนกสีหมึกเจอได้ในชั่วชีวิตนี้นอกจากเขาจะหาอีเพียวเพียวเจอ
เจียงเสี่ยวนู๋มีพลังมากและนางอายุน้อยกว่าเขา นางปลุกศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ขนนกสีหมึกขึ้นมาได้ตอนไหน? มันน่าจะราวๆหกปีก่อนใช่ไหม? เด็กสาวที่อ่อนแอสามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดได้ในเวลาเพียงหกปี ไม่จำเป็นต้องบอกก็รู้ว่าเผ่าของนางทรงพลังมาก อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยได้ยินเรื่องราวของเผ่าพันธุ์นี้มาก่อนและเมื่อเขาคุยกับหวงฝูเทาเทียน ฝ่ายหลังก็ไม่เคยได้ยินมันมาก่อนเช่นกัน
เจียงอี้มุ่งกลับไปที่ห้องของเขา เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสในครั้งนี้ อวัยวะภายในของเขาฉีกขาดและดวงจิตของเขาก็สั่นไหว เขาต้องใช้เวลาฟื้นฟูอย่างน้อยหนึ่งเดือนเพื่อกลับคืนสู่สภาพปกติ นอกจากนี้ เขายังต้องคอยศึกษาอัสนีพิโรธและทักษะวิชาเสียงสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่งเข้าใจมาด้วย พรุ่งนี้เขายังต้องไปร่วมงานศพของหยางตง, หนิวเติง, มังกรวารีสีทองและสัตว์อสูรหยาจื้อด้วย และทุกคนก็ถูกจัดไว้ใกล้ๆกัน
ตึก ตึก ตึก!
ขณะที่เจียงอี้เพิ่งจะเดินกลับมาถึงห้อง เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ด้านนอก และเจียงอี้ก็ขมวดคิ้วและเดินออกมาพบหญิงงามสองนางใต้แสงจันทร์ที่กำลังเดินมา พวกนางคือแม่นางเชียนเชียนและซือถูอีเนี่ยน
เจียงอี้เพิ่งได้รับความช่วยเหลือจากเอ๋าหลู และเอ๋าหลูก็เหมือนว่าจะมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับแม่นางเชียนเชียน ดังนั้นเจียงอี้จึงรีบออกไปต้อนรับนาง แม่นางเชียนเชียนหยุดอยู่ที่หน้าประตูและไม่เข้ามา จากนั้นนางก็ยิ้มให้เจียงอี้และกล่าวว่า “นายน้อยเจียง ท่านบรรพบุรุษได้ส่งข้อความถึงข้าโดยตรงเมื่อเขากลับไป ก่อนหน้านี้มีคนมากมายเกินไป เชียนเชียนจึงไม่ได้พูดอะไรออกมา”
“โอ้?”
เจียงอี้ถามอย่างสงสัย “ผู้อาวุโสเอ๋าพูดอะไรหรือ?”
เชียนเชียนมองไปทางตะวันออกและกล่าวว่า “ท่านบรรพบุรุษขอให้ท่านไปยังตำหนักซวนหวู่ภายในหนึ่งเดือน เขามีบางอย่างที่สำคัญจะให้ท่านทำ”
“บางอย่างสำคัญ?”
เจียงอี้เลิกคิ้วขึ้น ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วเมื่อเขานึกถึงสิ่งที่เอ๋าหลูมอบให้เขา ดูเหมือนว่าเอ๋าหลูจะมีบางอย่างที่เขาต้องการขอจากเจียงอี้
อย่างไรก็ตาม….ความแข็งแกร่งของเอ๋าหลูแทบจะสะเทือนฟ้า แล้วยังมีสิ่งใดที่เขาทำไม่ได้อีก? หากเขาทำมันไม่ได้ เช่นนั้นแล้วเจียงอี้จะทำได้หรือ?