เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 864 วิชาเทพพลางตา
เจียงอี้บอกตัวเองว่านี่คือแดนลวงตา มันเป็นของปลอม เพียงเพื่อให้ตัวเองไม่ต้องกลัวอีกต่อไป
แต่ความจริงนั้น…
เขาเดินไปผิดทาง ผู้ที่มีหัวใจที่เข้มแข็งอย่างแท้จริงจะมั่นคงดุจหินผา แม้ว่าทุกสิ่งตรงหน้านี้จะเป็นความจริง ก็จะไม่หวั่นใจใดๆ แม้ว่าสัตว์อสูรจะฉีกเขาเป็นชิ้นๆ แต่ก็ไม่มีร่องรอยของความกลัวเผยออกมาเลย แม้ว่าจะอยู่ในช่วงความตายก็ตาม
ใจของจอมยุทธนั้นสำคัญมาก!
เส้นทางแห่งเต๋าคือการไปสู่สรวงสวรรค์และเปลี่ยนแปลงโชคชะตา การที่จะท้าทายสวรรค์ ย่อมต้องผ่านความทุกข์ยากและความพ่ายแพ้ที่ไม่สิ้นสุดอย่างแน่นอน หากหัวใจไม่แข็งแกร่งพอ แล้วจะมีอะไรที่ทำให้คนผู้หนึ่งคิดว่าจะเอาชนะจอมยุทธนับพันล้านเพื่อไปถึงจุดสูงสุดได้? หากใครหวาดกลัวในระหว่างการต่อสู้ ความคิดแรกที่ผู้คนจะมีเมื่อต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือคือการหนี ยามที่ต้องเผชิญกับความท้าทาย คงไม่มีผู้ใดอ้าแขนรับมันและคิดแต่จะหนีหรือไม่ก็ถอยกลับไป แล้วคนเราจะเอาชนะตัวเองได้อย่างไร? คนเราจะท้าทายสวรรค์แล้วพุ่งขึ้นสู่เก้าสวรรค์ชั้นฟ้าได้อย่างไร?
ใจของเจียงอี้ก็ถือว่าไม่ได้แย่นัก แต่เขายังอยู่ในขั้นแรก ซึ่งในตอนนี้เขาก็ได้บรรลุการตรัสรู้แล้วจึงทำให้ใจของเขาเข้มแข็งไปถึงขั้นที่สองได้ และด้วยเหตุนี้ ดวงจิตของเขาจึงถูกยกระดับและพัฒนาได้สำเร็จ!
เจียงอี้ลืมทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในดวงจิตของตัวเองและมองไปยังดวงตาที่เย็นเยียบที่อยู่เบื้องหน้าพร้อมกับเข้าใจถึงแก่นบางอย่างของวิชาเทพพลางตา
“ทุกสิ่งในโลกล้วนเหมือนมายานี้ มันอาจเป็นจริงหรือไม่จริงก็ยากที่จะหยั่งถึง ชีวิตก็เป็นดั่งความฝัน ตอนนี้เราทุกคนอาจอยู่ในฝัน แต่เราแค่ตื่นขึ้นมาไม่ได้ แล้วเมื่อเราทุกคนอาจเป็นภาพลวงตาได้ เช่นนั้นแล้วรูปกายเองก็ไม่มีความหมายใดๆ ข้าน่าจะเปลี่ยนร่างและกลิ่นอายดวงจิตเป็นอะไรก็ได้ซึ่งมันเป็นมากกว่าภาพลวงตาที่สามารถเปลี่ยนได้ตามใจข้า!”
“กลิ่นอายดวงจิตนั้นไม่มีสีและกลิ่น มันเป็นเพียงความรู้สึก และเมื่อมันเป็นเพียงความรู้สึก มันก็หลอกตาได้ ตราบใดที่มองไม่เห็นเข้าไปถึงภาพลวงตา สัมผัสและความรู้สึกนั้นก็อาจจะหลอกตาได้และศัตรูจะจำข้าไม่ได้! จะแท้หรือปลอมก็สังเกตได้ไม่ชัด เหมือนว่านี่จะเป็นแก่นของเทพพลางตา!”
“ฮู่ว…ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้ว ข้าเปลี่ยนกลิ่นอายดวงจิตได้ แต่ข้าจะเปลี่ยนร่างตัวเองได้ยังไงกันนะ?”
เจียงอี้เกิดความสงสัยขณะที่เขาหยุดนิ่งชั่วขณะ จากนั้นดวงตาของเขาก็เป็นประกาย เขามองไปยังช้างดึกดำบรรพ์ด้านหน้าและพูดว่า “ข้ามองเจ้าออกแล้ว แล้วเจ้ายังต้องการจะข่มขู่ข้าอีก? ไสหัวไปซะ!” บรึฟ!
ช้างดึกดำบรรพ์ส่องประกายและค่อยๆหายลับไป มันมีก้อนหินขนาดยักษ์อีกก้อนที่ปรากฏขึ้นด้านหน้าและเจียงอี้ก็รู้สึกประหลาดใจมาก…ขณะที่มีพลังงานหลากสีซึ่งค่อยๆควบแน่นก่อนที่มันจะกลายเป็นสายรุ้งศักดิ์สิทธิ์และพุ่งเข้าสู่ร่างกายเขา เขาสัมผัสสายของแสงสายรุ้งนั้นอย่างระมัดระวังและรู้สึกปลื้มปิติในทันที
ร่างของเจียงอี้ไม่สั่นเทาอีกต่อไปและลมหายใจของเขาค่อยๆคงที่ขณะที่หัวใจเริ่มกลับมาเต้นปกติ แต่เนื่องจากเส้นเลือดของเขาแตกซ่านมากเกินไป ร่างกายเขาจึงยังขยับไม่ได้และรูทวารทั้งเจ็ดก็ยังคงมีเลือดไหลอยู่
เจียงอี้มองเข้าไปในร่างกายและไม่ได้สนใจมันจริงๆ หลังจากที่ได้ขัดเกลาหญ้ามังกรยาจกเข้าไปแล้ว ร่างกายของเขาก็มีความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าสะพรึง เลือดเริ่มหยุดไหลและเส้นเลือดก็ค่อยๆปิดสนิทเพียงแค่ต้องรอเวลาเท่านั้น
“เอ๊ะ…ทำไมดวงจิตข้าถึงกลายเป็นแบบนี้ล่ะ?”
เจียงอี้มองไปที่ดวงจิตวิญญาณและตกตะลึงเล็กน้อย ตอนนี้ดวงจิตหลักของเขาใหญ่กว่าเดิมถึงสองเท่าและดวงจิตรูปดาบของเขาก็กลายเป็นหม้อสามขา
การเพิ่มขนาดดวงจิตเป็นเรื่องปกติมากเนื่องจากมันจะขยายตัวเรื่อยๆตลอดในช่วงวิวัฒนาการ แต่ทำไมมันถึงเปลี่ยนรูปร่างไป? มันกลายเป็นหม้อสามขาที่แปลกประหลาดจริงๆหรือ?
“หม้อสามขา? สามขานั้นมั่นคงที่สุด หรือดวงจิตของข้าเปลี่ยนรูปเพราะใจข้านั้นแข็งแกร่งและมั่นคงขึ้น? หม้อสามขานี่มั่นคงมาจริงๆและไม่มีอะไรมาเปลี่ยนใจและดวงจิตข้าได้!”
เจียงอี้ผุดความคิดขึ้นมาขณะที่เขากระพริบตา ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงเผ่าอีกาทองคำที่อยู่ด้านนอกซึ่งล้วนมีสามขาทั้งนั้น หรือเป็นเพราะว่าสมาชิกเผ่าอีกาทองคำมีสามขาจึงทำให้พวกเขาเข้าใจความสามารถเทพพลางตาในแดนลึกลับนี้ได้ง่ายกว่า?
“เอ่อ….ดวงจิตข้ามีรูปร่างที่เปลี่ยนไป ข้าสงสัยจริงๆว่าหลังจากที่ข้ากลับไปที่เมืองเทพประทานแล้ว ดาบวิญญาณข้าจะผุดแยกออกมาหรือไม่? ตอนนี้ดวงจิตหลักข้าเปลี่ยนเป็นหม้อสามขาแล้ว มันจะมีหม้อเล็กๆแยกออกมาในช่วงเทพสะอื้นได้ไหมนะ?”
เจียงอี้ไม่รู้และเขาก็ไม่คิดเรื่องนี้ในตอนนี้ เขาเพียงแค่นอนลงเงียบๆเพราะได้รับบาดเจ็บสาหัสจนแทบจะขยับนิ้วไม่ได้ด้วยซ้ำ เขาจึงไม่มีทางอื่นนอกจากรอให้ร่างกายฟื้นตัวด้วยตัวมันเองก่อน
หนึ่งวัน สองวัน…สามวัน!
ในที่สุดเจียงอี้ก็ขยับมือได้ เขาหยิบยาออกมาจากแหวนมิติแล้วโยนยาเข้าปากตัวเอง จากนั้นเขาก็หลับตาลงและพักฟื้นต่อ หลังจากหมุนเวียนแก่นแท้พลังไปไม่กี่รอบ ร่างกายของเขาก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ครึ่งวันต่อมา เขาก็พยายามปีนขึ้นมานั่งและพักฟื้นในท่าขัดสมาธิ
เจียงอี้ไม่ได้รีบร้อนออกจากแดนลึกลับเนื่องจากเจียงเสี่ยวนู๋จะต้องเป็นกังวลอย่างแน่นอนหากนางเห็นเขาอ่อนแอและเลือดไหลเช่นนี้ เขาจึงนั่งขัดสมาธิและพักฟื้นตลอดทั้งวัน และยืนขึ้นเมื่ออาการบาดเจ็บส่วนใหญ่เริ่มหายแล้ว
“ฮึฮึ มาลองใช้วิชาเทพพลางตาดีกว่า!”
เจียงอี้ยิ้มออกมาและร่างของเขาก็ส่องสว่างด้วยแสงสีขาว จากนั้นร่างของเขาก็เปลี่ยนไปด้วยความเร็วสูงซึ่งมองเห็นไม่ได้ด้วยตาเปล่าขณะที่พลังสายรุ้งเวียนไปมาอยู่ในร่างกายของเขา ร่างของเขาเปลี่ยนเป็นคนพุงพลุ้ย ขาของเขาก็หนาเตอะ ใบหน้าของเขาก็กลมดิ๊กและดวงตาเล็กๆของเขาก็เต็มไปด้วยความสดใส
การเปลี่ยนร่างใช้เวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่จากแหวนมิติและเดินไปยังค่ายกลเคลื่อนย้าย
…
บรึฟ!
กำแพงหุบเขาสว่างไสวด้วยแสงสีทองปนดำขณะที่ประตูสีทองเข้มค่อยๆเปิดออกมา เชียนเชียน, เทวาทมิฬและเจียงเสี่ยวนู๋ที่นั่งอยู่ตรงข้ามรู้เรื่องทันที พวกเขาทั้งหมดพากันวิ่งออกมาจากปราสาทและมองไปยังประตูนั้น
“เอ่อ…”
ดวงตาของทั้งสามหดลงพร้อมๆกันขณะที่เจียงเสี่ยวนู๋มีท่าทีราวกับเห็นผี มีก้อนไขมันบินบินออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้าย และจริงๆแล้วนั่นคือเฉียนว่านก้วน!?
เจียงเสี่ยวนู๋เหลือบมองอยู่สามครั้งและหลังจากที่นางแน่ใจแล้วว่าไม่ผิด นางก็ตะโกนออกมา “โถ่เจ้าอ้วน ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่ล่ะ? แล้วนายน้อยอยู่ไหน?”
สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเชียนเชียนกวาดไปที่คนตรงหน้าและมั่นใจว่ากลิ่นอายดวงจิตนั้นเหมือนกับเฉียนว่านก้วนทุกประการ และตันเทียนก็ไม่ใช่ตันเทียนแปลกๆของเจียงอี้อีกต่อไป ความแข็งแกร่งของเขาไม่ต่างไปจากเฉียนว่านก้วนเลย ใบหน้าอันมีเสน่ห์ของนางตกตะลึงขณะที่นางถอนหายใจและเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ท่วมท้น “เก่งกาจจริงๆ!”
นางรู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่เฉียนว่านก้วนจะอยู่ที่นี่ หากไม่มีพวกเขา แม้แต่ขอบเขตกึ่งเทพก็ไม่สามารถเข้ามายังส่วนลึกของทะเลลึกได้ บุคคลนี้ต้องเป็นร่างแปลงของเจียงอี้อย่างแน่นอน
การแสดงออกของเทวาทมิฬเองก็เผยรอยยิ้มที่หายากขณะที่เขาพยักหน้าและยกย่องว่า “ฮึฮึ เจ้าหนู ไม่เลวเลย!”
ฟรึ่บ!
เมื่อเจ้าอ้วนบินมา เขาก็เอื้อมมือไปลูบหัวเจียงเสี่ยวนู๋และไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่ยิ้มและมองพวกเขา เจียงเสี่ยวนู๋จึงสังเกตเห็นบางสิ่งขณะที่นางดึงมือของเขาแล้วพูดว่า “ไม่ใช่สิ ท่านไม่ใช่เจ้าอ้วน ท่านคือนายน้อย!” “ฮึฮึ!”
ร่างของเจียงอี้เปล่งประกายด้วยแสงสีขาวขณะที่ร่างกายของเขากระดุกกระดกและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และฟื้นคืนรูปลักษณ์เดิมของเขา เขาลูบหัวเจียงเสี่ยวนู๋และพูดว่า “เจ้าเด็กโง่ แม้แต่นายน้อยของตัวเองเจ้าก็ยังจำไม่ได้หรือ?”
เจียงเสี่ยวนู๋หน้าแดงซึ่งมันทำให้เจียงอี้มีความมั่นใจยิ่งขึ้น หากเจียงเสี่ยวนู๋ที่โตมากับเขายังจำไม่ได้ และหากเทวาทมิฬที่เป็นเจ้าอสูรที่มีพลังเช่นนี้ก็ยังจำไม่ได้ตั้งแต่แรก นั่นก็หมายความว่า วิชาเทพพลางตานี้ท้าทายสวรรค์อย่างแท้จริง และมันยังหมายความว่า ในที่สุด….เขาก็จะได้ไปทวีปจักรพรรดิบูรพาเสียที
… “ฮึฮึ!”
ร่างของเจียงอี้เปล่งประกายด้วยแสงสีขาวขณะที่ร่างกายของเขากระดุกกระดกและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และฟื้นคืนรูปลักษณ์เดิมของเขา เขาลูบหัวเจียงเสี่ยวนู๋และพูดว่า “เจ้าเด็กโง่ แม้แต่นายน้อยของตัวเองเจ้าก็ยังจำไม่ได้หรือ?”
เจียงเสี่ยวนู๋หน้าแดงซึ่งมันทำให้เจียงอี้มีความมั่นใจยิ่งขึ้น หากเจียงเสี่ยวนู๋ที่โตมากับเขายังจำไม่ได้ และหากเทวาทมิฬที่เป็นเจ้าอสูรที่มีพลังเช่นนี้ก็ยังจำไม่ได้ตั้งแต่แรก นั่นก็หมายความว่า วิชาเทพพลางตานี้ท้าทายสวรรค์อย่างแท้จริง และมันยังหมายความว่า ในที่สุด….เขาก็จะได้ไปทวีปจักรพรรดิบูรพาเสียที
…
แต่ความจริงนั้น…
เขาเดินไปผิดทาง ผู้ที่มีหัวใจที่เข้มแข็งอย่างแท้จริงจะมั่นคงดุจหินผา แม้ว่าทุกสิ่งตรงหน้านี้จะเป็นความจริง ก็จะไม่หวั่นใจใดๆ แม้ว่าสัตว์อสูรจะฉีกเขาเป็นชิ้นๆ แต่ก็ไม่มีร่องรอยของความกลัวเผยออกมาเลย แม้ว่าจะอยู่ในช่วงความตายก็ตาม
ใจของจอมยุทธนั้นสำคัญมาก!
เส้นทางแห่งเต๋าคือการไปสู่สรวงสวรรค์และเปลี่ยนแปลงโชคชะตา การที่จะท้าทายสวรรค์ ย่อมต้องผ่านความทุกข์ยากและความพ่ายแพ้ที่ไม่สิ้นสุดอย่างแน่นอน หากหัวใจไม่แข็งแกร่งพอ แล้วจะมีอะไรที่ทำให้คนผู้หนึ่งคิดว่าจะเอาชนะจอมยุทธนับพันล้านเพื่อไปถึงจุดสูงสุดได้? หากใครหวาดกลัวในระหว่างการต่อสู้ ความคิดแรกที่ผู้คนจะมีเมื่อต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือคือการหนี ยามที่ต้องเผชิญกับความท้าทาย คงไม่มีผู้ใดอ้าแขนรับมันและคิดแต่จะหนีหรือไม่ก็ถอยกลับไป แล้วคนเราจะเอาชนะตัวเองได้อย่างไร? คนเราจะท้าทายสวรรค์แล้วพุ่งขึ้นสู่เก้าสวรรค์ชั้นฟ้าได้อย่างไร?
ใจของเจียงอี้ก็ถือว่าไม่ได้แย่นัก แต่เขายังอยู่ในขั้นแรก ซึ่งในตอนนี้เขาก็ได้บรรลุการตรัสรู้แล้วจึงทำให้ใจของเขาเข้มแข็งไปถึงขั้นที่สองได้ และด้วยเหตุนี้ ดวงจิตของเขาจึงถูกยกระดับและพัฒนาได้สำเร็จ!
เจียงอี้ลืมทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในดวงจิตของตัวเองและมองไปยังดวงตาที่เย็นเยียบที่อยู่เบื้องหน้าพร้อมกับเข้าใจถึงแก่นบางอย่างของวิชาเทพพลางตา
“ทุกสิ่งในโลกล้วนเหมือนมายานี้ มันอาจเป็นจริงหรือไม่จริงก็ยากที่จะหยั่งถึง ชีวิตก็เป็นดั่งความฝัน ตอนนี้เราทุกคนอาจอยู่ในฝัน แต่เราแค่ตื่นขึ้นมาไม่ได้ แล้วเมื่อเราทุกคนอาจเป็นภาพลวงตาได้ เช่นนั้นแล้วรูปกายเองก็ไม่มีความหมายใดๆ ข้าน่าจะเปลี่ยนร่างและกลิ่นอายดวงจิตเป็นอะไรก็ได้ซึ่งมันเป็นมากกว่าภาพลวงตาที่สามารถเปลี่ยนได้ตามใจข้า!”
“กลิ่นอายดวงจิตนั้นไม่มีสีและกลิ่น มันเป็นเพียงความรู้สึก และเมื่อมันเป็นเพียงความรู้สึก มันก็หลอกตาได้ ตราบใดที่มองไม่เห็นเข้าไปถึงภาพลวงตา สัมผัสและความรู้สึกนั้นก็อาจจะหลอกตาได้และศัตรูจะจำข้าไม่ได้! จะแท้หรือปลอมก็สังเกตได้ไม่ชัด เหมือนว่านี่จะเป็นแก่นของเทพพลางตา!”
“ฮู่ว…ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้ว ข้าเปลี่ยนกลิ่นอายดวงจิตได้ แต่ข้าจะเปลี่ยนร่างตัวเองได้ยังไงกันนะ?”
เจียงอี้เกิดความสงสัยขณะที่เขาหยุดนิ่งชั่วขณะ จากนั้นดวงตาของเขาก็เป็นประกาย เขามองไปยังช้างดึกดำบรรพ์ด้านหน้าและพูดว่า “ข้ามองเจ้าออกแล้ว แล้วเจ้ายังต้องการจะข่มขู่ข้าอีก? ไสหัวไปซะ!” บรึฟ!
ช้างดึกดำบรรพ์ส่องประกายและค่อยๆหายลับไป มันมีก้อนหินขนาดยักษ์อีกก้อนที่ปรากฏขึ้นด้านหน้าและเจียงอี้ก็รู้สึกประหลาดใจมาก…ขณะที่มีพลังงานหลากสีซึ่งค่อยๆควบแน่นก่อนที่มันจะกลายเป็นสายรุ้งศักดิ์สิทธิ์และพุ่งเข้าสู่ร่างกายเขา เขาสัมผัสสายของแสงสายรุ้งนั้นอย่างระมัดระวังและรู้สึกปลื้มปิติในทันที
ร่างของเจียงอี้ไม่สั่นเทาอีกต่อไปและลมหายใจของเขาค่อยๆคงที่ขณะที่หัวใจเริ่มกลับมาเต้นปกติ แต่เนื่องจากเส้นเลือดของเขาแตกซ่านมากเกินไป ร่างกายเขาจึงยังขยับไม่ได้และรูทวารทั้งเจ็ดก็ยังคงมีเลือดไหลอยู่
เจียงอี้มองเข้าไปในร่างกายและไม่ได้สนใจมันจริงๆ หลังจากที่ได้ขัดเกลาหญ้ามังกรยาจกเข้าไปแล้ว ร่างกายของเขาก็มีความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าสะพรึง เลือดเริ่มหยุดไหลและเส้นเลือดก็ค่อยๆปิดสนิทเพียงแค่ต้องรอเวลาเท่านั้น
“เอ๊ะ…ทำไมดวงจิตข้าถึงกลายเป็นแบบนี้ล่ะ?”
เจียงอี้มองไปที่ดวงจิตวิญญาณและตกตะลึงเล็กน้อย ตอนนี้ดวงจิตหลักของเขาใหญ่กว่าเดิมถึงสองเท่าและดวงจิตรูปดาบของเขาก็กลายเป็นหม้อสามขา
การเพิ่มขนาดดวงจิตเป็นเรื่องปกติมากเนื่องจากมันจะขยายตัวเรื่อยๆตลอดในช่วงวิวัฒนาการ แต่ทำไมมันถึงเปลี่ยนรูปร่างไป? มันกลายเป็นหม้อสามขาที่แปลกประหลาดจริงๆหรือ?
“หม้อสามขา? สามขานั้นมั่นคงที่สุด หรือดวงจิตของข้าเปลี่ยนรูปเพราะใจข้านั้นแข็งแกร่งและมั่นคงขึ้น? หม้อสามขานี่มั่นคงมาจริงๆและไม่มีอะไรมาเปลี่ยนใจและดวงจิตข้าได้!”
เจียงอี้ผุดความคิดขึ้นมาขณะที่เขากระพริบตา ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงเผ่าอีกาทองคำที่อยู่ด้านนอกซึ่งล้วนมีสามขาทั้งนั้น หรือเป็นเพราะว่าสมาชิกเผ่าอีกาทองคำมีสามขาจึงทำให้พวกเขาเข้าใจความสามารถเทพพลางตาในแดนลึกลับนี้ได้ง่ายกว่า?
“เอ่อ….ดวงจิตข้ามีรูปร่างที่เปลี่ยนไป ข้าสงสัยจริงๆว่าหลังจากที่ข้ากลับไปที่เมืองเทพประทานแล้ว ดาบวิญญาณข้าจะผุดแยกออกมาหรือไม่? ตอนนี้ดวงจิตหลักข้าเปลี่ยนเป็นหม้อสามขาแล้ว มันจะมีหม้อเล็กๆแยกออกมาในช่วงเทพสะอื้นได้ไหมนะ?”
เจียงอี้ไม่รู้และเขาก็ไม่คิดเรื่องนี้ในตอนนี้ เขาเพียงแค่นอนลงเงียบๆเพราะได้รับบาดเจ็บสาหัสจนแทบจะขยับนิ้วไม่ได้ด้วยซ้ำ เขาจึงไม่มีทางอื่นนอกจากรอให้ร่างกายฟื้นตัวด้วยตัวมันเองก่อน
หนึ่งวัน สองวัน…สามวัน!
ในที่สุดเจียงอี้ก็ขยับมือได้ เขาหยิบยาออกมาจากแหวนมิติแล้วโยนยาเข้าปากตัวเอง จากนั้นเขาก็หลับตาลงและพักฟื้นต่อ หลังจากหมุนเวียนแก่นแท้พลังไปไม่กี่รอบ ร่างกายของเขาก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ครึ่งวันต่อมา เขาก็พยายามปีนขึ้นมานั่งและพักฟื้นในท่าขัดสมาธิ
เจียงอี้ไม่ได้รีบร้อนออกจากแดนลึกลับเนื่องจากเจียงเสี่ยวนู๋จะต้องเป็นกังวลอย่างแน่นอนหากนางเห็นเขาอ่อนแอและเลือดไหลเช่นนี้ เขาจึงนั่งขัดสมาธิและพักฟื้นตลอดทั้งวัน และยืนขึ้นเมื่ออาการบาดเจ็บส่วนใหญ่เริ่มหายแล้ว
“ฮึฮึ มาลองใช้วิชาเทพพลางตาดีกว่า!”
เจียงอี้ยิ้มออกมาและร่างของเขาก็ส่องสว่างด้วยแสงสีขาว จากนั้นร่างของเขาก็เปลี่ยนไปด้วยความเร็วสูงซึ่งมองเห็นไม่ได้ด้วยตาเปล่าขณะที่พลังสายรุ้งเวียนไปมาอยู่ในร่างกายของเขา ร่างของเขาเปลี่ยนเป็นคนพุงพลุ้ย ขาของเขาก็หนาเตอะ ใบหน้าของเขาก็กลมดิ๊กและดวงตาเล็กๆของเขาก็เต็มไปด้วยความสดใส
การเปลี่ยนร่างใช้เวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่จากแหวนมิติและเดินไปยังค่ายกลเคลื่อนย้าย
…
บรึฟ!
กำแพงหุบเขาสว่างไสวด้วยแสงสีทองปนดำขณะที่ประตูสีทองเข้มค่อยๆเปิดออกมา เชียนเชียน, เทวาทมิฬและเจียงเสี่ยวนู๋ที่นั่งอยู่ตรงข้ามรู้เรื่องทันที พวกเขาทั้งหมดพากันวิ่งออกมาจากปราสาทและมองไปยังประตูนั้น
“เอ่อ…”
ดวงตาของทั้งสามหดลงพร้อมๆกันขณะที่เจียงเสี่ยวนู๋มีท่าทีราวกับเห็นผี มีก้อนไขมันบินบินออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้าย และจริงๆแล้วนั่นคือเฉียนว่านก้วน!?
เจียงเสี่ยวนู๋เหลือบมองอยู่สามครั้งและหลังจากที่นางแน่ใจแล้วว่าไม่ผิด นางก็ตะโกนออกมา “โถ่เจ้าอ้วน ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่ล่ะ? แล้วนายน้อยอยู่ไหน?”
สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเชียนเชียนกวาดไปที่คนตรงหน้าและมั่นใจว่ากลิ่นอายดวงจิตนั้นเหมือนกับเฉียนว่านก้วนทุกประการ และตันเทียนก็ไม่ใช่ตันเทียนแปลกๆของเจียงอี้อีกต่อไป ความแข็งแกร่งของเขาไม่ต่างไปจากเฉียนว่านก้วนเลย ใบหน้าอันมีเสน่ห์ของนางตกตะลึงขณะที่นางถอนหายใจและเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ท่วมท้น “เก่งกาจจริงๆ!”
นางรู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่เฉียนว่านก้วนจะอยู่ที่นี่ หากไม่มีพวกเขา แม้แต่ขอบเขตกึ่งเทพก็ไม่สามารถเข้ามายังส่วนลึกของทะเลลึกได้ บุคคลนี้ต้องเป็นร่างแปลงของเจียงอี้อย่างแน่นอน
การแสดงออกของเทวาทมิฬเองก็เผยรอยยิ้มที่หายากขณะที่เขาพยักหน้าและยกย่องว่า “ฮึฮึ เจ้าหนู ไม่เลวเลย!”
ฟรึ่บ!
เมื่อเจ้าอ้วนบินมา เขาก็เอื้อมมือไปลูบหัวเจียงเสี่ยวนู๋และไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่ยิ้มและมองพวกเขา เจียงเสี่ยวนู๋จึงสังเกตเห็นบางสิ่งขณะที่นางดึงมือของเขาแล้วพูดว่า “ไม่ใช่สิ ท่านไม่ใช่เจ้าอ้วน ท่านคือนายน้อย!” “ฮึฮึ!”
ร่างของเจียงอี้เปล่งประกายด้วยแสงสีขาวขณะที่ร่างกายของเขากระดุกกระดกและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และฟื้นคืนรูปลักษณ์เดิมของเขา เขาลูบหัวเจียงเสี่ยวนู๋และพูดว่า “เจ้าเด็กโง่ แม้แต่นายน้อยของตัวเองเจ้าก็ยังจำไม่ได้หรือ?”
เจียงเสี่ยวนู๋หน้าแดงซึ่งมันทำให้เจียงอี้มีความมั่นใจยิ่งขึ้น หากเจียงเสี่ยวนู๋ที่โตมากับเขายังจำไม่ได้ และหากเทวาทมิฬที่เป็นเจ้าอสูรที่มีพลังเช่นนี้ก็ยังจำไม่ได้ตั้งแต่แรก นั่นก็หมายความว่า วิชาเทพพลางตานี้ท้าทายสวรรค์อย่างแท้จริง และมันยังหมายความว่า ในที่สุด….เขาก็จะได้ไปทวีปจักรพรรดิบูรพาเสียที
… “ฮึฮึ!”
ร่างของเจียงอี้เปล่งประกายด้วยแสงสีขาวขณะที่ร่างกายของเขากระดุกกระดกและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และฟื้นคืนรูปลักษณ์เดิมของเขา เขาลูบหัวเจียงเสี่ยวนู๋และพูดว่า “เจ้าเด็กโง่ แม้แต่นายน้อยของตัวเองเจ้าก็ยังจำไม่ได้หรือ?”
เจียงเสี่ยวนู๋หน้าแดงซึ่งมันทำให้เจียงอี้มีความมั่นใจยิ่งขึ้น หากเจียงเสี่ยวนู๋ที่โตมากับเขายังจำไม่ได้ และหากเทวาทมิฬที่เป็นเจ้าอสูรที่มีพลังเช่นนี้ก็ยังจำไม่ได้ตั้งแต่แรก นั่นก็หมายความว่า วิชาเทพพลางตานี้ท้าทายสวรรค์อย่างแท้จริง และมันยังหมายความว่า ในที่สุด….เขาก็จะได้ไปทวีปจักรพรรดิบูรพาเสียที
…