เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 869 กระดิ่งฉี่หลิง
ในอีกสองวัน เจียงอี้ก็ดูแลทุกคน เขาจะดื่มกับเฉียนว่านก้วน, จ้านอู๋ซวงและเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานในช่วงระหว่างวันขณะที่เขาจะมานอนกับเฟิ่งหลวนและชิงหยีในช่วงกลางคืน
เฟิ่งหลวนและชิงหยีนั้นป่าเถื่อนมาก ในช่วงสองวันนี้ พวกนางคลอเคลียกับเจียงอี้ทุกคืนและจากที่พวกนางไม่ค่อยทดลองท่าใหม่ๆ พวกนางก็มีความกระตือรือร้นในช่วงคืนนี้เป็นพิเศษ และพวกเขาก็ได้เพลิดเพลินกันอย่างสุขสม
เจียงอี้รู้ว่าทั้งคู่กลัวว่าเขาจะไม่กลับมา พวกนางจึงสนองความต้องการของตัวเอง หญิงสาวทั้งสองนี้ไม่ได้ขอสถานะใดๆและคิดว่าตัวเองเป็นนางสนมและสาวใช้ แต่เจียงอี้ก็ไม่เคยปฏิบัติกับพวกนางเหมือนนางสนมเลย และยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเป็นสาวใช้ด้วย
ในวันที่สาม เจียงอี้ก็ตัดสินใจที่จะออกเดินทาง ไม่เช่นนั้น เขาเกรงว่าตัวเองจะไม่อยากจากไป เมื่อท้องฟ้าใกล้สว่าง เขาก็ค่อยๆขยับตัวออกจากสาวงามทั้งสองข้างกาย เขาแต่งตัวอย่างเหมาะสมและกำลังเตรียมออกไปดื่มครั้งสุดท้ายกับเฉียนว่านก้วนและจ้านอู๋ซวงก่อนที่จะใช้วิชาหลีกสวรรค์ออกเดินทาง
เขาค่อยๆเดินออกมา และหลังจากที่เขาออกจากห้องไปแล้ว ทั้งเฟิ่งหลวนและชิงหยีก็ลืมตาขึ้นมามองหน้ากันโดยไม่ได้พูดอะไร และหางตาของพวกนางก็หลั่งรินไปด้วยหยดน้ำตาเงียบๆ
“เอ๊ะ?”
เจียงอี้อยู่ในลานด้านในของปราสาทเฉียนและในขณะที่เขาออกมาจากห้อง เขาก็เห็นร่างสีเหลืองนั่งอยู่ท่ามกลางดอกไม้ เขามองเห็นหลังของนางลางๆและเหมือนว่าเขาจะได้กลิ่นอายของความเดียวดาย
“เจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานตื่นเช้าจัง?”
เขาเหลือบมองเล็กน้อยและเดินเข้าไปในสวน จากนั้นหญิงงามที่นั่งอยู่ก็หันมามองเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เมื่อนางเห็นเจียงอี้ สีหน้าที่เป็นกังวลของนางก็กลับเบ่งบานไปด้วยรอยยิ้มทันที
“น้องเล็ก เจ้าตื่นแล้วหรือ?”
หนานกงฉี่หลิงยืนขึ้นมา ปีนี้นางน่าจะอายุราวๆยี่สิบเจ็ดหรือยี่สิบแปดปีแล้ว แต่ใบหน้าและเรือนร่างของนางก็ยังไม่มีร่องรอยของอายุที่มากขึ้น แต่กลับทำให้นางดูเหมือนผลไม้สุกงอมที่ส่งกลิ่นอันน่าเย้ายวนโดยเฉพาะก้อนเต้าทั้งสองที่อยู่ด้านหลังกระดิ่งของนาง และเมื่อมันสะท้อนกับแสงอาทิตย์ยามเช้า มันก็ทำให้หน้าอกของนางนั้นดูโดดเด่นยิ่งขึ้น
“เจ๊ใหญ่ ท่านตื่นเช้ากว่าข้าเสียอีก”
เจียงอี้ยิ้มจางๆและเห็นถ้วยชาอยู่ที่ศาลา เขาจึงหยิบมันมาล้างปากในยามเช้า จากนั้นเขาก็รินชาอีกถ้วยแล้วดื่มลงไป และเมื่อเขาวางถ้วยลง เขาก็เห็นใบหน้าที่แดงก่ำของฉี่หลิงที่ไม่กล้ามองมาที่เขา
เจียงอี้จึงเอื้อมมือไปแตะหน้าผากของนางและถามอย่างเป็นห่วงว่า “เจ้าเป็นอะไรไปเจ๊ใหญ่?”
ขณะที่มือของเจียงอี้สัมผัสนาง ร่างอันบอบบางของนางก็สั่นสะท้านขณะที่นางก้มหัวลงและพูดอุบอิบว่า “ข้า…เพิ่งจะดื่มชาจากถ้วยนั้นไป”
“เอ่อ….”
ใบหน้าของเจียงอี้เริ่มแดงก่ำขณะที่เขาถูจมูกอย่างเขินอายและหัวเราะอย่างซุกซนพร้อมกับพูดว่า “แล้วยังไงล่ะ? เจ๊ใหญ่ก็ไม่ใช่คนนอกอะไร เจ้าคงไม่เจ็บช้ำจากการเสียของนิดๆหน่อยๆให้น้องเล็กอย่างข้าหรอกใช่ไหม?”
“ฮุ๊ฟ!”
ฉี่หลิงหัวเราะเล็กน้อยและใบหน้าที่มีเสน่ห์ของนางก็แดงขึ้น เจียงอี้เหลือบมองนางและพบว่ามันดูน่าเขินอายนิดหน่อย ตอนที่พวกเขาพบกันครั้งแรกที่เมืองอัสนีฟ้ากระจ่าง เจียงอี้ก็ทำตัวเหมือนโจรและหลังจากนั้นเขาก็มักจะพูดจาโผงผางและหยอกล้อนาง ในตอนนั้นเขาไม่ได้คิดเรื่องอื่นใดเลยและคิดว่ามันเป็นเรื่องตลก แต่ในวันนี้ฉี่หลิงมีปฏิกิริยาค่อนข้างมากจึงทำให้เจียงอี้รู้สึกอาย
ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรจึงทำให้บรรยากาศชวนน่าอึดอัดขณะที่มีดวงตาที่มากล้นไปด้วยเสน่ห์ และเมื่อเขาเห็นกระดิ่งที่หน้าอกของนาง เขาก็รีบตบหัวตัวเองและพูดว่า “ไอ้หยา ดูความจำข้าสิ เจ๊ใหญ่ ข้ามีของขวัญที่ลืมให้เจ้า”
บรึฟ!
แหวนของเจียงอี้สว่างขึ้นขณะที่กระดิ่งวิญญาณอินทนิลปรากฏขึ้นในมือเขา มันเป็นกระดิ่งที่เจียงอี้ประมูลและมอบให้นางไปในตอนนั้น แต่ก็ถูกหนานกงหยุนยี่ปฏิเสธไป เขาลืมเรื่องนี้ไปสิ้นและเพิ่งจะนึกออกตอนนี้
“เจ๊ใหญ่ นี่กระดิ่งวิญญาณอินทนิลให้เจ้า”
เจียงอี้มอบกระดิ่งวิญญาณอินทนิลให้นาง และเมื่อฉี่หลิงมองมัน นางก็เผยความดีใจออกมาและมองไปที่เจียงอี้ขณะที่ใบหน้าที่งดงามของนางแดงขึ้น และนางก็พูดว่า “เจ้าช่วยสวมมันให้ข้าหน่อยได้ไหม?”
“ได้สิ!”
เจียงอี้วางกระดิ่งวิญญาณอินทนิลไว้บนโต๊ะหินและเอื้อมมือไปช่วยเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานถอดกระดิ่งที่นางสวมใส่อยู่ แต่ปมของกระดิ่งนั้นค่อนข้างซับซ้อนและเจียงอี้ก็ไม่กล้าจะฉีกสายนั้นทิ้งเช่นกัน เขาจึงพยายามแก้ปมนั้นแต่ก็ทำไม่สำเร็จ และมือของเขาก็เผลอไปสัมผัสที่ช่วงคอและไหล่ของนางเป็นครั้งคราว ทำให้นางเริ่มหายใจไม่เป็นจังหวะ
จนในที่สุดเจียงอี้ก็แก้ปมนั้นได้และช่วยเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานสวมกระดิ่งวิญญาณอินทนิล งานฝีมือของกระดิ่งวิญญาณอินทนิลนี้ดีกว่ากระดิ่งอันก่อนมากและสีม่วงก็ช่วยเสริมชุดสีเหลืองของนางทำให้ดูงดงามยิ่งขึ้น เจียงอี้มองไปยังกระดิ่งนั้นและพยักหน้า “น่าดูยิ่งนัก”
“อะไรน่าดูล่ะ?”
หนานกงฉี่หลิงเหลือบมองเจียงอี้และถามว่า “กระดิ่งที่น่าดู? หรือหน้าอกข้ากัน?” “เหอ….”
เจียงอี้มองเข้าไปในดวงตาของเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานและเบือนหน้าหนีขณะที่เขามีความผิดชอบชั่วดี จากนั้นเขาก็พูดว่า “ก็ดีทั้งคู่นั่นแหละน่า ฮึฮึ!”
“เจ้านี่มันชั่วช้าจริงๆ!”
แก้มของเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานแดงขึ้นทันทีขณะที่นางหันไปมองฟ้าอันมืดครึ้มและพูดอย่างเศร้าใจว่า “น้องเล็ก เจ้าเตรียมตัวจะไปวันนี้ใช่ไหม?”
เจียงอี้มองไปยังทิศตะวันออกพร้อมกับเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานและพูดขึ้นมาขณะที่มองดูพระอาทิตย์ขึ้น “ใช่แล้ว ข้าต้องไปไม่ช้าก็เร็ว ข้ามีบางสิ่งที่ต้องทำ ไม่ต้องห่วงไปหรอกเจ๊ใหญ่ ข้าจะกลับมาแน่นอน”
“อื้ม!”
เจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานเผยสีหน้าที่ซับซ้อนขณะที่นางจับมือของเจียงอี้และพูดว่า “เมื่อน้องเล็กให้ของขวัญข้า เช่นนั้นข้าเองก็จะให้ของขวัญแก่เจ้าด้วย เจ้าจะได้นึกถึงข้าเมื่อไปยังทวีปจักรพรรดิบูรพาแล้ว”
“ของขวัญอะไรกัน?”
เจียงอี้มองอย่างสงสัย จากนั้นฉี่หลิงก็ดึงเขาออกไปจากสวนอย่างรวดเร็ว เจียงอี้ก็ไม่ได้ถามอะไรมากนักและตามนางไปจนถึงห้องของนาง
บรึฟ!
หลังจากที่เข้ามาในห้องแล้ว ฉี่หลิงก็เปิดใช้อาคมยับยั้งและมองเจียงอี้อย่างมีเลศนัยและพูดว่า “น้องเล็ก หลับตาก่อนและอย่าแผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าด้วย”
“มันคืออะไรกัน?”
เจียงอี้ยิ่งอยากรู้มากกว่าเดิม แต่เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธคำขอของเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานได้และหลับตาลงอย่างเชื่อฟัง
ฉี่หลิงเองก็หลับตาลงเช่นกันขณะที่ขนตาของนางเองก็สั่นเครือเนื่องจากนางเองก็ประหม่าเหมือนกัน ทันใดนั้น นางก็ดึงที่คาดเอวออก ทำให้มันหลุดลงไปเงียบๆ จากนั้นนางก็ผลัดชุดสีเหลืองหลุดจากไหล่ของนางซึ่งเผยเรือนร่างที่น่าพิศวง
“กริ๊ง”
เมื่อเจียงอี้ได้ยินเสียงกระดิ่งอันแผ่วเบา เขาก็ลืมตาขึ้นมาเพราะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป และสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเขาก็ทำให้หลอดเลือดของเขาขยายตัวทันที….เพราะร่างกายของเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานนั้นเหลือเพียงผ้าบางๆและโปร่งแสงเท่านั้น ร่างอันไร้ที่ติ, มืออันบอบบางและขาที่ขาวราวหิมะของนางก็เผยออกมาอย่างเต็มที่ หน้าอกโตๆของนางเหมือนถูกปลดปล่อยออกมาจากพันธนาการขณะที่เจียงอี้เหมือนได้เห็นบางสิ่งที่เขาไม่ควรจะเห็นมัน
“อึก อึก…เจ๊ใหญ่ อย่าเป็นแบบนี้สิ มันไม่ดีนะ….”
เจียงอี้กลืนน้ำลายของเขาและเริ่มไปไม่ถูก ก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบ ฉี่หลิงก็หลับตาลงและกอดเอวของเขาไว้ ริมฝีปากของนางใกล้เข้ามาขณะที่มือข้างหนึ่งของนางก็ปลดสายรัดเอวของเจียงอี้และถอดเสื้อคลุมเขาออกอย่างรวดเร็ว
“น้องเล็ก ข้าไม่ได้ต้องการเป็นหญิงของเจ้าและไม่ได้ต้องการให้เจ้ารับผิดชอบด้วย ข้าเพียงแค่อยากมีความทรงจำที่วิเศษและเจ้าทำให้เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องชั่วข้ามคืนไปก็พอ ให้พี่สาวผู้นี้ได้กลายเป็นหญิงจริงๆ เพราะข้าเองก็ยังไม่เคยสัมผัสความรู้สึกที่จะกลายเป็นผู้หญิงเลย….”
เสียงของฉี่หลิงสั่นขณะที่นางพูดออกมา เจียงอี้ก็รู้สึกได้ว่ามีมือเลื่อนเข้าไปในกางเกงของเขาและมันก็มีความแข็งทื่อขึ้น เจียงอี้เองก็ไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไปขณะที่เขาอุ้มเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานไว้ที่เอวและเดินไปที่เตียง
ไม่นานนัก บรรยากาศภายในห้องก็เต็มไปด้วยความเร่าร้อนและเสียงกระดิ่งอันไพเราะที่ผสมผสานกับลมหายใจแผ่วเบาของหญิงสาวที่ก้องกังวานไปทั่วทั้งห้อง … …
เฟิ่งหลวนและชิงหยีนั้นป่าเถื่อนมาก ในช่วงสองวันนี้ พวกนางคลอเคลียกับเจียงอี้ทุกคืนและจากที่พวกนางไม่ค่อยทดลองท่าใหม่ๆ พวกนางก็มีความกระตือรือร้นในช่วงคืนนี้เป็นพิเศษ และพวกเขาก็ได้เพลิดเพลินกันอย่างสุขสม
เจียงอี้รู้ว่าทั้งคู่กลัวว่าเขาจะไม่กลับมา พวกนางจึงสนองความต้องการของตัวเอง หญิงสาวทั้งสองนี้ไม่ได้ขอสถานะใดๆและคิดว่าตัวเองเป็นนางสนมและสาวใช้ แต่เจียงอี้ก็ไม่เคยปฏิบัติกับพวกนางเหมือนนางสนมเลย และยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเป็นสาวใช้ด้วย
ในวันที่สาม เจียงอี้ก็ตัดสินใจที่จะออกเดินทาง ไม่เช่นนั้น เขาเกรงว่าตัวเองจะไม่อยากจากไป เมื่อท้องฟ้าใกล้สว่าง เขาก็ค่อยๆขยับตัวออกจากสาวงามทั้งสองข้างกาย เขาแต่งตัวอย่างเหมาะสมและกำลังเตรียมออกไปดื่มครั้งสุดท้ายกับเฉียนว่านก้วนและจ้านอู๋ซวงก่อนที่จะใช้วิชาหลีกสวรรค์ออกเดินทาง
เขาค่อยๆเดินออกมา และหลังจากที่เขาออกจากห้องไปแล้ว ทั้งเฟิ่งหลวนและชิงหยีก็ลืมตาขึ้นมามองหน้ากันโดยไม่ได้พูดอะไร และหางตาของพวกนางก็หลั่งรินไปด้วยหยดน้ำตาเงียบๆ
“เอ๊ะ?”
เจียงอี้อยู่ในลานด้านในของปราสาทเฉียนและในขณะที่เขาออกมาจากห้อง เขาก็เห็นร่างสีเหลืองนั่งอยู่ท่ามกลางดอกไม้ เขามองเห็นหลังของนางลางๆและเหมือนว่าเขาจะได้กลิ่นอายของความเดียวดาย
“เจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานตื่นเช้าจัง?”
เขาเหลือบมองเล็กน้อยและเดินเข้าไปในสวน จากนั้นหญิงงามที่นั่งอยู่ก็หันมามองเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เมื่อนางเห็นเจียงอี้ สีหน้าที่เป็นกังวลของนางก็กลับเบ่งบานไปด้วยรอยยิ้มทันที
“น้องเล็ก เจ้าตื่นแล้วหรือ?”
หนานกงฉี่หลิงยืนขึ้นมา ปีนี้นางน่าจะอายุราวๆยี่สิบเจ็ดหรือยี่สิบแปดปีแล้ว แต่ใบหน้าและเรือนร่างของนางก็ยังไม่มีร่องรอยของอายุที่มากขึ้น แต่กลับทำให้นางดูเหมือนผลไม้สุกงอมที่ส่งกลิ่นอันน่าเย้ายวนโดยเฉพาะก้อนเต้าทั้งสองที่อยู่ด้านหลังกระดิ่งของนาง และเมื่อมันสะท้อนกับแสงอาทิตย์ยามเช้า มันก็ทำให้หน้าอกของนางนั้นดูโดดเด่นยิ่งขึ้น
“เจ๊ใหญ่ ท่านตื่นเช้ากว่าข้าเสียอีก”
เจียงอี้ยิ้มจางๆและเห็นถ้วยชาอยู่ที่ศาลา เขาจึงหยิบมันมาล้างปากในยามเช้า จากนั้นเขาก็รินชาอีกถ้วยแล้วดื่มลงไป และเมื่อเขาวางถ้วยลง เขาก็เห็นใบหน้าที่แดงก่ำของฉี่หลิงที่ไม่กล้ามองมาที่เขา
เจียงอี้จึงเอื้อมมือไปแตะหน้าผากของนางและถามอย่างเป็นห่วงว่า “เจ้าเป็นอะไรไปเจ๊ใหญ่?”
ขณะที่มือของเจียงอี้สัมผัสนาง ร่างอันบอบบางของนางก็สั่นสะท้านขณะที่นางก้มหัวลงและพูดอุบอิบว่า “ข้า…เพิ่งจะดื่มชาจากถ้วยนั้นไป”
“เอ่อ….”
ใบหน้าของเจียงอี้เริ่มแดงก่ำขณะที่เขาถูจมูกอย่างเขินอายและหัวเราะอย่างซุกซนพร้อมกับพูดว่า “แล้วยังไงล่ะ? เจ๊ใหญ่ก็ไม่ใช่คนนอกอะไร เจ้าคงไม่เจ็บช้ำจากการเสียของนิดๆหน่อยๆให้น้องเล็กอย่างข้าหรอกใช่ไหม?”
“ฮุ๊ฟ!”
ฉี่หลิงหัวเราะเล็กน้อยและใบหน้าที่มีเสน่ห์ของนางก็แดงขึ้น เจียงอี้เหลือบมองนางและพบว่ามันดูน่าเขินอายนิดหน่อย ตอนที่พวกเขาพบกันครั้งแรกที่เมืองอัสนีฟ้ากระจ่าง เจียงอี้ก็ทำตัวเหมือนโจรและหลังจากนั้นเขาก็มักจะพูดจาโผงผางและหยอกล้อนาง ในตอนนั้นเขาไม่ได้คิดเรื่องอื่นใดเลยและคิดว่ามันเป็นเรื่องตลก แต่ในวันนี้ฉี่หลิงมีปฏิกิริยาค่อนข้างมากจึงทำให้เจียงอี้รู้สึกอาย
ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรจึงทำให้บรรยากาศชวนน่าอึดอัดขณะที่มีดวงตาที่มากล้นไปด้วยเสน่ห์ และเมื่อเขาเห็นกระดิ่งที่หน้าอกของนาง เขาก็รีบตบหัวตัวเองและพูดว่า “ไอ้หยา ดูความจำข้าสิ เจ๊ใหญ่ ข้ามีของขวัญที่ลืมให้เจ้า”
บรึฟ!
แหวนของเจียงอี้สว่างขึ้นขณะที่กระดิ่งวิญญาณอินทนิลปรากฏขึ้นในมือเขา มันเป็นกระดิ่งที่เจียงอี้ประมูลและมอบให้นางไปในตอนนั้น แต่ก็ถูกหนานกงหยุนยี่ปฏิเสธไป เขาลืมเรื่องนี้ไปสิ้นและเพิ่งจะนึกออกตอนนี้
“เจ๊ใหญ่ นี่กระดิ่งวิญญาณอินทนิลให้เจ้า”
เจียงอี้มอบกระดิ่งวิญญาณอินทนิลให้นาง และเมื่อฉี่หลิงมองมัน นางก็เผยความดีใจออกมาและมองไปที่เจียงอี้ขณะที่ใบหน้าที่งดงามของนางแดงขึ้น และนางก็พูดว่า “เจ้าช่วยสวมมันให้ข้าหน่อยได้ไหม?”
“ได้สิ!”
เจียงอี้วางกระดิ่งวิญญาณอินทนิลไว้บนโต๊ะหินและเอื้อมมือไปช่วยเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานถอดกระดิ่งที่นางสวมใส่อยู่ แต่ปมของกระดิ่งนั้นค่อนข้างซับซ้อนและเจียงอี้ก็ไม่กล้าจะฉีกสายนั้นทิ้งเช่นกัน เขาจึงพยายามแก้ปมนั้นแต่ก็ทำไม่สำเร็จ และมือของเขาก็เผลอไปสัมผัสที่ช่วงคอและไหล่ของนางเป็นครั้งคราว ทำให้นางเริ่มหายใจไม่เป็นจังหวะ
จนในที่สุดเจียงอี้ก็แก้ปมนั้นได้และช่วยเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานสวมกระดิ่งวิญญาณอินทนิล งานฝีมือของกระดิ่งวิญญาณอินทนิลนี้ดีกว่ากระดิ่งอันก่อนมากและสีม่วงก็ช่วยเสริมชุดสีเหลืองของนางทำให้ดูงดงามยิ่งขึ้น เจียงอี้มองไปยังกระดิ่งนั้นและพยักหน้า “น่าดูยิ่งนัก”
“อะไรน่าดูล่ะ?”
หนานกงฉี่หลิงเหลือบมองเจียงอี้และถามว่า “กระดิ่งที่น่าดู? หรือหน้าอกข้ากัน?” “เหอ….”
เจียงอี้มองเข้าไปในดวงตาของเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานและเบือนหน้าหนีขณะที่เขามีความผิดชอบชั่วดี จากนั้นเขาก็พูดว่า “ก็ดีทั้งคู่นั่นแหละน่า ฮึฮึ!”
“เจ้านี่มันชั่วช้าจริงๆ!”
แก้มของเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานแดงขึ้นทันทีขณะที่นางหันไปมองฟ้าอันมืดครึ้มและพูดอย่างเศร้าใจว่า “น้องเล็ก เจ้าเตรียมตัวจะไปวันนี้ใช่ไหม?”
เจียงอี้มองไปยังทิศตะวันออกพร้อมกับเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานและพูดขึ้นมาขณะที่มองดูพระอาทิตย์ขึ้น “ใช่แล้ว ข้าต้องไปไม่ช้าก็เร็ว ข้ามีบางสิ่งที่ต้องทำ ไม่ต้องห่วงไปหรอกเจ๊ใหญ่ ข้าจะกลับมาแน่นอน”
“อื้ม!”
เจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานเผยสีหน้าที่ซับซ้อนขณะที่นางจับมือของเจียงอี้และพูดว่า “เมื่อน้องเล็กให้ของขวัญข้า เช่นนั้นข้าเองก็จะให้ของขวัญแก่เจ้าด้วย เจ้าจะได้นึกถึงข้าเมื่อไปยังทวีปจักรพรรดิบูรพาแล้ว”
“ของขวัญอะไรกัน?”
เจียงอี้มองอย่างสงสัย จากนั้นฉี่หลิงก็ดึงเขาออกไปจากสวนอย่างรวดเร็ว เจียงอี้ก็ไม่ได้ถามอะไรมากนักและตามนางไปจนถึงห้องของนาง
บรึฟ!
หลังจากที่เข้ามาในห้องแล้ว ฉี่หลิงก็เปิดใช้อาคมยับยั้งและมองเจียงอี้อย่างมีเลศนัยและพูดว่า “น้องเล็ก หลับตาก่อนและอย่าแผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าด้วย”
“มันคืออะไรกัน?”
เจียงอี้ยิ่งอยากรู้มากกว่าเดิม แต่เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธคำขอของเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานได้และหลับตาลงอย่างเชื่อฟัง
ฉี่หลิงเองก็หลับตาลงเช่นกันขณะที่ขนตาของนางเองก็สั่นเครือเนื่องจากนางเองก็ประหม่าเหมือนกัน ทันใดนั้น นางก็ดึงที่คาดเอวออก ทำให้มันหลุดลงไปเงียบๆ จากนั้นนางก็ผลัดชุดสีเหลืองหลุดจากไหล่ของนางซึ่งเผยเรือนร่างที่น่าพิศวง
“กริ๊ง”
เมื่อเจียงอี้ได้ยินเสียงกระดิ่งอันแผ่วเบา เขาก็ลืมตาขึ้นมาเพราะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป และสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเขาก็ทำให้หลอดเลือดของเขาขยายตัวทันที….เพราะร่างกายของเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานนั้นเหลือเพียงผ้าบางๆและโปร่งแสงเท่านั้น ร่างอันไร้ที่ติ, มืออันบอบบางและขาที่ขาวราวหิมะของนางก็เผยออกมาอย่างเต็มที่ หน้าอกโตๆของนางเหมือนถูกปลดปล่อยออกมาจากพันธนาการขณะที่เจียงอี้เหมือนได้เห็นบางสิ่งที่เขาไม่ควรจะเห็นมัน
“อึก อึก…เจ๊ใหญ่ อย่าเป็นแบบนี้สิ มันไม่ดีนะ….”
เจียงอี้กลืนน้ำลายของเขาและเริ่มไปไม่ถูก ก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบ ฉี่หลิงก็หลับตาลงและกอดเอวของเขาไว้ ริมฝีปากของนางใกล้เข้ามาขณะที่มือข้างหนึ่งของนางก็ปลดสายรัดเอวของเจียงอี้และถอดเสื้อคลุมเขาออกอย่างรวดเร็ว
“น้องเล็ก ข้าไม่ได้ต้องการเป็นหญิงของเจ้าและไม่ได้ต้องการให้เจ้ารับผิดชอบด้วย ข้าเพียงแค่อยากมีความทรงจำที่วิเศษและเจ้าทำให้เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องชั่วข้ามคืนไปก็พอ ให้พี่สาวผู้นี้ได้กลายเป็นหญิงจริงๆ เพราะข้าเองก็ยังไม่เคยสัมผัสความรู้สึกที่จะกลายเป็นผู้หญิงเลย….”
เสียงของฉี่หลิงสั่นขณะที่นางพูดออกมา เจียงอี้ก็รู้สึกได้ว่ามีมือเลื่อนเข้าไปในกางเกงของเขาและมันก็มีความแข็งทื่อขึ้น เจียงอี้เองก็ไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไปขณะที่เขาอุ้มเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานไว้ที่เอวและเดินไปที่เตียง
ไม่นานนัก บรรยากาศภายในห้องก็เต็มไปด้วยความเร่าร้อนและเสียงกระดิ่งอันไพเราะที่ผสมผสานกับลมหายใจแผ่วเบาของหญิงสาวที่ก้องกังวานไปทั่วทั้งห้อง … …