เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 884 เข้าถึงอิทธิพล
“ลมดาราไม่มีผลกับม่านพลังเรือเลยจริงๆด้วย!”
ในตอนกลางคืน เจียงอี้หยุดฝึกฝน เขาเข้าสู่สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์เพื่อคอยดูม่านพลังของเรือลิขิตสวรรค์ เขาสัมผัสได้อย่างง่ายดายว่าลมดารานับไม่ถ้วนกำลังเคลื่อนผ่านม่านพลัง แต่ม่านพลังนี้ทรงพลังเกินไป และนอกจากนี้ สมาชิกตระกูลถังต่างก็ปล่อยแก่นแท้พลังเข้าไปในม่านพลังอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้มันไม่มีรอยขีดข่วนโดยสมบูรณ์
แต่แน่นอนว่าเรือลิขิตสวรรค์ก็ไม่กล้าบินสูงเกินไปในยามกลางคืน เพราะยิ่งสูงเท่าไหร่ ลมดาราก็ยิ่งแรงขึ้นเท่านั้น หากพวกเขาบินสูงไปสามสิบกิโลเมตร เจียงอี้ก็คิดว่าม่านพลังนี้จะแตกทันที
“บ่มเพาะพลังต่อดีกว่า”
เจียงอี้สำรวจระวางเรือของเขาและเห็นว่าถานไถชี่กำลังทานอาหารเย็นกับเด็กทั้งสองคนขณะที่อาคมยับยั้งถูกเปิดใช้ตั้งแต่เริ่ม ดังนั้นเขาจึงฝึกฝนได้อย่างสงบ
สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์นั้นลึกลับมาก เนื่องจากอาคมยับยั้งไม่สามารถปิดกั้นเขาได้ นอกจากนี้ เมื่อเขามองดูซ่งจงก่อนหน้านี้ อีกฝ่ายก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ แต่เจียงอี้ก็ไม่กล้าสอดแนมอย่างประมาทเนื่องจากเรือลิขิตสวรรค์นี้มีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลอยู่ และมันคงจะลำบากหากเขาสร้างความเข้าใจผิดโดยไม่ได้ตั้งใจ
หลังจากที่บินไปได้ห้าวัน เจียงอี้ก็สบายใจทุกสิ่ง เรือลิขิตสวรรค์ตระกูลถังนั้นปลอดภัยมากตามที่คาดเอาไว้ ไม่มีกองโจรใดกล้าโจมตีพวกเขาหลังจากที่เดินทางมากว่าหมื่นล้านกิโลเมตรเลย อันที่จริงพวกกองโจรนั้นจะหลีกเลี่ยงเรือลิขิตสวรรค์แต่ไกลเลยด้วยซ้ำ
ถานไถชี่และคนอื่นๆมีไหวพริบดีและไม่ได้ก้าวออกจากห้องโดยสารเลยแม้แต่ครั้งเดียว พวกเขามีอาหารมากมายอยู่ในแหวนมิติอยู่แล้วและเด็กๆทั้งสองก็ไม่ส่งเสียงใดๆเช่นกันและพากันเล่นอยู่ในห้องโดยสาร เจียงอี้เองก็จดจ่ออยู่กับการฝึกฝนแก่นแท้พลังและเข้าถึงสวรรค์สยบเพลิงอเวจี
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วและผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว
เรือลิขิตสวรรค์แล่นไปอย่างสงบและไม่พบอันตรายใดๆ เจียงอี้ถูกปลุกโดยข้อความจากหัวหน้าผู้คุมและเขาก็กลับไปที่ห้องโดยสารและเล่นกับเสี่ยวหยีครึ่งวัน หลังจากนั้น เขาก็ค่อนข้างพอใจเมื่อได้รู้ว่าถานไถชี่และทุกคนไม่ได้ออกจากที่นี่เลยตลอดทั้งเดือนนี้
มีนายน้อยมากมายในเรือลิขิตสวรรค์ลำนี้ แม้ว่าเรือจะมีกฎห้ามไม่ให้ใช้ความรุนแรง แต่หากถานไถชี่ออกไปโปรยเสน่ห์ไปทั่ว มันก็จะมีปัญหาขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
เจียงอี้ถามผู้คุมและพบว่าพวกเขากำลังจะออกจากเขตแดนริมน้ำในไม่กี่วันและเข้าเขตแดนสวรรค์ เมืองเพลิงสวรรค์อยู่ด้านตะวันออกกลางของเขตแดนสวรรค์ ทุกคนจะลงกลางทางที่เมืองมังกรสวรรค์และเปลี่ยนไปใช้เรือลิขิตสวรรค์ลำอื่น
มันเป็นเวลากลางคืนแล้วและเจียงอี้ก็กลับไปที่ห้องฝึกฝนต่อ ขอบเขตของเขามันอาจจะยากที่จะก้าวหน้าได้ แต่มันก็จะยากกว่าเดิมหากเขาไม่ฝึกฝนอยู่ในห้องนี้ ดังนั้นทุกวินาทีนั้นมีค่าสำหรับเขามาก
เจียงอี้ไม่ได้สนใจเรื่องภายนอกและฝึกฝนตลอด เขาลืมเรื่องเวลาและทุกสิ่งทุกอย่างไป จนกระทั่งสัปดาห์ต่อมา เขาก็ตื่นขึ้นอย่างกะทันหันขณะที่ถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายอันทรงพลังสองสาย
“หืม?”
ในตอนนี้เขาอยู่ในสภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์ เขาจึงรีบเพ่งดูทันที และหลังจากสังเกตการณ์ เขาก็อุ่นใจเล็กน้อย
ไม่มีใครโจมตีเรือลิขิตสวรรค์ขณะที่ยอดฝีมือสองคนกำลังสู้กันอยู่ไกลๆ พวกนั้นได้ปลดปล่อยกลิ่นอายออกมาอย่างสมบูรณ์ แรงกดดันอันน่าสยดสยองจึงปกคลุมเรือลิขิตสวรรค์ซึ่งทำให้เขารู้สึกตัว
ฟรึ่บ! ฟรั่บ!
ห้องโดยสารจำนวนนับไม่ถ้วนเปิดออกมาและผู้โดยสารจำนวนมากออกมาข้างนอกขณะที่รู้สึกตื่นกลัว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาตื่นตระหนกกับการปรากฏของกลิ่นอายที่ทรงพลัง ทุกคนถอนใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นทหารยืนนิ่งและไม่มีท่าทีตื่นตระหนกใดๆ
“ไม่ต้องตื่นกลัวไป เป็นเพียงยอดฝีมือระดับสี่ดาวสองคนเท่านั้น เมื่อมีตาเฒ่าอย่างข้าอยู่ที่นี่ แม้ว่าทั้งสองจะวางแผนโจมตีเรือลิขิตสวรรค์ แต่ข้าจะปราบปรามพวกนั้นได้ด้วยการพลิกฝ่ามือของข้า และอีกทั้งยังไม่มีผู้ใดกล้าโจมตีเรือลิขิตสวรรค์ของตระกูลถังด้วย!”
เสียงของผู้อาวุโสดังก้องเข้ามาในหูทุกคน เจียงอี้ส่งข้อความถึงซ่งจงทันทีและบอกให้พวกเขาอยู่ในนั้นกันต่อไป เจียงอี้ไม่ได้ออกจากห้องฝึกฝนลับและไม่หยุดบ่มเพาะแก่นแท้พลังของเขาเพราะข้อความที่ส่งมาจากชายชรานั้นให้ความรู้สึกที่น่ากลัวนัก และน่าจะด้อยกว่าเหลยกูเพียงเล็กน้อยและน่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับห้าดาว
“สี่ดาว?”
เจียงอี้นึกบางอย่างออกทันที เนื่องจากมียอดฝีมือสี่ดาวสองคนในการต่อสู้ เขาจึงสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อเข้าใจถึงพลังอิทธิพลและอาจเข้าใจอะไรบางสิ่งได้
เรือลิขิตสวรรค์ชะลอความเร็วและหยุดลง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีความตั้งใจที่จะให้แขกบนเรือและผู้คุมตระกูลถังสังเกตการต่อสู้นี้ ยอดฝีมือทั้งสองกำลังโจมตีกันอย่างเต็มกำลังและไม่ได้กักเก็บอะไรไว้เลย ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้สังเกตและเข้าถึงทักษะบางอย่างได้
เจียงอี้ไม่ได้สังเกตความสามารถของยอดฝีมือทั้งสองนี้ เขาอยู่ในสภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์และสัมผัสกลิ่นอายที่เปล่งออกมาจากทั้งสองคนอย่างระมัดระวัง จากนั้นเขาก็พยายามสัมผัสถึงอิทธิพลที่ปรากฏออกมา
มันเป็นผู้อาวุโสสองคนที่อยู่ในการต่อสู้และเบื้องล่างก็เต็มไปด้วยศพของจอมยุทธจำนวนมาก ไม่มีผู้ใดรู้ว่าพวกเขาเป็นสมาชิกตระกูลใดหรือผู้ใต้บัญชาตระกูลใด แต่พวกเขาทั้งสองต่างก็จดจ่ออยู่กับการต่อสู้อย่างดุเดือดและไม่ได้สนใจเรือลิขิตสวรรค์ที่อยู่ไกลจากพวกเขาเลย
ตูม! ตูม! ตูม!
ทั้งสองกลายเป็นกระแสแสงขณะที่พวกเขาเคลื่อนตัวและวาบไปมาอยู่บนท้องฟ้า หนึ่งในนั้นปล่อยลำแสงสีเขียวเข้มออกมาอย่างต่อเนื่องและการโจมตีทุกครั้งจะทำให้ลมรอบๆมีเสียงดัง ความเร็วของเขาน่ากลัวมากเช่นกันเพราะผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนปกตินั้นไม่สามารถเห็นร่างของเขาได้อย่างชัดเจนและจะเห็นเพียงภาพติดตาเท่านั้น
การจู่โจมของเขาทำให้เกิดพายุหมุนที่รุนแรงขึ้นขณะที่หินทั้งหมดที่ภูเขาเบื้องล่างถูกดูดกลืนและหมุนไปในท้องฟ้า ต้นไม้ใหญ่จำนวนมากก็ถูกถอนรากถอนโคนในเวลาเดียวกัน เห็นได้ชัดว่ายอดฝีมือผู้นี้ฝึกฝนรูปแบบเต๋าวายุ
ส่วนอีกคนก็ฝึกฝนรูปแบบเต๋าแห่งแสงขณะที่ร่างของเขาเป็นเหมือนดวงอาทิตย์ที่แผดเผาและทุกการโจมตีของเขาก็จะส่องสว่าง แสงเหล่านั้นส่องผ่านอย่างรวดเร็ว แต่พวกมันทั้งหมดก็ถูกผู้อาวุโสอีกคนหลบเลี่ยงได้ และเมื่อแสงเหล่านี้กระทบยอดเขาเบื้องล่าง มันทำให้ภูเขาพังทลายลงและเหลือแต่หลุมและหุบเหวลึก
“อิทธิพลคืออะไร? การปรากฏตัวของกลิ่นอาย? กลิ่นอายจากเลือด? ความกดดัน?”
เจียงอี้ไม่ได้สนใจรูปแบบเต๋าของยอดฝีมือและการโจมตีที่ถูกปล่อยออกมาขณะที่เขาคอยสัมผัสกลิ่นอาย, เลือดและความกดดันที่พวกเขาแผ่ออกมา ทั้งคู่มีกลิ่นอายที่ทรงพลังมากราวกับมังกรและช้าง เขาสัมผัสมันได้แต่ไกลและรู้สึกราวกับว่าดวงอาทิตย์ที่แผดเผาทั้งสองดวงกำลังโบยบินอยู่บนฟ้า
“ไม่! มันไม่ใช่กลิ่นอาย, เลือด หรือแรงกดดันเลย มันคือพลังของฟ้าดิน!”
เจียงอี้นึกถึงคำพูดของเอ๋าหลูและเขาก็เกิดแรงบันดาลใจขึ้นมา เขาเพิกเฉยต่อยอดฝีมือทั้งสองอย่างสมบูรณ์และสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงของพลังฟ้าดินรอบๆ และค่อยๆสังเกตที่มาของมัน
ฟ้าดินมีองค์ประกอบอยู่ในนั้นอยู่แล้ว อย่าง ลม ไฟ แสงสว่าง ความมืด และอื่นๆอีกมากมาย จอมยุทธฝึกฝนและซึมซับพลังฟ้าดิน เมื่อพวกเขาปลดปล่อยการโจมตีรูปแบบเต๋าที่พวกเขาเข้าใจจากพลังฟ้าดินมา ธาตุจากฟ้าดินจะมารวมตัวกันที่จอมยุทธ เช่นเดียวกับรูปแบบเต๋าวายุซึ่งจะดึงดูดลมโดยรอบและรวมเป็นการโจมตีที่ทรงพลัง
หากจอมยุทธทั่วไปต้องการสัมผัสถึงความแข็งแกร่งของศัตรู พวกเขาจะตัดสินจากกลิ่นอาย แรงกดดันและเลือด เมื่อฝ่ายศัตรูโจมตี พวกเขาจะพยายามกำหนดพลังการโจมตีของอีกฝ่ายทันที ทำไมพวกเขาถึงสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดินรอบๆ?
การใช้คำแนะนำของเอ๋าหลูและสภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์ ในตอนนี้เจียงอี้รู้สึกได้ถึงอิทธิพลที่ชัดเจน เมื่อผู้อาวุโสธาตุวายุปล่อยการโจมตีออกมา ธาตุลมรอบๆจะดึงดูดเขา และเมื่อผู้อาวุโสอีกคนปล่อยการโจมตีออกมา ธาตุแสงรอบๆก็จะดึงดูดเขา
“พวกเขาเป็นยอดฝีมือสี่ดาวจริงๆ!”
เจียงอี้สัมผัสอยู่เงียบๆและสังเกตเมื่อยอดฝีมือทั้งสองปล่อยการโจมตีออกมา พลังงานฟ้าดินที่อยู่รอบๆกว่าสองกิโลเมตรจะถูกผลกระทบไปด้วย ยอดฝีมือสามดาวจะมีอิทธิพลในรัศมีหนึ่งกิโลเมตร ขณะที่สี่ดาวจะเป็นสองเท่าของสามดาว
“นี่คืออิทธิพลนี่เอง!”
เจียงอี้เข้าถึงมันอีกครั้งและเข้าใจมันอย่างสมบูรณ์ เขาพึมพำอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินออกจากห้องลับไปที่ดาดฟ้า ในบรรดาสองคนนี้ หนึ่งในนั้นอาจเป็นยอดฝีมือด้านลม เจียงอี้เองก็เข้าถึงรูปแบบเต๋าวายุและหากเขาเข้าถึงอะไรได้บ้างก็คงจะดี
เจียงอี้เดินออกไปและเห็นว่าพระอาทิตย์ตกดินแล้ว เขาเหลือบมองอีกครั้งในการต่อสู้ที่ดุเดือดและพึมพำพร้อมขมวดคิ้ว “ฟ้าเริ่มมืดแล้ว และสองคนนี้ยังไม่หยุดอีก? พวกเขาไม่กลัวถูกลมดาราฆ่าเอาหรือ?”
ในตอนกลางคืน เจียงอี้หยุดฝึกฝน เขาเข้าสู่สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์เพื่อคอยดูม่านพลังของเรือลิขิตสวรรค์ เขาสัมผัสได้อย่างง่ายดายว่าลมดารานับไม่ถ้วนกำลังเคลื่อนผ่านม่านพลัง แต่ม่านพลังนี้ทรงพลังเกินไป และนอกจากนี้ สมาชิกตระกูลถังต่างก็ปล่อยแก่นแท้พลังเข้าไปในม่านพลังอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้มันไม่มีรอยขีดข่วนโดยสมบูรณ์
แต่แน่นอนว่าเรือลิขิตสวรรค์ก็ไม่กล้าบินสูงเกินไปในยามกลางคืน เพราะยิ่งสูงเท่าไหร่ ลมดาราก็ยิ่งแรงขึ้นเท่านั้น หากพวกเขาบินสูงไปสามสิบกิโลเมตร เจียงอี้ก็คิดว่าม่านพลังนี้จะแตกทันที
“บ่มเพาะพลังต่อดีกว่า”
เจียงอี้สำรวจระวางเรือของเขาและเห็นว่าถานไถชี่กำลังทานอาหารเย็นกับเด็กทั้งสองคนขณะที่อาคมยับยั้งถูกเปิดใช้ตั้งแต่เริ่ม ดังนั้นเขาจึงฝึกฝนได้อย่างสงบ
สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์นั้นลึกลับมาก เนื่องจากอาคมยับยั้งไม่สามารถปิดกั้นเขาได้ นอกจากนี้ เมื่อเขามองดูซ่งจงก่อนหน้านี้ อีกฝ่ายก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ แต่เจียงอี้ก็ไม่กล้าสอดแนมอย่างประมาทเนื่องจากเรือลิขิตสวรรค์นี้มีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลอยู่ และมันคงจะลำบากหากเขาสร้างความเข้าใจผิดโดยไม่ได้ตั้งใจ
หลังจากที่บินไปได้ห้าวัน เจียงอี้ก็สบายใจทุกสิ่ง เรือลิขิตสวรรค์ตระกูลถังนั้นปลอดภัยมากตามที่คาดเอาไว้ ไม่มีกองโจรใดกล้าโจมตีพวกเขาหลังจากที่เดินทางมากว่าหมื่นล้านกิโลเมตรเลย อันที่จริงพวกกองโจรนั้นจะหลีกเลี่ยงเรือลิขิตสวรรค์แต่ไกลเลยด้วยซ้ำ
ถานไถชี่และคนอื่นๆมีไหวพริบดีและไม่ได้ก้าวออกจากห้องโดยสารเลยแม้แต่ครั้งเดียว พวกเขามีอาหารมากมายอยู่ในแหวนมิติอยู่แล้วและเด็กๆทั้งสองก็ไม่ส่งเสียงใดๆเช่นกันและพากันเล่นอยู่ในห้องโดยสาร เจียงอี้เองก็จดจ่ออยู่กับการฝึกฝนแก่นแท้พลังและเข้าถึงสวรรค์สยบเพลิงอเวจี
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วและผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว
เรือลิขิตสวรรค์แล่นไปอย่างสงบและไม่พบอันตรายใดๆ เจียงอี้ถูกปลุกโดยข้อความจากหัวหน้าผู้คุมและเขาก็กลับไปที่ห้องโดยสารและเล่นกับเสี่ยวหยีครึ่งวัน หลังจากนั้น เขาก็ค่อนข้างพอใจเมื่อได้รู้ว่าถานไถชี่และทุกคนไม่ได้ออกจากที่นี่เลยตลอดทั้งเดือนนี้
มีนายน้อยมากมายในเรือลิขิตสวรรค์ลำนี้ แม้ว่าเรือจะมีกฎห้ามไม่ให้ใช้ความรุนแรง แต่หากถานไถชี่ออกไปโปรยเสน่ห์ไปทั่ว มันก็จะมีปัญหาขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
เจียงอี้ถามผู้คุมและพบว่าพวกเขากำลังจะออกจากเขตแดนริมน้ำในไม่กี่วันและเข้าเขตแดนสวรรค์ เมืองเพลิงสวรรค์อยู่ด้านตะวันออกกลางของเขตแดนสวรรค์ ทุกคนจะลงกลางทางที่เมืองมังกรสวรรค์และเปลี่ยนไปใช้เรือลิขิตสวรรค์ลำอื่น
มันเป็นเวลากลางคืนแล้วและเจียงอี้ก็กลับไปที่ห้องฝึกฝนต่อ ขอบเขตของเขามันอาจจะยากที่จะก้าวหน้าได้ แต่มันก็จะยากกว่าเดิมหากเขาไม่ฝึกฝนอยู่ในห้องนี้ ดังนั้นทุกวินาทีนั้นมีค่าสำหรับเขามาก
เจียงอี้ไม่ได้สนใจเรื่องภายนอกและฝึกฝนตลอด เขาลืมเรื่องเวลาและทุกสิ่งทุกอย่างไป จนกระทั่งสัปดาห์ต่อมา เขาก็ตื่นขึ้นอย่างกะทันหันขณะที่ถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายอันทรงพลังสองสาย
“หืม?”
ในตอนนี้เขาอยู่ในสภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์ เขาจึงรีบเพ่งดูทันที และหลังจากสังเกตการณ์ เขาก็อุ่นใจเล็กน้อย
ไม่มีใครโจมตีเรือลิขิตสวรรค์ขณะที่ยอดฝีมือสองคนกำลังสู้กันอยู่ไกลๆ พวกนั้นได้ปลดปล่อยกลิ่นอายออกมาอย่างสมบูรณ์ แรงกดดันอันน่าสยดสยองจึงปกคลุมเรือลิขิตสวรรค์ซึ่งทำให้เขารู้สึกตัว
ฟรึ่บ! ฟรั่บ!
ห้องโดยสารจำนวนนับไม่ถ้วนเปิดออกมาและผู้โดยสารจำนวนมากออกมาข้างนอกขณะที่รู้สึกตื่นกลัว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาตื่นตระหนกกับการปรากฏของกลิ่นอายที่ทรงพลัง ทุกคนถอนใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นทหารยืนนิ่งและไม่มีท่าทีตื่นตระหนกใดๆ
“ไม่ต้องตื่นกลัวไป เป็นเพียงยอดฝีมือระดับสี่ดาวสองคนเท่านั้น เมื่อมีตาเฒ่าอย่างข้าอยู่ที่นี่ แม้ว่าทั้งสองจะวางแผนโจมตีเรือลิขิตสวรรค์ แต่ข้าจะปราบปรามพวกนั้นได้ด้วยการพลิกฝ่ามือของข้า และอีกทั้งยังไม่มีผู้ใดกล้าโจมตีเรือลิขิตสวรรค์ของตระกูลถังด้วย!”
เสียงของผู้อาวุโสดังก้องเข้ามาในหูทุกคน เจียงอี้ส่งข้อความถึงซ่งจงทันทีและบอกให้พวกเขาอยู่ในนั้นกันต่อไป เจียงอี้ไม่ได้ออกจากห้องฝึกฝนลับและไม่หยุดบ่มเพาะแก่นแท้พลังของเขาเพราะข้อความที่ส่งมาจากชายชรานั้นให้ความรู้สึกที่น่ากลัวนัก และน่าจะด้อยกว่าเหลยกูเพียงเล็กน้อยและน่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับห้าดาว
“สี่ดาว?”
เจียงอี้นึกบางอย่างออกทันที เนื่องจากมียอดฝีมือสี่ดาวสองคนในการต่อสู้ เขาจึงสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อเข้าใจถึงพลังอิทธิพลและอาจเข้าใจอะไรบางสิ่งได้
เรือลิขิตสวรรค์ชะลอความเร็วและหยุดลง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีความตั้งใจที่จะให้แขกบนเรือและผู้คุมตระกูลถังสังเกตการต่อสู้นี้ ยอดฝีมือทั้งสองกำลังโจมตีกันอย่างเต็มกำลังและไม่ได้กักเก็บอะไรไว้เลย ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้สังเกตและเข้าถึงทักษะบางอย่างได้
เจียงอี้ไม่ได้สังเกตความสามารถของยอดฝีมือทั้งสองนี้ เขาอยู่ในสภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์และสัมผัสกลิ่นอายที่เปล่งออกมาจากทั้งสองคนอย่างระมัดระวัง จากนั้นเขาก็พยายามสัมผัสถึงอิทธิพลที่ปรากฏออกมา
มันเป็นผู้อาวุโสสองคนที่อยู่ในการต่อสู้และเบื้องล่างก็เต็มไปด้วยศพของจอมยุทธจำนวนมาก ไม่มีผู้ใดรู้ว่าพวกเขาเป็นสมาชิกตระกูลใดหรือผู้ใต้บัญชาตระกูลใด แต่พวกเขาทั้งสองต่างก็จดจ่ออยู่กับการต่อสู้อย่างดุเดือดและไม่ได้สนใจเรือลิขิตสวรรค์ที่อยู่ไกลจากพวกเขาเลย
ตูม! ตูม! ตูม!
ทั้งสองกลายเป็นกระแสแสงขณะที่พวกเขาเคลื่อนตัวและวาบไปมาอยู่บนท้องฟ้า หนึ่งในนั้นปล่อยลำแสงสีเขียวเข้มออกมาอย่างต่อเนื่องและการโจมตีทุกครั้งจะทำให้ลมรอบๆมีเสียงดัง ความเร็วของเขาน่ากลัวมากเช่นกันเพราะผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนปกตินั้นไม่สามารถเห็นร่างของเขาได้อย่างชัดเจนและจะเห็นเพียงภาพติดตาเท่านั้น
การจู่โจมของเขาทำให้เกิดพายุหมุนที่รุนแรงขึ้นขณะที่หินทั้งหมดที่ภูเขาเบื้องล่างถูกดูดกลืนและหมุนไปในท้องฟ้า ต้นไม้ใหญ่จำนวนมากก็ถูกถอนรากถอนโคนในเวลาเดียวกัน เห็นได้ชัดว่ายอดฝีมือผู้นี้ฝึกฝนรูปแบบเต๋าวายุ
ส่วนอีกคนก็ฝึกฝนรูปแบบเต๋าแห่งแสงขณะที่ร่างของเขาเป็นเหมือนดวงอาทิตย์ที่แผดเผาและทุกการโจมตีของเขาก็จะส่องสว่าง แสงเหล่านั้นส่องผ่านอย่างรวดเร็ว แต่พวกมันทั้งหมดก็ถูกผู้อาวุโสอีกคนหลบเลี่ยงได้ และเมื่อแสงเหล่านี้กระทบยอดเขาเบื้องล่าง มันทำให้ภูเขาพังทลายลงและเหลือแต่หลุมและหุบเหวลึก
“อิทธิพลคืออะไร? การปรากฏตัวของกลิ่นอาย? กลิ่นอายจากเลือด? ความกดดัน?”
เจียงอี้ไม่ได้สนใจรูปแบบเต๋าของยอดฝีมือและการโจมตีที่ถูกปล่อยออกมาขณะที่เขาคอยสัมผัสกลิ่นอาย, เลือดและความกดดันที่พวกเขาแผ่ออกมา ทั้งคู่มีกลิ่นอายที่ทรงพลังมากราวกับมังกรและช้าง เขาสัมผัสมันได้แต่ไกลและรู้สึกราวกับว่าดวงอาทิตย์ที่แผดเผาทั้งสองดวงกำลังโบยบินอยู่บนฟ้า
“ไม่! มันไม่ใช่กลิ่นอาย, เลือด หรือแรงกดดันเลย มันคือพลังของฟ้าดิน!”
เจียงอี้นึกถึงคำพูดของเอ๋าหลูและเขาก็เกิดแรงบันดาลใจขึ้นมา เขาเพิกเฉยต่อยอดฝีมือทั้งสองอย่างสมบูรณ์และสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงของพลังฟ้าดินรอบๆ และค่อยๆสังเกตที่มาของมัน
ฟ้าดินมีองค์ประกอบอยู่ในนั้นอยู่แล้ว อย่าง ลม ไฟ แสงสว่าง ความมืด และอื่นๆอีกมากมาย จอมยุทธฝึกฝนและซึมซับพลังฟ้าดิน เมื่อพวกเขาปลดปล่อยการโจมตีรูปแบบเต๋าที่พวกเขาเข้าใจจากพลังฟ้าดินมา ธาตุจากฟ้าดินจะมารวมตัวกันที่จอมยุทธ เช่นเดียวกับรูปแบบเต๋าวายุซึ่งจะดึงดูดลมโดยรอบและรวมเป็นการโจมตีที่ทรงพลัง
หากจอมยุทธทั่วไปต้องการสัมผัสถึงความแข็งแกร่งของศัตรู พวกเขาจะตัดสินจากกลิ่นอาย แรงกดดันและเลือด เมื่อฝ่ายศัตรูโจมตี พวกเขาจะพยายามกำหนดพลังการโจมตีของอีกฝ่ายทันที ทำไมพวกเขาถึงสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดินรอบๆ?
การใช้คำแนะนำของเอ๋าหลูและสภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์ ในตอนนี้เจียงอี้รู้สึกได้ถึงอิทธิพลที่ชัดเจน เมื่อผู้อาวุโสธาตุวายุปล่อยการโจมตีออกมา ธาตุลมรอบๆจะดึงดูดเขา และเมื่อผู้อาวุโสอีกคนปล่อยการโจมตีออกมา ธาตุแสงรอบๆก็จะดึงดูดเขา
“พวกเขาเป็นยอดฝีมือสี่ดาวจริงๆ!”
เจียงอี้สัมผัสอยู่เงียบๆและสังเกตเมื่อยอดฝีมือทั้งสองปล่อยการโจมตีออกมา พลังงานฟ้าดินที่อยู่รอบๆกว่าสองกิโลเมตรจะถูกผลกระทบไปด้วย ยอดฝีมือสามดาวจะมีอิทธิพลในรัศมีหนึ่งกิโลเมตร ขณะที่สี่ดาวจะเป็นสองเท่าของสามดาว
“นี่คืออิทธิพลนี่เอง!”
เจียงอี้เข้าถึงมันอีกครั้งและเข้าใจมันอย่างสมบูรณ์ เขาพึมพำอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินออกจากห้องลับไปที่ดาดฟ้า ในบรรดาสองคนนี้ หนึ่งในนั้นอาจเป็นยอดฝีมือด้านลม เจียงอี้เองก็เข้าถึงรูปแบบเต๋าวายุและหากเขาเข้าถึงอะไรได้บ้างก็คงจะดี
เจียงอี้เดินออกไปและเห็นว่าพระอาทิตย์ตกดินแล้ว เขาเหลือบมองอีกครั้งในการต่อสู้ที่ดุเดือดและพึมพำพร้อมขมวดคิ้ว “ฟ้าเริ่มมืดแล้ว และสองคนนี้ยังไม่หยุดอีก? พวกเขาไม่กลัวถูกลมดาราฆ่าเอาหรือ?”