เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 890 สาบานเลือดจักรพรรดิลี้ลับ
- Home
- เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
- บทที่ 890 สาบานเลือดจักรพรรดิลี้ลับ
ในเวลาเพียงสี่สิบห้านาทีต่อมา ไข่มุกของเจียงอี้ก็สว่างขึ้น หลังจากข้อความเสียงดังก้องอยู่ในหูของเขา เจียงอี้ก็ยืนขึ้นและพูดว่า “ไปกันเถอะ”
“ท่านใต้เท้า!”
ร่างอันบอบบางของถานไถชี่สั่นเทาเพราะความกลัวและกังวลขณะที่ซ่งจงยืนขึ้นมาและรู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน เจียงอี้จึงยิ้มจางๆและไม่ได้พูดอะไรขณะที่เขาเปิดประตูและเดินออกไป
“นายหญิง?”
ซ่งจงมองไปยังถานไถชี่ด้วยความตื่นตระหนกเล็กน้อยขณะที่ฝ่ายหลังกัดริมฝีปากของนางและมองแผ่นหลังเจียงอี้พร้อมกล่าวว่า “ไปกันเถอะ อย่างเลวรายที่สุดก็คงเป็นความตาย!”
ถานไถชี่ปล่อยทุกสิ่งและเดินตามเจียงอี้ออกไปข้างนอก ส่วนซ่งจงก็เป็นทาสวิญญาณของถานไถชี่ เขาจึงไม่ได้คิดอะไรอีก เขาจับหน้าออกตัวเองและเช็ดคราบเลือดที่มุมปากก่อนจะเดินออกไป
เมื่อเจียงอี้ออกจากโรงเตี๊ยม เขาก็ยิ้มอย่างเย็นชาหลังจากที่แผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไป หน่วยสอดแนมที่ถานไถหยาทิ้งไว้เริ่มทำหน้าที่และหนึ่งในนั้นก็หยิบป้ายส่งข้อความออกมาทันที
ซ่งจงรีบนำรถม้าศึกออกมาและหลังจากที่ถานไถชี่และเจียงอี้ขึ้นรถม้าศึกแล้ว เขาก็ขี่รถม้าศึกไปยังตำหนักเจ้าเมืองซึ่งอยู่ทางเหนือของจัตุรัส ระหว่างทาง พวกเขาเห็นทหารจำนวนนับไม่ถ้วนคอยมองรถม้าศึกนี้เพราะพวกเขาทั้งหมดได้รับข้อความและกำลังรอให้เจียงอี้ไปยังตำหนักเจ้าเมือง
ยิ่งพวกเขาเข้าใกล้ตำหนักเจ้าเมืองมากเท่าไหร่ ความเร็วของรถม้าศึกก็ยิ่งช้าลงเท่านั้น ซ่งจงรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เขาเห็นยอดฝีมือนับไม่ถ้วนรวมตัวกันอยู่นอกตำหนักเจ้าเมืองและมีขอบเขตเทียนจุนอย่างน้อยนับพันคน
ถานไถชี่ยังสังเกตเห็นยอดฝีมือที่มารวมตัวกันอยู่ด้านหน้าตำหนักเจ้าเมืองอย่างรวดเร็วและใบหน้าที่มีเสน่ห์ของนางก็แดงระเรื่อ นางกำชุดของนางไว้แน่นขณะที่หายใจถี่ขึ้น นางพร้อมที่จะทำทุกสิ่งในวันนี้และนางไม่เกรงกลัวความตาย แต่หากนางตายไป ลูกๆของนางจะต้องทุกข์ทรมานอย่างแน่นอน
ฟรึ่บ! ฟรั่บ! ฟรึ่บ!
ดูเหมือนว่าตระกูลถานไถจะสั่งขอบเขตเทียนจุนนับไม่ถ้วนให้มารวมตัวกันที่จัตุรัส ไม่ใช่แค่ตระกูลถานไถเท่านั้น แต่ยังมีตระกูลเล็กและตระกูลใหญ่อื่นๆมาที่นี่ด้วยเช่นกัน ผู้คนบนจัตุรัสรู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติและทุกคนก็รีบถอยห่างจากจัตุรัสไปซ่อนตามท้องถนน ตรอกซอยและโรงเตี๊ยมเพื่อรอดูเหตุการณ์อย่างรวดเร็ว
เจียงอี้มีท่าทีสงบราวกับว่าเขาไม่เห็นขอบเขตเทียนจุนเกือบหมื่นคนที่มารวมตัวกันหน้าตระกูลถานไถ อันที่จริงแล้ว…หากเขาต้องการสังหารจริงๆ คนนับหมื่นเหล่านี้ไม่พอที่จะสังหารเขาได้
รถม้าศึกอยู่ห่างจากตำหนักเจ้าเมืองราวสามกิโลเมตรและประตูก็ค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆ ขอบเขตเทียนจุนคอยกันประตูอยู่ทั้งสองด้านโดยอัตโนมัติขณะที่ผู้อาวุโสที่น่าเกรงขามและเด็กหนุ่มที่หน้าตามุ่งร้ายเดินออกมา คนผู้นั้นคือถานไถหยา
“ผู้ที่สวมชุดสีดำ เขาคือผู้อาวุโสโถงศึกของตระกูลถานไถ ถานไถอู๋ตี๋ เขาเป็นผู้ที่สนับสนุนถานไถหยาเพื่อขึ้นเป็นประมุขน้อยของตระกูล และอีกหนึ่งคนที่สวมชุดสีขาวเป็นประมุขตระกูลหัว และเขายังเป็นตาของถานไถหยาด้วย!”
ดวงตาของถานไถชี่เผยร่องรอยของความเกลียดชังขณะที่นางชี้ไปที่ทั้งสองพร้อมกับกระซิบเจียงอี้ เจียงอี้ยืนขึ้นและลงจากรถม้าศึกอย่างช้าๆและก้าวไปข้างหน้าสองก้าว เขายืนอยู่ที่ลานกว้างเพียงผู้เดียวและกวาดตามองยอดฝีมือนับหมื่นคนของตระกูลถานไถ จากนั้นเขาก็เย้ยหยันและพูดว่า “จัดการเรื่องราวใหญ่โตเพื่อต้อนรับใต้เท้าผู้นี้อย่างนี้เลย? ตระกูลถานไถของเจ้าทำได้เท่านี้เองหรือ?”
ถานไถหยาไม่กล้าพูดอะไรออกมา จากนั้นผู้อาวุโสโถงศึกของตระกูลถานไถก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ล้ำลึก “ขอทราบได้หรือไม่ว่าท่านเป็นผู้ใดกัน? เหตุใดจึงมาสร้างความวุ่นวายในเมืองเพลิงสวรรค์แห่งนี้? มันหมายความเช่นไรกัน?”
“เจ้าเป็นใคร?”
เจียงอี้ชำเลืองมองผู้อาวุโสอย่างเฉยเมยและพูดอย่างเย็นชา “เจ้าไม่มีคุณสมบัติจะมาพูดกับข้า เรียกประมุขตระกูลเจ้าออกมาซะ!”
“อวดดีนัก!”
“บังอาจ!”
“เจ้าคงเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้ว!”
สีหน้าของผู้คนนับไม่ถ้วนเปลี่ยนไปขณะที่พวกเขาตะโกนออกมา ถานไถหยาชี้ไปที่เจียงอี้และถานไถชี่ที่อยู่ในรถม้าศึกและตะโกนว่า “ไอ้สารเลว เจ้ากับนังโสเภณีนี่หลอกผู้คนไปทั่วและสังหารน้องชายข้า แล้วตอนนี้เจ้ายังกล้าฉีกหน้าท่านลุงสามของข้าอีก? ใครก็ได้ ไปจับตัวไอ้สารเลวนี่ซะ!”
บรึฟ!
แหวนแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์ของเจียงอี้สว่างขึ้นขณะที่ดาบเหล็กทมิฬและเกราะทมิฬปรากฏขึ้นบนร่างกายของเขา กลิ่นอายของเขาเปลี่ยนไปทันทีและมีพลังมหาศาลราวกับมังกรกำลังล้อมรอบจัตุรัสและขอบเขตเทียนจุนเอาไว้ทั้งหมด ดาบของเขาชี้ไปยังถานไถหยาที่อยู่แต่ไกลและพูดว่า “เศษสวะ ข้าขอท้าให้เจ้าพูดมันออกมาอีกคำหนึ่ง เจ้าเชื่อไหมว่าข้าจะบดขยี้เจ้าซะ?”
ดวงตานับไม่ถ้วนเผยความตกตะลึงออกมาขณะที่เหล่าขอบเขตเทียนจุนหลายคนถอยหลังกลับไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว และหน้าตาของผู้อาวุโสโถงศึกของตระกูลถานไถและประมุขตระกูลหัวต่างเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม พวกเขาอาจไม่ได้วิตกกังวลกับขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุด แต่หากเป็นผู้ที่มีสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์แฝงถึงสองชิ้น พวกเขาจึงต้องปฏิบัติเรื่องนี้อย่างจริงจัง
ฟรึ่บ! ฟรั่บ!
เงาทั้งสี่พุ่งออกมาจากลานตำหนักถานไถและลงมายืนอยู่นอกประตูตระกูลถานไถอย่างมั่นคง ผู้อาวุโสที่สวมชุดสีเทาทั้งสี่นี้มีกลิ่นอายที่ทรงพลังและอยู่ขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุด ทั้งสี่ไม่ได้พูดอะไรหลังจากที่ออกมาและยืนอยู่ข้างๆ ถานไถอู๋ตี๋
“ท่านใต้เท้า พ่อตาของข้าไม่ได้อยู่ในเมือง เขาไปยังเมืองแดนสวรรค์เจ้าค่ะ”
ข้อความเสียงของถานไถชี่ก้องอยู่ในหูของเจียงอี้และเขาก็นึกบางสิ่งขึ้นได้ แต่เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาและจ้องไปยังยอดฝีมือที่อยู่เบื้องหน้า
“ข้าคือ ถานไถอู๋ตี๋!” ผู้อาวุโสตระกูลถานไถป้องมือและกล่าวว่า “ประมุขของเราไม่อยู่ในเมืองและไปเยี่ยมประมุขอาณาเขตที่เมืองแดนสวรรค์ หากเจ้ามีสิ่งใดจะพูด เช่นนั้นก็พูดคุยกับข้าได้ แต่หากเจ้าต้องการยั่วยุตระกูลถานไถ เช่นนั้นเราก็จะขอเสี่ยงสู้ด้วย!”
ลักษณะการพูดของถานไถอู๋ตี๋ยังคงค่อนข้างอ่อนโยนเนื่องจากเจียงอี้มีสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์แฝงสองชิ้นขณะที่ขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดของพวกเขาไม่มีมันแม้แต่ชิ้นเดียว แค่เพียงชุดเกราะของเจียงอี้ ทุกคนก็ยากที่จะสังหารเขาแล้ว นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ถานไถอู๋ตี๋ไม่กล้าพูดก้าวร้าวเกินไป แต่เขายังได้ชี้ให้เจียงอี้ได้เห็นถึงความสัมพันธ์ของตระกูลถานไถกับประมุขอาณาเขตและจุดยืนของตระกูลถานไถด้วย
“ซ่งจง ถอยไป!”
เจียงอี้โบกมือของเขาขณะที่ดวงตาของซ่งจงเป็นประกายด้วยความลังเลใจ ซ่งจงหันกลับมามองถานไถชี่ขณะที่ฝ่ายหลังพยักหน้าจากนั้นซ่งจงก็ค่อยๆนำรถม้าศึกกลับไปด้านหลัง เจียงอี้เหวี่ยงดาบของเขาแล้วชี้ไปยังถานไถอู๋ตี๋ “ข้ามาที่นี่ในวันนี้เพื่อขอคำอธิบายจากตระกูลถานไถของเจ้า หากเจ้าไม่มีคำอธิบายมา เช่นนั้นเราจะสู้!”
บรึฟ!
ดาบหนักของเจียงอี้และชุดเกราะของเขาสว่างขึ้นและกลิ่นอายอันทรงพลังก็ปกคลุมไปทั่วทั้งจัตุรัสซึ่งสร้างความหวาดกลัวและทำให้จอมยุทธที่ด้อยกว่ารีบถอยห่างออกไป ไม่มีใครสงสัยในการแก้ปัญหาของเจียงอี้และมันเป็นไปได้ว่าข้อความที่ไม่พึงพอใจเพียงคำเดียวอาจทำให้การต่อสู้ปะทุขึ้นได้
“เราขอทราบชื่อของเจ้าได้หรือไม่? เหจุใดเจ้าจึงไร้เหตุผลเช่นนี้?”
ถานไถอู๋ตี๋และดวงตาของคนอื่นๆเต็มไปด้วยความเยือกเย็น ประมุขตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดไม่ได้อยู่ใกล้ๆและพวกเขาไม่กล้าต่อสู้โดยไม่ได้รับอนุญาต เจียงอี้ทำตัวเย่อหยิ่งและรูปลักษณ์ของเขาในตอนนี้นั้นไม่ใช่ชายผิวดำที่แข็งแกร่งอีกต่อไป แต่เป็นรุ่นเยาว์ที่ดูสะอาดตา
เขามาถึงขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดได้ในวัยเช่นนี้และยังมีสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์แฝงสองชิ้น มันจึงเป็นธรรมดาที่ ถานไถอู๋ตี๋จะวิตกเล็กน้อย จะเกิดอะไรขึ้นหากเจียงอี้เป็นทายาทจากตระกูลใหญ่?
ดังนั้นเขาจึงหยุดครู่หนึ่งและถามต่อว่า “ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าเจ้าต้องการคำอธิบายอะไร? ตระกูลถานไถของเราไม่ได้ทำให้เจ้าขุ่นเคืองใช่ไหม? แต่เจ้าเป็นผู้ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับสตรีในตระกูลของเราแทน?”
“ไอ้พวกเศษสวะ!”
เจียงอี้ระเบิดคำสบถออกมาขณะที่เขาสาปส่งเสียงดัง “ข้าไม่ได้ใส่ใจกับถานไถหยาของตระกูลเจ้าที่สังหารน้องชายตัวเองอย่างไร้ปรานีและพยายามครอบครองน้องสะใภ้ของตัวเอง ข้ามีจิตใจที่ดีพอที่ช่วยชีวิตคนในตระกูลเจ้าและยังพาพวกเขากลับมาส่งด้วยตัวเอง แต่ไอ้สารเลวของตระกูลเจ้ากลับต้องการใส่ร้ายข้าเรื่องการล่วงประเวณี? หากเจ้าไม่ประหารถานไถหยาในวันนี้ เช่นนั้นข้าจะลงมือเอง”
“ฮือฮา!”
คำพูดของเจียงอี้ทำให้เกิดความโกลาหล ถานไถหยาเป็นนายน้อยอันดับหนึ่งในเมืองและชื่อเสียงของเขาก็แย่มาตลอด เขากดขี่ทุกคนในเมืองมาโดยตลอด และตอนนี้เขายังสังหารน้องชายตัวเองและพยายามจะครอบครองน้องสะใภ้อีก?
“ใส่ร้ายกันชัดๆ! ไอบัดซบนี่กำลังใส่ร้ายข้า!” เมื่อถานไถหยาเห็นดวงตานับไม่ถ้วนจ้องมองมาที่เขา เขาก็คำรามออกมาทันทีขณะที่โกรธเคืองเป็นอย่างยิ่ง
“ใส่ร้าย?”
เจียงอี้เย้ยหยันและพูดว่า “เรามาทำคำสาบานเลือดจักรพรรดิลี้ลับด้วยกันดีไหม? หากข้าล่วงประเวณีน้องสะใภ้เจ้า ข้าจะตายอย่างอนาถ และหากเจ้าไม่สังหารน้องชายตัวเองและพยายามครอบครองน้องสะใภ้ของตัวเอง ข้าก็จะตายอย่างอนาถเช่นกัน ว่ายังไงล่ะ?”
“ท่านใต้เท้า!”
ร่างอันบอบบางของถานไถชี่สั่นเทาเพราะความกลัวและกังวลขณะที่ซ่งจงยืนขึ้นมาและรู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน เจียงอี้จึงยิ้มจางๆและไม่ได้พูดอะไรขณะที่เขาเปิดประตูและเดินออกไป
“นายหญิง?”
ซ่งจงมองไปยังถานไถชี่ด้วยความตื่นตระหนกเล็กน้อยขณะที่ฝ่ายหลังกัดริมฝีปากของนางและมองแผ่นหลังเจียงอี้พร้อมกล่าวว่า “ไปกันเถอะ อย่างเลวรายที่สุดก็คงเป็นความตาย!”
ถานไถชี่ปล่อยทุกสิ่งและเดินตามเจียงอี้ออกไปข้างนอก ส่วนซ่งจงก็เป็นทาสวิญญาณของถานไถชี่ เขาจึงไม่ได้คิดอะไรอีก เขาจับหน้าออกตัวเองและเช็ดคราบเลือดที่มุมปากก่อนจะเดินออกไป
เมื่อเจียงอี้ออกจากโรงเตี๊ยม เขาก็ยิ้มอย่างเย็นชาหลังจากที่แผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไป หน่วยสอดแนมที่ถานไถหยาทิ้งไว้เริ่มทำหน้าที่และหนึ่งในนั้นก็หยิบป้ายส่งข้อความออกมาทันที
ซ่งจงรีบนำรถม้าศึกออกมาและหลังจากที่ถานไถชี่และเจียงอี้ขึ้นรถม้าศึกแล้ว เขาก็ขี่รถม้าศึกไปยังตำหนักเจ้าเมืองซึ่งอยู่ทางเหนือของจัตุรัส ระหว่างทาง พวกเขาเห็นทหารจำนวนนับไม่ถ้วนคอยมองรถม้าศึกนี้เพราะพวกเขาทั้งหมดได้รับข้อความและกำลังรอให้เจียงอี้ไปยังตำหนักเจ้าเมือง
ยิ่งพวกเขาเข้าใกล้ตำหนักเจ้าเมืองมากเท่าไหร่ ความเร็วของรถม้าศึกก็ยิ่งช้าลงเท่านั้น ซ่งจงรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เขาเห็นยอดฝีมือนับไม่ถ้วนรวมตัวกันอยู่นอกตำหนักเจ้าเมืองและมีขอบเขตเทียนจุนอย่างน้อยนับพันคน
ถานไถชี่ยังสังเกตเห็นยอดฝีมือที่มารวมตัวกันอยู่ด้านหน้าตำหนักเจ้าเมืองอย่างรวดเร็วและใบหน้าที่มีเสน่ห์ของนางก็แดงระเรื่อ นางกำชุดของนางไว้แน่นขณะที่หายใจถี่ขึ้น นางพร้อมที่จะทำทุกสิ่งในวันนี้และนางไม่เกรงกลัวความตาย แต่หากนางตายไป ลูกๆของนางจะต้องทุกข์ทรมานอย่างแน่นอน
ฟรึ่บ! ฟรั่บ! ฟรึ่บ!
ดูเหมือนว่าตระกูลถานไถจะสั่งขอบเขตเทียนจุนนับไม่ถ้วนให้มารวมตัวกันที่จัตุรัส ไม่ใช่แค่ตระกูลถานไถเท่านั้น แต่ยังมีตระกูลเล็กและตระกูลใหญ่อื่นๆมาที่นี่ด้วยเช่นกัน ผู้คนบนจัตุรัสรู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติและทุกคนก็รีบถอยห่างจากจัตุรัสไปซ่อนตามท้องถนน ตรอกซอยและโรงเตี๊ยมเพื่อรอดูเหตุการณ์อย่างรวดเร็ว
เจียงอี้มีท่าทีสงบราวกับว่าเขาไม่เห็นขอบเขตเทียนจุนเกือบหมื่นคนที่มารวมตัวกันหน้าตระกูลถานไถ อันที่จริงแล้ว…หากเขาต้องการสังหารจริงๆ คนนับหมื่นเหล่านี้ไม่พอที่จะสังหารเขาได้
รถม้าศึกอยู่ห่างจากตำหนักเจ้าเมืองราวสามกิโลเมตรและประตูก็ค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆ ขอบเขตเทียนจุนคอยกันประตูอยู่ทั้งสองด้านโดยอัตโนมัติขณะที่ผู้อาวุโสที่น่าเกรงขามและเด็กหนุ่มที่หน้าตามุ่งร้ายเดินออกมา คนผู้นั้นคือถานไถหยา
“ผู้ที่สวมชุดสีดำ เขาคือผู้อาวุโสโถงศึกของตระกูลถานไถ ถานไถอู๋ตี๋ เขาเป็นผู้ที่สนับสนุนถานไถหยาเพื่อขึ้นเป็นประมุขน้อยของตระกูล และอีกหนึ่งคนที่สวมชุดสีขาวเป็นประมุขตระกูลหัว และเขายังเป็นตาของถานไถหยาด้วย!”
ดวงตาของถานไถชี่เผยร่องรอยของความเกลียดชังขณะที่นางชี้ไปที่ทั้งสองพร้อมกับกระซิบเจียงอี้ เจียงอี้ยืนขึ้นและลงจากรถม้าศึกอย่างช้าๆและก้าวไปข้างหน้าสองก้าว เขายืนอยู่ที่ลานกว้างเพียงผู้เดียวและกวาดตามองยอดฝีมือนับหมื่นคนของตระกูลถานไถ จากนั้นเขาก็เย้ยหยันและพูดว่า “จัดการเรื่องราวใหญ่โตเพื่อต้อนรับใต้เท้าผู้นี้อย่างนี้เลย? ตระกูลถานไถของเจ้าทำได้เท่านี้เองหรือ?”
ถานไถหยาไม่กล้าพูดอะไรออกมา จากนั้นผู้อาวุโสโถงศึกของตระกูลถานไถก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ล้ำลึก “ขอทราบได้หรือไม่ว่าท่านเป็นผู้ใดกัน? เหตุใดจึงมาสร้างความวุ่นวายในเมืองเพลิงสวรรค์แห่งนี้? มันหมายความเช่นไรกัน?”
“เจ้าเป็นใคร?”
เจียงอี้ชำเลืองมองผู้อาวุโสอย่างเฉยเมยและพูดอย่างเย็นชา “เจ้าไม่มีคุณสมบัติจะมาพูดกับข้า เรียกประมุขตระกูลเจ้าออกมาซะ!”
“อวดดีนัก!”
“บังอาจ!”
“เจ้าคงเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้ว!”
สีหน้าของผู้คนนับไม่ถ้วนเปลี่ยนไปขณะที่พวกเขาตะโกนออกมา ถานไถหยาชี้ไปที่เจียงอี้และถานไถชี่ที่อยู่ในรถม้าศึกและตะโกนว่า “ไอ้สารเลว เจ้ากับนังโสเภณีนี่หลอกผู้คนไปทั่วและสังหารน้องชายข้า แล้วตอนนี้เจ้ายังกล้าฉีกหน้าท่านลุงสามของข้าอีก? ใครก็ได้ ไปจับตัวไอ้สารเลวนี่ซะ!”
บรึฟ!
แหวนแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์ของเจียงอี้สว่างขึ้นขณะที่ดาบเหล็กทมิฬและเกราะทมิฬปรากฏขึ้นบนร่างกายของเขา กลิ่นอายของเขาเปลี่ยนไปทันทีและมีพลังมหาศาลราวกับมังกรกำลังล้อมรอบจัตุรัสและขอบเขตเทียนจุนเอาไว้ทั้งหมด ดาบของเขาชี้ไปยังถานไถหยาที่อยู่แต่ไกลและพูดว่า “เศษสวะ ข้าขอท้าให้เจ้าพูดมันออกมาอีกคำหนึ่ง เจ้าเชื่อไหมว่าข้าจะบดขยี้เจ้าซะ?”
ดวงตานับไม่ถ้วนเผยความตกตะลึงออกมาขณะที่เหล่าขอบเขตเทียนจุนหลายคนถอยหลังกลับไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว และหน้าตาของผู้อาวุโสโถงศึกของตระกูลถานไถและประมุขตระกูลหัวต่างเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม พวกเขาอาจไม่ได้วิตกกังวลกับขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุด แต่หากเป็นผู้ที่มีสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์แฝงถึงสองชิ้น พวกเขาจึงต้องปฏิบัติเรื่องนี้อย่างจริงจัง
ฟรึ่บ! ฟรั่บ!
เงาทั้งสี่พุ่งออกมาจากลานตำหนักถานไถและลงมายืนอยู่นอกประตูตระกูลถานไถอย่างมั่นคง ผู้อาวุโสที่สวมชุดสีเทาทั้งสี่นี้มีกลิ่นอายที่ทรงพลังและอยู่ขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุด ทั้งสี่ไม่ได้พูดอะไรหลังจากที่ออกมาและยืนอยู่ข้างๆ ถานไถอู๋ตี๋
“ท่านใต้เท้า พ่อตาของข้าไม่ได้อยู่ในเมือง เขาไปยังเมืองแดนสวรรค์เจ้าค่ะ”
ข้อความเสียงของถานไถชี่ก้องอยู่ในหูของเจียงอี้และเขาก็นึกบางสิ่งขึ้นได้ แต่เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาและจ้องไปยังยอดฝีมือที่อยู่เบื้องหน้า
“ข้าคือ ถานไถอู๋ตี๋!” ผู้อาวุโสตระกูลถานไถป้องมือและกล่าวว่า “ประมุขของเราไม่อยู่ในเมืองและไปเยี่ยมประมุขอาณาเขตที่เมืองแดนสวรรค์ หากเจ้ามีสิ่งใดจะพูด เช่นนั้นก็พูดคุยกับข้าได้ แต่หากเจ้าต้องการยั่วยุตระกูลถานไถ เช่นนั้นเราก็จะขอเสี่ยงสู้ด้วย!”
ลักษณะการพูดของถานไถอู๋ตี๋ยังคงค่อนข้างอ่อนโยนเนื่องจากเจียงอี้มีสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์แฝงสองชิ้นขณะที่ขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดของพวกเขาไม่มีมันแม้แต่ชิ้นเดียว แค่เพียงชุดเกราะของเจียงอี้ ทุกคนก็ยากที่จะสังหารเขาแล้ว นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ถานไถอู๋ตี๋ไม่กล้าพูดก้าวร้าวเกินไป แต่เขายังได้ชี้ให้เจียงอี้ได้เห็นถึงความสัมพันธ์ของตระกูลถานไถกับประมุขอาณาเขตและจุดยืนของตระกูลถานไถด้วย
“ซ่งจง ถอยไป!”
เจียงอี้โบกมือของเขาขณะที่ดวงตาของซ่งจงเป็นประกายด้วยความลังเลใจ ซ่งจงหันกลับมามองถานไถชี่ขณะที่ฝ่ายหลังพยักหน้าจากนั้นซ่งจงก็ค่อยๆนำรถม้าศึกกลับไปด้านหลัง เจียงอี้เหวี่ยงดาบของเขาแล้วชี้ไปยังถานไถอู๋ตี๋ “ข้ามาที่นี่ในวันนี้เพื่อขอคำอธิบายจากตระกูลถานไถของเจ้า หากเจ้าไม่มีคำอธิบายมา เช่นนั้นเราจะสู้!”
บรึฟ!
ดาบหนักของเจียงอี้และชุดเกราะของเขาสว่างขึ้นและกลิ่นอายอันทรงพลังก็ปกคลุมไปทั่วทั้งจัตุรัสซึ่งสร้างความหวาดกลัวและทำให้จอมยุทธที่ด้อยกว่ารีบถอยห่างออกไป ไม่มีใครสงสัยในการแก้ปัญหาของเจียงอี้และมันเป็นไปได้ว่าข้อความที่ไม่พึงพอใจเพียงคำเดียวอาจทำให้การต่อสู้ปะทุขึ้นได้
“เราขอทราบชื่อของเจ้าได้หรือไม่? เหจุใดเจ้าจึงไร้เหตุผลเช่นนี้?”
ถานไถอู๋ตี๋และดวงตาของคนอื่นๆเต็มไปด้วยความเยือกเย็น ประมุขตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดไม่ได้อยู่ใกล้ๆและพวกเขาไม่กล้าต่อสู้โดยไม่ได้รับอนุญาต เจียงอี้ทำตัวเย่อหยิ่งและรูปลักษณ์ของเขาในตอนนี้นั้นไม่ใช่ชายผิวดำที่แข็งแกร่งอีกต่อไป แต่เป็นรุ่นเยาว์ที่ดูสะอาดตา
เขามาถึงขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดได้ในวัยเช่นนี้และยังมีสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์แฝงสองชิ้น มันจึงเป็นธรรมดาที่ ถานไถอู๋ตี๋จะวิตกเล็กน้อย จะเกิดอะไรขึ้นหากเจียงอี้เป็นทายาทจากตระกูลใหญ่?
ดังนั้นเขาจึงหยุดครู่หนึ่งและถามต่อว่า “ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าเจ้าต้องการคำอธิบายอะไร? ตระกูลถานไถของเราไม่ได้ทำให้เจ้าขุ่นเคืองใช่ไหม? แต่เจ้าเป็นผู้ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับสตรีในตระกูลของเราแทน?”
“ไอ้พวกเศษสวะ!”
เจียงอี้ระเบิดคำสบถออกมาขณะที่เขาสาปส่งเสียงดัง “ข้าไม่ได้ใส่ใจกับถานไถหยาของตระกูลเจ้าที่สังหารน้องชายตัวเองอย่างไร้ปรานีและพยายามครอบครองน้องสะใภ้ของตัวเอง ข้ามีจิตใจที่ดีพอที่ช่วยชีวิตคนในตระกูลเจ้าและยังพาพวกเขากลับมาส่งด้วยตัวเอง แต่ไอ้สารเลวของตระกูลเจ้ากลับต้องการใส่ร้ายข้าเรื่องการล่วงประเวณี? หากเจ้าไม่ประหารถานไถหยาในวันนี้ เช่นนั้นข้าจะลงมือเอง”
“ฮือฮา!”
คำพูดของเจียงอี้ทำให้เกิดความโกลาหล ถานไถหยาเป็นนายน้อยอันดับหนึ่งในเมืองและชื่อเสียงของเขาก็แย่มาตลอด เขากดขี่ทุกคนในเมืองมาโดยตลอด และตอนนี้เขายังสังหารน้องชายตัวเองและพยายามจะครอบครองน้องสะใภ้อีก?
“ใส่ร้ายกันชัดๆ! ไอบัดซบนี่กำลังใส่ร้ายข้า!” เมื่อถานไถหยาเห็นดวงตานับไม่ถ้วนจ้องมองมาที่เขา เขาก็คำรามออกมาทันทีขณะที่โกรธเคืองเป็นอย่างยิ่ง
“ใส่ร้าย?”
เจียงอี้เย้ยหยันและพูดว่า “เรามาทำคำสาบานเลือดจักรพรรดิลี้ลับด้วยกันดีไหม? หากข้าล่วงประเวณีน้องสะใภ้เจ้า ข้าจะตายอย่างอนาถ และหากเจ้าไม่สังหารน้องชายตัวเองและพยายามครอบครองน้องสะใภ้ของตัวเอง ข้าก็จะตายอย่างอนาถเช่นกัน ว่ายังไงล่ะ?”