เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 894 ฉีเทียนเฉิน
สิบวันผ่านไปอย่างรวดเร็วและพวกเขาก็มาถึงเมืองธงทมิฬ เจียงอี้พยักหน้าเงียบๆขณะที่มองไปยังเมืองที่งดงามและใหญ่โตที่อยู่แต่ไกล ตระกูลฉีทรงพลังจริงๆและเมืองนี้น่าจะเล็กกว่าเมืองหลักเพียงนิดเดียว
“ถานไถชี่ เรามาถึงเมืองธงทมิฬแล้ว ภายภาคหน้าเจ้าจะอยู่อาศัยที่เมืองนี้ ไม่ต้องกังวล ข้ารับประกันได้ว่าเจ้าจะไม่ทรมานเมื่ออยู่ในเมืองนี้ ส่วนเสี่ยวเทียนและเสี่ยวหยีก็จะใช้ชีวิตได้อย่างดี!”
เจียงอี้ยืนขึ้นและพูดกับถานไถชี่ขณะที่ฝ่ายหลังส่ายหัวและพูดว่า “ท่านใต้เท้าเสวี่ย ข้าน้อยมีนามว่าหูตันนี เมื่อข้าไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลถานไถอีกต่อไป ในภายภาคหน้า ท่านสามารถเรียกข้าว่าตันนีได้เจ้าค่ะ”
“ตันนี…”
เจียงอี้ลูบจมูกของเขาและพยักหน้า “ไปกันเถอะ ข้ามีสัมพันธ์ที่ดีกับประมุขตระกูลฉีจะไม่มีผู้ใดกล้ารังแกเจ้าในตระกูลฉี”
ขณะที่เรือลิขิตสวรรค์ค่อยๆเคลื่อนเข้าสู่เมือง กำแพงเมืองก็ปิดลง จากนั้นเรือลิขิตสวรรค์ก็หยุดลงที่จัตุรัสใจกลางเมือง จากนั้นเจียงอี้ก็นำทุกคนบินลงไปยังจัตุรัส
จัตุรัสนั้นเต็มไปด้วยผู้คนและผู้ที่โดดเด่นที่สุดคือกลุ่มของกองทัพธงทมิฬ ดวงตาของเจียงอี้เหลือบไปเห็นชายวัยกลางคนที่แข็งแรงที่ด้านหน้ากองทัพธงทมิฬ ดวงตาของพวกเขาเผยร่องรอยของความหลักแหลมและด้วยการโบกมือของชายวัยกลางคน ทหารทัพธงทมิฬหลายพันคนที่อยู่ด้านหลังเขาก็คุกเข่าลงข้างหนึ่งพร้อมตะโกนว่า “ยินดีต้อนรับใต้เท้าเสวี่ยขอรับ!”
“ยินดีต้อนรับใต้เท้าเสวี่ยขอรับ!”
ผู้คนนับแสนในจัตุรัสคุกเข่าลงและตะโกนออกมา เสียงของพวกเขาดังก้องไปทั่วเมืองธงทมิฬและทำให้เมืองสั่นเทาเล็กน้อย
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” ชายที่ดูกำยำอีกคนที่อยู่อีกฝั่งหัวเราะอย่างเต็มที่ “สหายเก่าเสวี่ยอี ไม่ได้เจอกันมากว่าสามสิบปีแล้วแต่เจ้ายังหล่อเหลาเหมือนเคย เจ้าคงต้องสอนการรักษาความเยาว์วัยให้ข้าเสียหน่อยแล้ว”
เจียงอี้ไม่จำเป็นต้องส่งข้อความถามก็รู้ว่านี่คือประมุขตระกูลฉี ฉีเทียนเฉิน เจียงอี้เผยรอยยิ้มกว้างออกมาขณะที่เขาเดินไปพร้อมกับตอบว่า “พี่ใหญ่ เจ้าเองก็ไม่ได้เปลี่ยนไปนักในช่วงสามสิบปีมานี้ เป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆที่ได้เห็นตระกูลฉีเลื่องชื่อและมีเกียรติเช่นนี้ในการดูแลของเจ้า”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ฉีเทียนเฉินจับมือเจียงอี้อย่างสนิทสนมและพาเขาเข้าไปในตำหนักเจ้าเมือง จากนั้นเขาก็พูดอย่างกระตือรือร้นว่า “เราไม่ได้เจอกันมาสามสิบปีแล้ว คราวนี้เจ้าจะต้องอยู่กับข้าสักสองสามปีเสียหน่อยแล้ว”
“ก็ได้ ก็ได้!”
เจียงอี้และฉีเทียนเฉินแสดงละครมาตลอดทางผ่านตำหนักเจ้าเมืองและมาถึงลานตำหนักของตระกูลฉี ถานไถชี่และคนอื่นๆได้รับการดูแลจากคนของฉีเทียนเฉินขณะที่เจียงอี้ถูกพาไปยังปราสาทและในที่สุดเขาก็เข้าห้องลับไป
เมื่อเข้าไปในห้องลับ อาคมยับยั้งก็ถูกเปิดใช้งาน จากนั้นฉีเทียนเฉินก็คุกเข่าลงข้างหนึ่งพร้อมตะโกนออกมา “ฉีเทียนเฉินคารวะนายน้อยเจียง!”
“ลุกขึ้นเถอะ ลุกขึ้น!”
เจียงอี้พยุงฉีเทียนเฉินขึ้นมาอย่างรวดเร็ว บุคคลนี้เป็นยอดฝีมือหกดาว หากเขามาจากเผ่าพันธุ์ปีศาจหรืออสูร เจียงอี้คงไม่คิดอะไรมากนัก แต่เจียงอี้ไม่กล้าที่จะรับมารยาทเช่นนี้จากมนุษย์
เจียงอี้ไม่แปลกใจที่ฉีเทียนเฉินรู้ตัวตนของเขาเนื่องจากฉีเทียนเฉินผู้นี้น่าจะเป็นหมากตัวสำคัญของจักรพรรดิแห่งเงา หากพวกเขาไม่แจ้งข้อมูลเช่นนี้ให้เขารู้ ฉีเทียนเฉินคงไม่สามารถจัดการร่วมมือกับเจียงอี้ได้อย่างถูกต้องนัก
เจียงอี้หยุดไปชั่วขณะและถามอย่างสงสัยว่า “พี่ใหญ่เทียนเฉิน มีคนกี่คนในทวีปจักรพรรดิบูรพารู้ถึงตัวตนของข้า?”
“สามขอรับ!”
ฉีเทียนเฉินตอบด้วยความเคารพ “นายน้อยไม่ต้องกังวลไป อีกสองคนและข้านั้นจะไม่เปิดเผยตัวตนของท่าน”
“ฮ่าฮ่า แน่นอนอยู่แล้ว”
เจียงอี้พยักหน้า เขามั่นใจมากกับวิธีการสั่งการของจักรพรรดิแห่งเงา มีเพียงหมากรุกสำคัญสามชิ้นที่ทรงพลังที่สุดเท่านั้นที่จะรู้ถึงตัวตนของเขา และความน่าจะเป้นที่ตัวตนของเขาจะถูกเปิดเผยนั้นแทบจะเป็นศูนย์
เจียงอี้ถามอีกครั้งว่า “เหตุการณ์ในเมืองเพลิงสวรรค์นั้นจะนำปัญหาใหญ่โตมาสู่เจ้าหรือเปล่า?”
“ไม่หรอก ไม่หรอก”
ฉีเทียนเฉินพูดราวกับว่าเขาไม่ได้สนใจมากนัก “เบื้องบนได้รับสินบนไปแล้วและส่วนใหญ่ก็มักจะส่งนักโทษประหารไม่กี่คนไปรับบาป ถานไถหงไม่ใช่คนสำคัญอะไรนักและถึงเขาถูกสังหารก็ยังไม่เป็นอะไร”
“ก็ดี!”
เจียงอี้โล่งใจขึ้นมา จากนั้นเขาก็พูดทันทีว่า “ข้าพาคนไม่กี่คนมาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ ข้าคงต้องรบกวนเจ้าดูแลเด็กทั้งสองแล้ว ข้าจะแอบไปยังเขตแดนอรหังในอีกสองวันข้างหน้า”
“อื้ม นายน้อยไม่ต้องกังวลและไปได้ทุกเมื่อที่ท่านต้องการ เรื่องขององค์หญิงเชียนเชียนถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด”
ฉีเทียนเฉินพูดด้วยท่าทีเคร่งขรึมว่า “ซากปรักหักพังสลายบาปนั้นเป็นสถานที่ที่อันตรายมาก เมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าจะส่งคนบางคนไปคอยช่วยนายน้อย แต่ผู้ที่มีอายุมากกว่าสามสิบปีจะไม่สามารถเข้าไปยังซากปรักหักพังสลายบาปได้ ดังนั้นคนที่ข้าจะส่งไปคงช่วยอะไรไม่ได้มากนัก ทุกสิ่งยังต้องพึ่งนายน้อยอยู่ขอรับ” “ผู้ที่มีอายุเกินสามสิบไม่สามารถเข้าไปได้?”
เจียงอี้เข้าใจได้ทันที ไม่แปลกใจที่ผู้ที่ทรงพลังอย่างฉีเทียนเฉินไม่สามารถไปนำกล้วยไม้เขี้ยวเพลิงมาได้ เจียงอี้พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ส่งข้อมูลของซากปรักหักพังสลายบาปมาให้ข้าหน่อย นอกจากนี้ เจ้ายืนยันแล้วหรือไม่ว่าจีทิงยวี่จะไปเมืองจักรพรรดิอรหัง?”
“ได้รับการยืนยันแล้วขอรับ!”
ฉีเทียนเฉินตอบอย่างหนักแน่นว่า “หวู่นี่แวะอยู่ที่เมืองหญ้าทึบเป็นเวลาสองวันในระหว่างการเดินทาง และคนของเรายืนยันว่าจีทิงยวี่มากับเขาด้วยขอรับ แต่คราวนี้พวกเขามีผู้ติดตามมามากมาย เป็นยอดฝีมือห้าดาวสองคน ยอดฝีมือสี่ดาวห้าสิบคน และขอบเขตเทียนจุนอีกอย่างน้อยพันคนขอรับ”
“ยอดฝีมือห้าดาว!”
ดวงตาของเจียงอี้เป็นประกายเพราะยอดฝีมือห้าดาวนั้นแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาขอบเขตเทียนจุน ถานไถหงเป็นยอดฝีมือห้าดาวและยอดฝีมือที่คอยดูแลเรือลิขิตสวรรค์ของตระกูลถังเองก็เป็นยอดฝีมือห้าดาวเช่นกัน
เจียงอี้อาจไม่เคยเห็นยอดฝีมือห้าดาวเคลื่อนไหว แต่เขาเชื่อว่าเขาจะพินาศอย่างแน่นอนจากการโจมตีทั้งหมดจากยอดฝีมือห้าดาว ทักษะเสียงสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ของเขาร้ายกาจมาก แต่เขาไม่รู้ว่ามันจะส่งผลต่อยอดฝีมือห้าดาวหรือเปล่า นอกจากนี้ พวกนั้นยังเป็นยอดฝีมือห้าดาวแห่งตระกูลหวู่และคงต้องมีสมบัติมากมายแน่ๆ
“ตอนนี้หวู่นี่อยู่ระดับไหนแล้ว?” ดวงตาของเจียงอี้เป็นประกายขณะที่เขาถาม
ฉีเทียนเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งและตอบว่า “เขาน่าจะอยู่ที่สามดาวนะขอรับ หวู่นี่ขันแข็งมากในการฝึกฝนของเขามาหลายปีและตอนนี้เขาอยู่ขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์แฝงที่เชื่อมดวงจิตด้วยขอรับ…” บ้าเอ้ย!
เจียงอี้กระวนกระวายมากขึ้น หากเขากำลังจะสังหารจีทงยวี่และหวู่นี่ ตราบใดที่เขาเตรียมการอย่างดี มันก็ไม่น่าจะมีปัญหาใด แต่ปัญหาคือเขาต้องจับพวกนั้นทั้งเป็นเพื่อแลกตัวกับซูรั่วเสวี่ย ด้วยการคุ้มกันจากขอบเขตเทียนจุนพันคน ยอดฝีมือห้าดาวสองคนและยอดฝีมือสี่ดาวห้าสิบคน มันคงยากพอๆกับการทะลวงสู่สวรรค์เพื่อจับกุมพวกเขาทั้งคู่
“นายน้อย!”
เมื่อฉีเทียนเฉินเห็นสีหน้าที่มืดมนของเจียงอี้ เขาก็กัดฟันพูดว่า “หากนายน้อยต้องการจับตัวทั้งสองคนนั้น ข้าจะช่วยท่านเอง…”
“เจ้า?”
ดวงตาของเจียงอี้เป็นประกาย ฉีเทียนเฉินเป็นยอดฝีมือหกดาวและอยู่ขอบเขตกึ่งเทพ หากเขาช่วยเจียงอี้ เช่นนั้นเจียงอี้ก็จะจับสองคนนั้นได้อย่างง่ายดาย แต่เขาก็รีบส่ายหัวและพูดว่า “ไม่ได้หรอก หากเจ้าเคลื่อนไหวตระกูลฉีของเจ้าจะพังพินาศ สมาชิกตระกูลฉีนับแสนก็ด้วย!”
เจียงอี้มีวิชาหลีกสวรรค์และเทพพลางตา แม้ว่าเขาจะปะทะกับตระกูลหวู่ เขาก็อาจจะไม่ตกตายไป เจียงอี้ไม่รู้ว่าฉีเทียนเฉินจะถูกสังหารหรือไม่หากเขาเคลื่อนไหว แต่ตระกูลฉีนั้นจะถูกสังหารหมู่อย่างแน่นอน แล้วเจียงอี้จะตกลงเรื่องนี้ได้อย่างไรหากต้องมีคนนับแสนตายเพราะเขา?
“ไม่เป็นอะไรขอรับท่านใต้เท้า!”
ฉีเทียนเฉินกัดฟันและตอบว่า “หากไม่ใช่เพราะจักรพรรดิแห่งเงา ตระกูลฉีของเราคงถูกปราบปรามโดยตระกูลเจี้ยนไปแล้ว หากไม่ใช่เพราะจักรพรรดิเงา ตระกูลฉีคงไม่แข็งแกร่งเพียงนี้ จักรพรรดิแห่งเงาได้สั่งให้เราเสี่ยงใช้ทหารและหมากทุกตัวตราบเท่าที่นายน้อยต้องการ”
“ไม่จำเป็นจริงๆ”
เจียงอี้มองฉีเทียนเฉินด้วยท่าทีพอใจและยิ้ม “มันต้องมีวิธีอื่นอีก อย่าประมาทและช่วยข้าเตรียมนักรบผู้เสียสละที หากไม่มีคำสั่งข้า ห้ามผู้ใดเคลื่อนไหว นี่เป็นคำสั่ง!”
ฉีเทียนเฉินป้องกำปั้นของเขาอย่างช่วยไม่ได้และตอบว่า “ขอรับ!”
“ฮ่าฮ่า! ข้าหวังว่าหวู่นี่จะไม่เข้าไปในซากปรักหักพังสลายบาปในครั้งนี้!” เจียงอี้ยืนขึ้นและพูดด้วยดวงตาที่เปล่งแสงเป็นประกาย “หากเขากล้าเข้าไปในซากปรักหักพังสลายบาป ข้าจะหาทางทุกวถีทางมาจับเขาให้ได้”
“ถานไถชี่ เรามาถึงเมืองธงทมิฬแล้ว ภายภาคหน้าเจ้าจะอยู่อาศัยที่เมืองนี้ ไม่ต้องกังวล ข้ารับประกันได้ว่าเจ้าจะไม่ทรมานเมื่ออยู่ในเมืองนี้ ส่วนเสี่ยวเทียนและเสี่ยวหยีก็จะใช้ชีวิตได้อย่างดี!”
เจียงอี้ยืนขึ้นและพูดกับถานไถชี่ขณะที่ฝ่ายหลังส่ายหัวและพูดว่า “ท่านใต้เท้าเสวี่ย ข้าน้อยมีนามว่าหูตันนี เมื่อข้าไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลถานไถอีกต่อไป ในภายภาคหน้า ท่านสามารถเรียกข้าว่าตันนีได้เจ้าค่ะ”
“ตันนี…”
เจียงอี้ลูบจมูกของเขาและพยักหน้า “ไปกันเถอะ ข้ามีสัมพันธ์ที่ดีกับประมุขตระกูลฉีจะไม่มีผู้ใดกล้ารังแกเจ้าในตระกูลฉี”
ขณะที่เรือลิขิตสวรรค์ค่อยๆเคลื่อนเข้าสู่เมือง กำแพงเมืองก็ปิดลง จากนั้นเรือลิขิตสวรรค์ก็หยุดลงที่จัตุรัสใจกลางเมือง จากนั้นเจียงอี้ก็นำทุกคนบินลงไปยังจัตุรัส
จัตุรัสนั้นเต็มไปด้วยผู้คนและผู้ที่โดดเด่นที่สุดคือกลุ่มของกองทัพธงทมิฬ ดวงตาของเจียงอี้เหลือบไปเห็นชายวัยกลางคนที่แข็งแรงที่ด้านหน้ากองทัพธงทมิฬ ดวงตาของพวกเขาเผยร่องรอยของความหลักแหลมและด้วยการโบกมือของชายวัยกลางคน ทหารทัพธงทมิฬหลายพันคนที่อยู่ด้านหลังเขาก็คุกเข่าลงข้างหนึ่งพร้อมตะโกนว่า “ยินดีต้อนรับใต้เท้าเสวี่ยขอรับ!”
“ยินดีต้อนรับใต้เท้าเสวี่ยขอรับ!”
ผู้คนนับแสนในจัตุรัสคุกเข่าลงและตะโกนออกมา เสียงของพวกเขาดังก้องไปทั่วเมืองธงทมิฬและทำให้เมืองสั่นเทาเล็กน้อย
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” ชายที่ดูกำยำอีกคนที่อยู่อีกฝั่งหัวเราะอย่างเต็มที่ “สหายเก่าเสวี่ยอี ไม่ได้เจอกันมากว่าสามสิบปีแล้วแต่เจ้ายังหล่อเหลาเหมือนเคย เจ้าคงต้องสอนการรักษาความเยาว์วัยให้ข้าเสียหน่อยแล้ว”
เจียงอี้ไม่จำเป็นต้องส่งข้อความถามก็รู้ว่านี่คือประมุขตระกูลฉี ฉีเทียนเฉิน เจียงอี้เผยรอยยิ้มกว้างออกมาขณะที่เขาเดินไปพร้อมกับตอบว่า “พี่ใหญ่ เจ้าเองก็ไม่ได้เปลี่ยนไปนักในช่วงสามสิบปีมานี้ เป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆที่ได้เห็นตระกูลฉีเลื่องชื่อและมีเกียรติเช่นนี้ในการดูแลของเจ้า”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ฉีเทียนเฉินจับมือเจียงอี้อย่างสนิทสนมและพาเขาเข้าไปในตำหนักเจ้าเมือง จากนั้นเขาก็พูดอย่างกระตือรือร้นว่า “เราไม่ได้เจอกันมาสามสิบปีแล้ว คราวนี้เจ้าจะต้องอยู่กับข้าสักสองสามปีเสียหน่อยแล้ว”
“ก็ได้ ก็ได้!”
เจียงอี้และฉีเทียนเฉินแสดงละครมาตลอดทางผ่านตำหนักเจ้าเมืองและมาถึงลานตำหนักของตระกูลฉี ถานไถชี่และคนอื่นๆได้รับการดูแลจากคนของฉีเทียนเฉินขณะที่เจียงอี้ถูกพาไปยังปราสาทและในที่สุดเขาก็เข้าห้องลับไป
เมื่อเข้าไปในห้องลับ อาคมยับยั้งก็ถูกเปิดใช้งาน จากนั้นฉีเทียนเฉินก็คุกเข่าลงข้างหนึ่งพร้อมตะโกนออกมา “ฉีเทียนเฉินคารวะนายน้อยเจียง!”
“ลุกขึ้นเถอะ ลุกขึ้น!”
เจียงอี้พยุงฉีเทียนเฉินขึ้นมาอย่างรวดเร็ว บุคคลนี้เป็นยอดฝีมือหกดาว หากเขามาจากเผ่าพันธุ์ปีศาจหรืออสูร เจียงอี้คงไม่คิดอะไรมากนัก แต่เจียงอี้ไม่กล้าที่จะรับมารยาทเช่นนี้จากมนุษย์
เจียงอี้ไม่แปลกใจที่ฉีเทียนเฉินรู้ตัวตนของเขาเนื่องจากฉีเทียนเฉินผู้นี้น่าจะเป็นหมากตัวสำคัญของจักรพรรดิแห่งเงา หากพวกเขาไม่แจ้งข้อมูลเช่นนี้ให้เขารู้ ฉีเทียนเฉินคงไม่สามารถจัดการร่วมมือกับเจียงอี้ได้อย่างถูกต้องนัก
เจียงอี้หยุดไปชั่วขณะและถามอย่างสงสัยว่า “พี่ใหญ่เทียนเฉิน มีคนกี่คนในทวีปจักรพรรดิบูรพารู้ถึงตัวตนของข้า?”
“สามขอรับ!”
ฉีเทียนเฉินตอบด้วยความเคารพ “นายน้อยไม่ต้องกังวลไป อีกสองคนและข้านั้นจะไม่เปิดเผยตัวตนของท่าน”
“ฮ่าฮ่า แน่นอนอยู่แล้ว”
เจียงอี้พยักหน้า เขามั่นใจมากกับวิธีการสั่งการของจักรพรรดิแห่งเงา มีเพียงหมากรุกสำคัญสามชิ้นที่ทรงพลังที่สุดเท่านั้นที่จะรู้ถึงตัวตนของเขา และความน่าจะเป้นที่ตัวตนของเขาจะถูกเปิดเผยนั้นแทบจะเป็นศูนย์
เจียงอี้ถามอีกครั้งว่า “เหตุการณ์ในเมืองเพลิงสวรรค์นั้นจะนำปัญหาใหญ่โตมาสู่เจ้าหรือเปล่า?”
“ไม่หรอก ไม่หรอก”
ฉีเทียนเฉินพูดราวกับว่าเขาไม่ได้สนใจมากนัก “เบื้องบนได้รับสินบนไปแล้วและส่วนใหญ่ก็มักจะส่งนักโทษประหารไม่กี่คนไปรับบาป ถานไถหงไม่ใช่คนสำคัญอะไรนักและถึงเขาถูกสังหารก็ยังไม่เป็นอะไร”
“ก็ดี!”
เจียงอี้โล่งใจขึ้นมา จากนั้นเขาก็พูดทันทีว่า “ข้าพาคนไม่กี่คนมาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ ข้าคงต้องรบกวนเจ้าดูแลเด็กทั้งสองแล้ว ข้าจะแอบไปยังเขตแดนอรหังในอีกสองวันข้างหน้า”
“อื้ม นายน้อยไม่ต้องกังวลและไปได้ทุกเมื่อที่ท่านต้องการ เรื่องขององค์หญิงเชียนเชียนถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด”
ฉีเทียนเฉินพูดด้วยท่าทีเคร่งขรึมว่า “ซากปรักหักพังสลายบาปนั้นเป็นสถานที่ที่อันตรายมาก เมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าจะส่งคนบางคนไปคอยช่วยนายน้อย แต่ผู้ที่มีอายุมากกว่าสามสิบปีจะไม่สามารถเข้าไปยังซากปรักหักพังสลายบาปได้ ดังนั้นคนที่ข้าจะส่งไปคงช่วยอะไรไม่ได้มากนัก ทุกสิ่งยังต้องพึ่งนายน้อยอยู่ขอรับ” “ผู้ที่มีอายุเกินสามสิบไม่สามารถเข้าไปได้?”
เจียงอี้เข้าใจได้ทันที ไม่แปลกใจที่ผู้ที่ทรงพลังอย่างฉีเทียนเฉินไม่สามารถไปนำกล้วยไม้เขี้ยวเพลิงมาได้ เจียงอี้พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ส่งข้อมูลของซากปรักหักพังสลายบาปมาให้ข้าหน่อย นอกจากนี้ เจ้ายืนยันแล้วหรือไม่ว่าจีทิงยวี่จะไปเมืองจักรพรรดิอรหัง?”
“ได้รับการยืนยันแล้วขอรับ!”
ฉีเทียนเฉินตอบอย่างหนักแน่นว่า “หวู่นี่แวะอยู่ที่เมืองหญ้าทึบเป็นเวลาสองวันในระหว่างการเดินทาง และคนของเรายืนยันว่าจีทิงยวี่มากับเขาด้วยขอรับ แต่คราวนี้พวกเขามีผู้ติดตามมามากมาย เป็นยอดฝีมือห้าดาวสองคน ยอดฝีมือสี่ดาวห้าสิบคน และขอบเขตเทียนจุนอีกอย่างน้อยพันคนขอรับ”
“ยอดฝีมือห้าดาว!”
ดวงตาของเจียงอี้เป็นประกายเพราะยอดฝีมือห้าดาวนั้นแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาขอบเขตเทียนจุน ถานไถหงเป็นยอดฝีมือห้าดาวและยอดฝีมือที่คอยดูแลเรือลิขิตสวรรค์ของตระกูลถังเองก็เป็นยอดฝีมือห้าดาวเช่นกัน
เจียงอี้อาจไม่เคยเห็นยอดฝีมือห้าดาวเคลื่อนไหว แต่เขาเชื่อว่าเขาจะพินาศอย่างแน่นอนจากการโจมตีทั้งหมดจากยอดฝีมือห้าดาว ทักษะเสียงสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ของเขาร้ายกาจมาก แต่เขาไม่รู้ว่ามันจะส่งผลต่อยอดฝีมือห้าดาวหรือเปล่า นอกจากนี้ พวกนั้นยังเป็นยอดฝีมือห้าดาวแห่งตระกูลหวู่และคงต้องมีสมบัติมากมายแน่ๆ
“ตอนนี้หวู่นี่อยู่ระดับไหนแล้ว?” ดวงตาของเจียงอี้เป็นประกายขณะที่เขาถาม
ฉีเทียนเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งและตอบว่า “เขาน่าจะอยู่ที่สามดาวนะขอรับ หวู่นี่ขันแข็งมากในการฝึกฝนของเขามาหลายปีและตอนนี้เขาอยู่ขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์แฝงที่เชื่อมดวงจิตด้วยขอรับ…” บ้าเอ้ย!
เจียงอี้กระวนกระวายมากขึ้น หากเขากำลังจะสังหารจีทงยวี่และหวู่นี่ ตราบใดที่เขาเตรียมการอย่างดี มันก็ไม่น่าจะมีปัญหาใด แต่ปัญหาคือเขาต้องจับพวกนั้นทั้งเป็นเพื่อแลกตัวกับซูรั่วเสวี่ย ด้วยการคุ้มกันจากขอบเขตเทียนจุนพันคน ยอดฝีมือห้าดาวสองคนและยอดฝีมือสี่ดาวห้าสิบคน มันคงยากพอๆกับการทะลวงสู่สวรรค์เพื่อจับกุมพวกเขาทั้งคู่
“นายน้อย!”
เมื่อฉีเทียนเฉินเห็นสีหน้าที่มืดมนของเจียงอี้ เขาก็กัดฟันพูดว่า “หากนายน้อยต้องการจับตัวทั้งสองคนนั้น ข้าจะช่วยท่านเอง…”
“เจ้า?”
ดวงตาของเจียงอี้เป็นประกาย ฉีเทียนเฉินเป็นยอดฝีมือหกดาวและอยู่ขอบเขตกึ่งเทพ หากเขาช่วยเจียงอี้ เช่นนั้นเจียงอี้ก็จะจับสองคนนั้นได้อย่างง่ายดาย แต่เขาก็รีบส่ายหัวและพูดว่า “ไม่ได้หรอก หากเจ้าเคลื่อนไหวตระกูลฉีของเจ้าจะพังพินาศ สมาชิกตระกูลฉีนับแสนก็ด้วย!”
เจียงอี้มีวิชาหลีกสวรรค์และเทพพลางตา แม้ว่าเขาจะปะทะกับตระกูลหวู่ เขาก็อาจจะไม่ตกตายไป เจียงอี้ไม่รู้ว่าฉีเทียนเฉินจะถูกสังหารหรือไม่หากเขาเคลื่อนไหว แต่ตระกูลฉีนั้นจะถูกสังหารหมู่อย่างแน่นอน แล้วเจียงอี้จะตกลงเรื่องนี้ได้อย่างไรหากต้องมีคนนับแสนตายเพราะเขา?
“ไม่เป็นอะไรขอรับท่านใต้เท้า!”
ฉีเทียนเฉินกัดฟันและตอบว่า “หากไม่ใช่เพราะจักรพรรดิแห่งเงา ตระกูลฉีของเราคงถูกปราบปรามโดยตระกูลเจี้ยนไปแล้ว หากไม่ใช่เพราะจักรพรรดิเงา ตระกูลฉีคงไม่แข็งแกร่งเพียงนี้ จักรพรรดิแห่งเงาได้สั่งให้เราเสี่ยงใช้ทหารและหมากทุกตัวตราบเท่าที่นายน้อยต้องการ”
“ไม่จำเป็นจริงๆ”
เจียงอี้มองฉีเทียนเฉินด้วยท่าทีพอใจและยิ้ม “มันต้องมีวิธีอื่นอีก อย่าประมาทและช่วยข้าเตรียมนักรบผู้เสียสละที หากไม่มีคำสั่งข้า ห้ามผู้ใดเคลื่อนไหว นี่เป็นคำสั่ง!”
ฉีเทียนเฉินป้องกำปั้นของเขาอย่างช่วยไม่ได้และตอบว่า “ขอรับ!”
“ฮ่าฮ่า! ข้าหวังว่าหวู่นี่จะไม่เข้าไปในซากปรักหักพังสลายบาปในครั้งนี้!” เจียงอี้ยืนขึ้นและพูดด้วยดวงตาที่เปล่งแสงเป็นประกาย “หากเขากล้าเข้าไปในซากปรักหักพังสลายบาป ข้าจะหาทางทุกวถีทางมาจับเขาให้ได้”