เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 907 หุบเขาลอยลม
จี๊! จี๊!
ฝ่ามือขนาดใหญ่ที่กว้างกว่าสิบเจ็ดเมตรกดทับลงมาจากที่สูง ทำให้ชั้นบรรยากาศสั่นสะเทือน แก่นแท้พลังที่เจียงอี้ปล่อยออกไปนั้นเหมือนกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟขณะที่ฝ่ามือขนาดยักษ์ปัดเป่ามันไปอย่างง่ายดาย ฝ่ามือนั้นมีกลิ่นอายที่โอหังซึ่งทุบลงมาอย่างโหดร้ายและกำลังจะเปลี่ยนเจียงอี้เป็นเนื้อสับ
ในขณะนั้นเอง หยิ่นรั่วปิงก็ลงมือ ธนูยาวสีขาวในมือของนางหายไปและถูกแทนที่ด้วยธนูสีแดงขนาดเล็ก คันธนูนี้มีขนาดเล็กกว่าคันธนูสีขาวสองเท่า แต่กลิ่นอายของมันน่าสยดสยองมากหลังจากที่เทแก่นแท้พลังเข้าไป ผิวของคันธนูเปล่งประกายด้วยอักขระในทันที มือของนางขยับเบาๆและยิงศรสีแดงออกไปยังฝ่ามือที่ทุบไปยังเจียงอี้ทันที
มันไม่มีการระเบิดและไม่มีการผันผวนใดๆ และฝ่ามือขนาดยักษ์นั้นก็ถูกศรแดงกระจายพลังไปได้อย่างง่ายดาย จากนั้นศรสีแดงก็หมุนไปในอากาศและบินตรงไปทางจื่อเฟิงเทียนอย่างรวดเร็ว
เกาทัณฑ์เทวะ? หนีเร็ว!
สีหน้าของจื่อเฟิงเทียนเปลี่ยนไปและมีโล่ขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นในมือของเขา เขาโยนโล่ไปข้างหน้าและรีบถอยหนีทันที ขณะที่ทหารที่เหลือของตระกูลจื่อเองก็พากันหนีไปเช่นกัน
ปัง!
เห็นได้ชัดว่าโล่ยักษ์นี้เป็นสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์แฝงและหลังจากที่มันถูกศรแดงกระแทกเบาๆ มันก็ปลิวไปไกลกว่าสามกิโลเมตร ศรเล็กๆนั้นยังคงแทงทะลุฟ้าก่อนที่มันจะพุ่งไปชนกับยอดเขาเล็กๆในระยะไกล
ตูม!
ภูเขาพังทลายลงทันทีพื้นดินเองก็สั่นสะเทือนและเสียงระเบิดก็ดังก้องไปในรัศมีหลายร้อยกิโลเมตรซึ่งทำให้แก้วหูของเจียงอี้สั่นสะท้าน ใบหน้าของเขามึความตกตะลึงที่เขาเพิ่งจะรอดพ้นภัยพิบัติ แต่ในใจของเขากลับเย้ยหยัน
เห็นได้ชัดว่ามันคือการแสดงที่ยอดเยี่ยมและมันแสดงเพื่อพิสูจน์เขา!
สมบัติที่เชื่อมดวงจิตของหยิ่นรั่วปิงไม่ถูกนำออกมาแต่แรกและมันถูกนำออกมาใช้ในตอนที่เขากำลังจะถูกสังหารเท่านั้น นอกจากนี้ พี่ชิ่งเองก็ไม่ได้พยายามช่วยเขาเช่นกัน จึงมีวัตถุประสงค์เพียงข้อเดียวและมันคือการทดสอบความแข็งแกร่งในการต่อสู้ที่แท้จริงของเขา หรือบางที…ก็อาจบังคับให้เขาเปิดเผยตัวเอง
เจียงอี้ยังสงสัยด้วยว่าจื่อเฟิงเทียนผู้นี้บาดหมางกับหยิ่นรั่วปิงจริงหรือไม่? แม้ว่าเขาจะเป็นทายาทตระกูลโบราณ แต่เขาจะกล้าแตะต้องตระกูลหยิ่นจริงๆ? อันที่จริงแล้ว จื่อเฟิงเทียนอาจเป็นลูกน้องหยิ่นรั่วปิงและมาที่นี่เพื่อแสดงละครโดยเฉพาะ?
กลิ่นหอมที่จู่ๆก็ออกมาจากหยิ่นรั่วปิง…นั้นเป็นการจงใจหรือเปล่า? มีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบปฏิกิริยาของเขาหรือไม่?
หรือกายวิญญาณพิเศษของเผ่านารีหอมหวนนั้นมีความสามารถพิเศษที่สัมผัสอะไรบางอย่างหรือเปล่า?
เจียงอี้คิดอย่างรวดเร็ว หากอีฉานมีข้อสงสัย ก็เป็นเรื่องปกติที่หยิ่นรั่วปิงอาจจะพบอะไรบางอย่างด้วยเพราะนางมีกายวิญญาณพิเศษแต่มันก็ระบุได้ว่าหยิ่นรั่วปิงเพียงสงสัยและไม่มั่นใจ ไม่เช่นนั้น มันไม่จำเป็นต้องมีการแสดงอย่างเมื่อครู่นี้ก็ได้
ผู้หญิงผู้นี้ฉลาดหลักแหลมนัก!
เจียงอี้นับถือหยิ่นรั่วปิงมากนักในขณะนี้ แต่เขาไม่ได้เกลียดนาง หากเขายืนอยู่ในจุดเดียวกับนาง เขาก็อาจจะพยายามทดสอบด้วยตัวเองเช่นกัน ท้ายที่สุดแล้วเจียงอี้ก็เป็นคนแปลกหน้าและมีความสามารถแปลกๆ หากจื่อเฟิงเทียนเป็นผู้ใต้บัญชาของนางจริงๆ แผนการนี้คงยอดเยี่ยมจริงๆเพราะเขาเกือบปล่อยทักษะเสียงสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ออกมาและเผยตัวตนของเขาไปแล้ว
ฮู่ว ฮู่วว!
เจียงอี้เองก็แสดงไปตามน้ำและหายใจเข้าลึกๆหลังจากที่ยืนขึ้นมา ซึ่งเผยการแสดงออกที่หวาดกลัวอย่างยิ่ง เมื่อหยิ่นรั่วปิงเดินเข้าไปหาเขา เขาก็รีบป้องกำปั้นและกล่าวว่า ขอบคุณแม่นางหยิ่นที่ช่วยชีวิต ไป๋อีซาบซึ้งยิ่งนัก
ในส่วนลึกที่สุดของดวงตาของหยิ่นรั่วปิงนั้นมีร่องรอยของความผิดหวังขณะที่นางพูดอย่างเฉยเมย รั่วปิงเป็นคนที่ทำให้นายน้อยเข้ามาเกี่ยวข้องเอง ไปกันเถอะ จื่อเฟิงเทียนจะไม่กล้ามาหาเรื่องเราอีก
สมาชิกตระกูลหยิ่นนั้นได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยและไม่คุ้มค่าที่จะให้ความสนใจ ทุกคนเก็บข้าวของและเดินทางกันต่อ ส่วนเจียงอี้ก็ตามหลังหยิ่นรั่วปิงขณะที่ตัวสั่นเทาด้วยความกลัวและสังเกตว่านางเย็นชากว่าเดิม เจียงอี้แอบเลื่อมใสนางขณะที่เขาไม่พบปัญหาใดๆเมื่อหยิ่นรั่วปิงปฏิบัติต่อเขาอย่างเคารพก่อนหน้านี้ สตรีของตระกูลหยิ่นสามารถปฏิบัติต่อคนธรรมดาด้วยความสุภาพเช่นนี้ได้อย่างไรนะ? เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างผิดปกติ
พี่ชิ่งจะอยู่ด้านหน้าเพื่อเปิดทางให้พวกเขาขณะที่ทุกคนจะตามหลังมา ระหว่างทาง เจียงอี้ใช้ญาณศักดิ์สิทธิ์เพื่อสอดแนมอย่างต่อเนื่องและเขาก็เงียบมากเช่นกัน กลุ่มของเขาพบซากเมืองอย่างรวดเร็วเพราะการสอดแนมของเจียงอี้ แต่น่าเสียดายที่ซากเมืองนี้ถูกค้นไปแล้ว จึงไม่มีสมบัติอยู่ที่นี่
แม่นางหยิ่น ข้ามีเรื่องไม่เข้าใจเล็กน้อย!
หลังจากที่ค้นหาอย่างรวดเร็ว เจียงอี้ก็อดถามคำถามที่อยู่ในหัวของเขาไม่ได้ ภูมิประเทศภายในซากปรักหักพังสลายบาปนี้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดใช่หรือไม่?
บรรดาคนที่ออกจากซากปรักหักพังสลายบาปจะถูกล้างความทรงจำไปทั้งหมด แต่พวกเขาสามารถใช้แปรงวาดแผนที่ของสถานที่แห่งนี้ได้ ผู้ที่เข้ามาในคราวหน้าจะได้ใช้แผนที่เพื่อค้นหาสมบัติได้ ซากเมืองเหล่านี้ดูแปลกมาก ซากแถวๆเขตชานเมืองนั้นมีสมบัติ แต่ด้านในกลับถูกค้นหาไปหมดแล้วหรือ?
หยิ่นรั่วปิงพยักหน้าอย่างเฉยเมยและกล่าวว่า เจ้าคาดเดาถูกต้องแล้ว ภูมิประเทศที่นี่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่แน่นอนว่าทะเลสาบนั้นมีภูมิประเทศที่ผิดปกติซึ่งจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่ามันอยู่ที่ใดเราต้องค้นหามัน และสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงเลยคือ…อารามศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ใจกลางซากปรักหักพัง นั่นเป็นโครงสร้างเดียวที่ยังไม่ถูกทำลาย แต่ตอนนี้เราไม่สามารถเข้าไปได้
อารามศักดิ์สิทธิ์? เจียงอี้ถามอย่างสงสัย ทำไมถึงเข้าไปไม่ได้หรือ?
ฮิฮิ!
หยิ่นรั่วปิงหัวเราะและตอบว่า ลมดาราภายในนั้นแข็งแกร่งกว่าด้านนอกร้อยเท่า แม้แต่พี่ชิ่งเองก็ไม่สามารถต้านทานมันได้และภายในนั้นยังมีอาคมยับยั้งที่น่ากลัวมากเช่นกัน ผู้ที่เข้าไปที่นั่น แปดในสิบส่วนมักตกตายกันไปหมด ในประวัติศาสตร์ของตระกูลหยิ่นเรามีคนที่เข้าไปในนั้นแล้วรอดกลับมาได้ไม่ถึงสิบคน และผู้ที่รอดชีวิตมาได้นั้นสำรวจเพียงแค่ด้านนอกวิหารเท่านั้น…
อือฮึ
เจียงอี้พยักหน้าและไม่ได้ถามอีกต่อไปขณะที่เขาไม่ได้สนใจจะเข้าไปในอารามศักดิ์สิทธิ์ หากภายในนั้นน่ากลัวมากเช่นนั้น เขาคงจะตายอย่างแน่นอนหากเข้าไป และหลังจากที่เจียงอี้ได้กล้วยไม้เขี้ยวเพลิงและไม่มีโอกาสจับหวู่นี่และจีทิงยวี่แล้ว เขาก็จะหาที่ซ่อนทันทีและรอให้เวลาหนึ่งเดือนหมดลงจนกว่าเขาจะถูกย้ายออกไป
เจียงอี้ระมัดระวังมากในครั้งนี้ ไม่สำคัญหรอกว่าจื่อเฟิงเทียนจะเป็นผู้ใต้บัญชาของหยิ่นรั่วปิงหรือไม่ เขาจะไม่ยอมให้หยิ่นรั่วปิงมีโอกาสทดสอบเขาอีก เขาสามารถสอดแนมได้กว้างที่สุดและจะสอดแนมทุกๆครึ่งวัน และถึงต่อให้มีคนต้องการจะเข้ามาใกล้เขา มันก็จะแปลกหูแปลกตาอย่างมาก
ห้าวันต่อมา เจียงอี้และกลุ่มได้พบซากเมืองห้าแห่งและทุกที่ก็ถูกค้นอย่างละเอียดแล้ว พวกเขาได้พบคนที่คุ้นเคยอย่างหลิงชีเจี้ยน, ถูหลงและคนอื่นๆ เจียงอี้อาจต้องการสังหารถูหลง แต่เมื่อไม่สามารถปล่อยอัสนีพิโรธได้ เขาจึงให้ทั้งกลุ่มคอยเลี่ยงพวกนั้นก่อนที่พวกเขาจะเข้ามาใกล้
เอ๊ะ? มีภูเขาสูงอยู่ด้านหน้าทั้งสองฝั่ง? มีหุบเขาอยู่ตรงกลาง?
ในวันที่หก เจียงอี้สำรวจตามปกติและพบภูมิประเทศที่แปลกประหลาด ซากปรักหักพังสลายบาปนั้นไม่มีภูเขาสูงและยอดเขาที่สูงกว่าสามร้อยเมตรนั้นหาได้ยากมาก และภูเขาสองลูกนี้มีขนาดใหญ่มากและหากพวกเขาจะอ้อมไป มันอาจจะต้องใช้เวลาสองสามวัน และเป็นไปไม่ได้ที่จะปีนขึ้นเขาไป อย่าว่าแต่เจียงอี้เลย แม้แต่พี่ชิ่งเองก็ไม่กล้าทำเช่นนั้น ยิ่งสูงเท่าไหร่ ลมดาราก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเท่านั้น หลังจากที่สำรวจไปไม่กี่รอบ เจียงอี้ก็ลืมตาขึ้นมาและอธิบายสถานการณ์ จากนั้นเขาก็เสนอด้วยความกังวลเล็กน้อย หุบเขานั้นลึกมากและข้าคิดว่าที่นั่นน่าจะอันตราย เราควรหลีกเลี่ยงมันดีไหม?
หุบเขาลอยลม?
หยิ่นรั่วปิง, พี่ชิ่งและคนอื่นๆต่างพากันตาโต พี่ชิ่งโบกมือแล้วพูดว่า ไปกันเถอะ อย่าให้คนอื่นไปถึงที่นั่นก่อน หุบเขาลอยลมมีไหมมณีสวรรค์!
ไหมมณีสวรรค์? เจียงอี้ขมวดคิ้วแล้วมองไปที่หยิ่นรั่วปิง
เราเดินไปคุยไปกันเถอะ!
หยิ่นรั่วปิงโบกมือและสั่งให้ทุกคนเดินหน้าด้วยความเร็วสูงขณะที่นางอธิบาย ซากปรักหักพังสลายบาปมีภูมิประเทศที่ลึกลับมากมายซ่อนอยู่ หุบเขาลอยลมนี้และทะเลสาบเพลิงลาวาเองก็เป็นสองแห่งในนั้น ตามบันทึกของตระกูล มีไหมสวรรค์ประเภทหนึ่งอยู่ในหุบเขาลอยลม มันไม่คายไหมออกมาแต่จะคายน้ำออกมา น้ำของหนอนไหมนี้เป็นสมบัติสำหรับดวงจิต มันไม่สามารถเสริมพลังดวงจิตได้แต่มันจะวิวัฒนาการดวงจิต มันเป็นสมบัติล้ำค่าสำหรับยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญการโจมตีด้วยดวงจิต
น้ำหนอนไหม? วิวัฒนาการดวงจิต?
คิ้วของเจียงอี้เลิกขึ้นมา ครั้งนี้มันเหมือนกับผีเสื้อในฤดูใบไม้ผลิของเผ่านารีผีเสื้อเลยไม่ใช่หรือ? ดาบวิญญาณทั้งสิบสองเล่มของเขาพัฒนาและเพิ่มความเร็วขึ้นเป็นสองเท่า คงจะดีไม่น้อยหากได้น้ำจากหนอนไหมมาบ้าง เขาไม่รู้ว่าหยิ่นรั่วปิงจะแบ่งมันให้เขาบ้างหรือไม่หลังจากที่ได้มันมาแล้ว