เมียหวานของประธานเย็นชา - ตอนที่ 369
บทที่ 369 ประภาคาร
ผ่านไปสักพัก เธอจึงค่อยพูดขึ้นมา: “ไม่มีที่อื่นแล้วเหรอ? ฉันจำได้ว่า ทรัพย์สินภายใต้ชื่อของจี้จิ่งเชินมีอยู่อีกมากมาย สามารถ……”
ยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดเสร็จ จงหลีก็พูดขึ้นมา: “ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ตอนทำการจ่ายเงินชดเชย ทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้ชื่อของประธานจี้ นอกจากปราสาทแล้ว ก็ถูกขายทอดตลาดไปหมดแล้วครับ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนขมวดคิ้ว และกลับรู้สึกลังเลในใจ
เธอมองไปยังรูปภาพหลายใบที่อยู่ในมือของเธอ
ในภาพถ่ายมีซากปรักหักพังที่ไหม้เกรียม
และเธอก็รู้ดีว่า เมื่อก่อนที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์
พิพิธภัณฑ์เหว่ยชี
หลังจากที่ เจี่ยงเนี่ยนเหยาและเจียงหยู่เทียนถูกไฟคลอกเสียชีวิต ที่นี่ก็รกร้างมาตลอด ไม่มีใครได้ไปสร้างใหม่อีกเลย
ตอนแรกที่จี้จิ่งเชินซื้อที่ดินผืนนี้ มันมีมูลค่า จนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาหนึ่งปีแล้ว ราคาที่ดินรอบๆก็เพิ่มสูงขึ้น
ตามที่จงหลีได้พูด ถ้าหากสามารถขายที่ดินผืนนี้ได้ล่ะก็ ต้องขายได้ในราคาที่ดีมากๆแน่นอน แต่ว่า……
เธอกลับรู้สึกทำไม่ลง……
ถึงแม้ตอนนี้จะไม่มีพิพิธภัณฑ์แล้ว แต่นี่ก็ถือว่าเป็นของขวัญชิ้นที่สองที่จี้จิ่งเชินนั้นมอบให้กับเธอ
“คุณเวินครับ? คุณจะตัดสินใจยังไงครับ?”เมื่อเห็นว่าผ่านไปสักพักแล้วแต่เธอก็ไม่ยอมพูดอะไร จงหลีที่ยืนอยู่ข้างๆก็พูดเร่งขึ้นมา
เวินเที๋ยนเที๋ยนจึงรีบดึงสติกลับมา แล้วส่ายหน้า
“ไม่ขาย เรื่องเงิน เดี๋ยวฉันจะเป็นคนหาวิธีเอง”
จงหลีขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย และสายตาก็มีความซับซ้อน
“แล้วคุณคิดจะจัดการยังไงครับ?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนหันมองออกไปนอกหน้าต่าง ความสับสนที่มีอยู่ในดวงตาก็ค่อยๆสลายไป
“จงหลี คุณรู้การเปล่งแสงของประภาคารบนฝั่งในตอนกลางคืน เพื่อเป็นการชี้ทางให้กับคนที่เดินเรือและป้องกันพวกเขาหลงทางไหม?”
เธอยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย แล้วก้มหน้าดูรูปภาพที่อยู่ในมือ
“ฉันก็อยากเปล่งแสงประภาคารให้กับจี้จิ่งเชิน”
จงหลีอึ้งไปสักพัก มองใบหน้าด้านข้างของเวินเที๋ยนเที๋ยน ด้วยสายตาที่หม่นหมอง
ผ่านไปสักพัก เขาจึงค่อยพูดเสียงเบาขึ้นมา
“ประภาคาร……ที่รอคอยการกลับมาของคนในครอบครัวเหรอครับ……”
วันถัดมา บริษัทเอ็มไอกรุ้ปก็ประกาศรับสมัครพนักงานใหม่ทันที
ถึงแม้ในวันแรกจะมีคนมาสมัครงานไม่เยอะ แต่เพราะว่าได้เห็นความหวัง ทุกคนจึงดูเต็มที่และตั้งใจมาก
กิจกรรมดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่สิ่งเดียวที่ทำให้เวินเที๋ยนเที๋ยนลำบากใจ คืองบการเงินฉบับที่อยู่ข้างหน้าของเธอ
หลังจากไม่ได้รับข้อเสนอแนะของจงหลี ไม่นานบริษัทก็ตกอยู่ในขั้นวิกฤติ
เธอลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็ลุกขึ้นยืน และเดินออกไป
จำนวนเงินทุนที่ทางบริษัทต้องการไม่ใช่ตัวเลขน้อยๆ
ตอนแรกเธอคิดว่า จะรักษาที่ดินผืนนั้นและปราสาทไว้ แต่ตอนนี้ กลับสร้างปัญหาให้กับบริษัท
เวินเที๋ยนเที๋ยนปฏิเสธการขอไปเป็นเพื่อนของจงหลี แล้วเดินออกไปจากบริษัท เธอลังเลอยู่หน้าตระกูลหล่อนอยู่สักพัก แต่สุดท้ายก็หมุนตัวแล้วเดินออกไป แล้วมาที่บริษัทโทรทัศน์หัวไต้แทน
ทั้งๆที่ยืนอยู่ใต้ตึกแล้ว แต่เธอกลับไม่รู้ว่าจะพูดกับหมินอันเกอยังไง
ลังเลอยู่สักพัก จนในสุดท้ายเธอเลือกที่จะไม่ขึ้นไป แต่กลับเตรียมหมุนตัวเดินออกไป
เพิ่งจะเดินได้ไม่กี่ก้าว ก็มีเสียงๆหนึ่งเรียกเธอไว้
“เที๋ยนเที๋ยน”
ในน้ำเสียงมีเสียงหายใจเหนื่อยหอบปนอยู่ด้วย แต่เวินเที๋ยนเที๋ยนกลับรู้ตั้งแต่ได้ยินเสียงแล้วว่าคนข้างหลังของเธอนั้นเป็นใคร
เธอหันหน้ากลับไป ก็เจอกับหมินอันเกอที่ยืนอยู่ข้างหลังของเธอไม่ใกล้ไม่ไกล
เขาได้ถอดสูทบนร่างของเขา และพาดไว้ตรงแขน ปลดเนกไทไว้ และกระดุมเม็ดข้างบนสุดก็ถูกปลดไว้เหมือนกัน
สองมือของเขาจับที่เข่าไว้ ก้มตัวลงและหอบไม่หยุด บนหน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ แม้แต่ปลายผมก็ยังเปียกโชกไปหมด
หมินอันเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย ผ่อนลมหายใจของตัวเอง แล้วเดินเข้ามา
เขามองมาที่เวินเที๋ยนเที๋ยน ลังเลอยู่นาน จนในสุดท้ายก็พูดออกมา: “ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลยนะ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนมองลักษณะที่กระเซอะกระเซิงของเขาด้วยความตกใจ
“คุณวิ่งมาจากที่ไหนเนี่ย?”
หมินอันเกอยิ้มขึ้นมาอย่างไม่สนใจ
“เมื่อกี้ฉันถ่ายหนังอยู่ใกล้ๆนี้ และได้ยินว่าเธอมาหาฉัน ฉันก็เลยวิ่งมาหา”
ในขณะที่พูด เขาก็เลียริมฝีปากที่แห้งผากของตัวเองไปด้วย
ตั้งแต่ผู้จัดการได้มาบอกเขา ว่าเวินเที๋ยนเที๋ยนอยู่ข้างล่างของบริษัทโทรทัศน์หัวไต้ หมินอันเกอก็รีบวิ่งมาหาเธอเลย
เขาใช้เวลาในการวิ่งมาหาเธอทั้งหมดสามสิบนาที จนในสุดท้ายก็วิ่งตามมาทัน
แต่หลังจากที่ได้เห็นเวินเที๋ยนเที๋ยนที่ยืนอยู่ข้างหน้า ความเหนื่อยล้าที่สะสมมา กลับมลายหายไปหมด
เพราะหลังจากครั้งที่แล้วที่เขาได้ไปช่วยพาเธอออกจากตระกูลเวินแล้ว เขาก็ไม่ได้เจอกับเวินเที๋ยนเที๋ยนอีกเลย
“จะขึ้นไปข้างบนหรือเปล่า?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนพยักหน้าเงียบๆ
เมื่อหมินอันเกอเห็นการกระทำของเธอ บนใบหน้าก็มีรอยยิ้มขึ้นมาทันที
“งั้นก็ขึ้นไปกัน”
พูดเสร็จ เขาก็พาเวินเที๋ยนเที๋ยนเดินขึ้นตึกไป แล้วพาไปที่ห้องพักผ่อนของเขา
เขาจึงได้นำสูทของตัวเองวางไว้บนโต๊ะ แล้วหมุนตัวเพื่อจะไปรินชามาให้เธอ
“ฉันทำเองดีกว่าค่ะ”
เวินเที๋ยนเที่ยนขวางเขาไว้ เดินไปข้างหน้า และช่วยรินชาให้กับเขา แล้วกลับมานั่งที่เก้าอี้เหมือนเดิม แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดยังไงดี
หมินอันเกอเป็นคนเดียวที่เธอนึกออกในตอนนี้
แต่เมื่อเห็นคนที่อยู่ข้างหน้าของเธอแล้ว เธอกลับเงียบขึ้นมา
ราวกับหมินอันเกอมองความลำบากใจของเธอไม่ออก จึงพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม: “ฉันไม่ได้เจอเธอนานมากแล้วนะ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนพยักหน้าเล็กน้อย
“ขอโทษค่ะ”
“ทำไมต้องขอโทษด้วยล่ะ?”
หมินอันเกอถอนหายใจออกมา และพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
“ไม่ว่าเธอจะทำเรื่องอะไร ฉันก็เชื่อมั่นในตัวเธอ”
เมื่อเวินเที๋ยนเที๋ยนได้ฟังประโยคนี้ ก็ยิ่งรู้สึกผิดในใจ
เธอได้แต่ก้มหน้า และไม่ยอมพูดอะไรออกมา
นั่งอยู่สักพัก จนในสุดท้ายก็ยืนขึ้นมา
“รบกวนเวลาทำงานของคุณแล้ว ครั้งหน้ารอให้คุณว่างก่อน แล้วฉันจะมาหาใหม่นะคะ”
พูดเสร็จเธอก็รีบหมุนตัวเพื่อจะดินออกไปจากที่นี่
แต่เพิ่งจะเดินได้ไม่ถึงสองก้าว แต่ก็ถูกเขาดึงแขนไว้เสียก่อน
เวินเที๋ยนเที๋ยนใจสั่นขึ้นมาทันที
“พี่หมิน……”
เมื่อหันกลับมา ก็เห็นสีหน้าของหมินอันเกอที่ค่อยๆผ่อนคลายลง และเผยรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย
“ฉันรู้สึกว่า ไม่ได้ยินเธอเรียกฉันแบบนี้นานแล้วนะ”
พูดเสร็จ เขาก็นำกระเป๋าสตางค์ของตัวเองออกมา พร้อมกับหยิบบัตรเครดิตออกมาด้วย
แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เบิกบาน: “ได้ยินมาว่าทางบริษัทของเธอกำลังจัดงานอยู่นี่ ก่อนหน้านี้ทางเจ้าของโครงการก็เคยติดต่อฉันมา เหมือนกัน และฉันก็ได้ดูแผนธุรกิจแล้ว ก็รู้สึกว่าเป็นโครงการที่ไม่เลวเลยทีเดียว”
ในขณะที่พูด เขาก็นำบัตรเครดิตของเขายัดใส่ในมือของเธอ
“ฉันอยากจะเป็นหุ้นส่วนด้วย ได้ไหม?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนอึ้งไป และเงยหน้ามองเขาด้วยความตกใจ
“พี่หมิน พี่รู้เรื่องนานแล้ว……”
หมินอันเกอเงยหน้าขึ้นมา แล้วค่อยๆปัดผมที่ปกอยู่บนหน้าผากของเวินเที๋ยนเที๋ยนออกให้
“เที๋ยนเที๋ยน ดวงตาของเธอไม่เคยเก็บความลับได้เลยนะ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนเม้มปากแน่น
“แต่ว่า……”
หมินอันเกอยิ้ม แล้วพูดขึ้นมา: “ไม่ต้องกังวลหรอก เงินนี้ไม่ได้ให้เธอฟรีๆ แต่แค่ให้เธอยืมก่อน และเป็นเงินทุนของหุ้นส่วนด้วย ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนบีบบัตรเครดิตที่อยู่ในมือ มุมแหลมของบัตรทิ่มมือของเธอจนเธอรู้สึกเจ็บ แต่เธอก็ยังคงบีบแน่นขึ้นกว่าเดิม
“พีหมิน ขอบคุณ……”
เธอกำลังจะพูด แต่ก็ถูกหมินอันเกอขัดขึ้นมาเสียก่อน
“เอาล่ะ ทางบริษัทคงจะงานยุ่งมากละสิ รีบกลับไปเถอะ เมื่อถึงวันงาน ฉันจะเป็นคนไปดูงานด้วยตัวเองแน่นอน”
พูดเสร็จ เขาก็ไม่ให้เวลาเวินเที๋ยนเที๋ยนได้พูดต่อ ก็รีบดันหลังของเธอเดินออกไปจากประตู
เวินเที๋ยนเที๋ยนถูกเขาส่งถึงรถ แม้แต่คำขอบคุณแค่คำเดียวก็ไม่มีโอกาสได้พูด
หมินอันเกอยืนอยู่นอกหน้าต่าง แล้วโบกมือให้กลับเธอ แล้วมองรถที่ค่อยๆเคลื่อนตัวออกไป
เมื่อรอจนรถเคลื่อนพ้นสายตาไปแล้ว รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของเขาก็ค่อยๆหุบลง และแทนที่ด้วยความเงียบเหงาและวังเวงใจ
ผ่านไปสักพัก จึงค่อยหมุนตัวเดินออกไป