เมียหวานของประธานเย็นชา - บทที่ 559 ความหวังเศษหนึ่งในพัน
บทที่ 559 ความหวังเศษหนึ่งในพัน
หมินอันเกอไปถึงหน้าบ้าน แต่เป็นเคอเหยียนรุ่ยมาเปิดประตู
หมินอันเกอมองเข้าไปด้านใน ไม่เห็นแม้แต่เงาของหลวนจื่อ
“หลวนจื่อล่ะครับ?”
เขาเดินเข้ามาด้วยความรีบร้อนใจ ในใจรู้สึกกระวนกระวาย
“เธอไปที่บริษัทแล้ว” เคอเหยียนรุ่ยเดินตามหลังเข้ามา
เห็นท่าทางที่ดูโล่งอกของหมินอันเกอได้ชัดเจน จากนั้นก็พูดว่า: “งานแถลงข่าวเมื่อวาน เป็นการตัดสินใจที่ยากเย็นของหลวนจื่อถึงได้เปิดแถลงข่าว เธอทำทั้งหมดเช่นนี้ก็เพราะคุณ”
“ผมรู้”
หมินอันเกอหันหน้าไปมองเขา กล่าว: “แต่ผมก็คิดอย่างละเอียดดีแล้ว”
เคอเหยียนรุ่ยกลับพูดต่อไปว่า: “คิดละเอียดดีเรื่องอะไร? จะแต่งงานกับหลวนจื่อ เลี้ยงดูเด็กคนนั้น?”
หมินอันเกอตะลึง จะเอ่ยปากพูด แต่เคอเหยียนรุ่ยก็พูดขึ้นมาอีกว่า: “ถ้าคุณทำเช่นนั้น หลวนจื่อต้องเสียใจมากยิ่งขึ้นอีกแน่นอน คุณเข้าใจเธอไหม?”
หมินอันเกออยากพูดว่าเขาเข้าใจ แต่ว่านึกถึงตนเองกับหลวนจื่อคบกันมาตั้งหลายปี แม้แต่เรื่องเธอชอบอะไร เกลียดอะไร ก็ยังไม่รู้สักอย่าง จะเข้าใจเธอได้ยังไง?
ดูออกว่าเขากำลังลังเล เคอเหยียนรุ่ยก็พูดต่อ: “อย่ามองว่าหลวนจื่อเป็นแค่เด็กคนหนึ่งอีกเลย”
หมินอันเกอขมวดคิ้วขึ้นมา แววตาจ้องมองเขาอย่างดุดัน
“คุณชอบเธอเหรอ?”
“แน่นอน”
เพิ่งพูดได้หนึ่งประโยค สีหน้าของหมินอันเกอก็เปลี่ยนไปอย่างน่ากลัว แววตาดุร้าย
เคอเหยียนรุ่ยหัวเราะ พูดต่อไปอีกว่า: “ผมเป็นดีไซน์เนอร์คนหนึ่ง ผมก็ต้องชอบนางแบบที่ตั้งใจทำงานและสวยอยู่แล้ว คุณวางใจได้ ผมตกลงจะดูแลหลวนจื่อ เพราะข้อตกลงระหว่างเรา”
ได้ยินดังนั้นแล้ว สีหน้าของหมินอันเกอจึงค่อยดีขึ้นมาหน่อย
เคอเหยียนรุ่ยดูความเปลี่ยนแปลงในอารมณ์ของเขาออก จากนั้นก็พูดอีกว่า: “แต่ว่า ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ คุณก็อาจจะพาหลวนจื่อกลับไปไม่ได้หรอก”
หมินอันเกอหันหน้ามาและขมวดคิ้วนิดๆ
“หมายความว่าไง?”
หลวนจื่อไปที่บริษัทส่งมอบงานสุดท้ายด้วยตนเอง ดีที่ปกติเธอก็ไม่ได้สังกัดค่ายไหน กับบริษัทหวนฉิวก็เซ็นสัญญาแบบชั่วคราว ไม่มีงานที่ค้างอยู่มากนัก
พอเดินออกจากสำนักงาน ก็สังเกตเห็นแววตาที่ไม่ปรารถนาดีของผู้คนมากมาย
เพราะการแถลงข่าวในวันนั้น ตอนนี้ในเว็บเต็มไปด้วยคำวิพากษ์วิจารณ์ของเธอกับหมินอันเกอ
“หมินอันเกอในตอนนี้แย่มากๆเลย” ผู้จัดการที่อยู่ด้านหลังถอนหายใจหนึ่งครั้ง
หัวใจของหลวนจื่อเต้นตุ๊บๆ และถามกลับไปว่า: “บริษัทตัดสินใจขั้นสุดท้ายอย่างไร?”
“ถึงแม้การตัดสินขั้นสุดท้ายยังไม่มีผลออกมา แต่ฉันได้ยินว่า เมื่อวานและวันนี้แค่เพียงสองวัน ก็มีสิบกว่าบริษัทโทรศัพท์มาร้องเรียน เกินครึ่งที่จะของยกเลิกสัญญา ขอค่าชดเชยความเสียหาย เยอะมากขนาดนี้ บริษัทไม่ยอมรับผิดชอบแน่นอน หมินอันเกอแค่ชดใช้ค่าเสียหายพวกนี้ ก็คงต้องเลือดสาดเลยทีเดียว”
หลวนจื่อขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ไม่พูดอะไรอีก
ผู้จัดการมองเธอ แล้วก็พูดว่า: “เรื่องแบบนี้ คุณไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวด้วยหรอก ตัวคุณเองก็แย่เหมือนกันอยู่แล้ว”
หลวนจื่อขยับๆปาก ยิ้มอย่างขมขื่น
ติงตง
เสียงมือถือดังขึ้นกะทันหัน เธอหยิบออกมาดู เป็นข้อความที่เคอเหยียนรุ่ยส่งมา
—-ตั๋วเครื่องบินซื้อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมให้คนไปรับคุณและไปส่งที่สนามบิน
นิ้วมือกดบนหน้าจอสองสามที ส่งคำว่าขอบคุณกลับไป
เธอลงไปชั้นล่างพร้อมกับผู้จัดการส่วนตัว มาจนถึงที่จอดรถใต้ตึก มีรถเก๋งสีขาวคันหนึ่งกำลังรออยู่หน้าประตูแล้ว
ผู้จัดการช่วยเธอยกกระเป๋าเดินทางขึ้นบนรถ พูดด้วยความเป็นห่วงว่า: “รอคุณกลับไปถึงบ้าน ก็ไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว ทางโน้นไม่มีนักข่าว วางใจให้สบายๆและดูแลสุขภาพให้ดี”
หลวนจื่อพยักหน้า เธอบอกผู้จัดการว่าตนเองจะกลับบ้าน แต่ตั๋วเครื่องบินที่หลวนจื่อให้เคอเหยียนรุ่ยซื้อไม่ใช่ตั๋วเดินทางกลับบ้าน
“คุณกลับไปเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วง”
หลวนจื่อปิดประตูรถและโบกมือให้เธอ รอให้ผู้จัดการออกไปไกลแล้ว ท่าทางบนใบหน้าค่อยๆซึมลง กลายเป็นความเหนื่อยล้า
เธอค่อยๆหลับตา แล้วพิงไปด้านหลังบนเก้าอี้
“ไปสนามบิน”
รถค่อยๆขับออกไปจากที่จอดรถใต้ตึก จากนั้นวิ่งออกไปบนถนน
หลวนจื่อนั่งอยู่ด้านหลัง หลับตางีบสักพัก อีกหนึ่งชั่วโมง เธอก็จะจากเมืองนี้ไปแล้ว
หลังจากนี้ถ้าเธอไม่ปรากฏตัวอีก ไม่ว่าหมินอันเกอกับหลวนจื่อ ก็จะหาเธอไม่เจออีกแล้ว
ตอนนี้สถานการณ์ของหมินอันเกอก็แย่มากพอแล้ว รอให้ข่าวแพร่ไปถึงบ้านตระกูลหลวน ถึงตอนนั้นต้องลุกเป็นไฟแน่ๆ
ได้แต่หวังว่าจดหมายฉบับนั้น เคอเหยียนรุ่ยจะช่วยเธอส่งไปถึงมือตระกูลหลวน พวกเขาคงจะช่วยเหลือหมินอันเกอได้
เธอจากไปด้วยความเร่งรีบ ถึงขนาดไม่มีเวลาบอกเวินเที๋ยนเที๋ยน หวังว่าพวกเขาจะไม่เป็นกังวล
ผ่านไปอีกสักพักหนึ่ง หลวนจื่อถอนหายใจยาวๆ
ลืมตาขึ้นมา กลับสังเกตเห็นบรรยากาศด้านนอกผิดปกติ
ไม่เหมือนทางที่ไปสนามบิน
เธอขมวดคิ้ว รีบตื่นมานั่งอย่างรวดเร็ว
“คุณจะพาฉันไปไหน? ฉันจะไปสนามบิน”
คนขับไม่ตอบโต้อะไรเลย แม้แต่หน้าก็ไม่หันหน้ากลับมา
“คุณไม่ใช่คนที่เคอเหยียนรุ่ยส่งมาเหรอ?”
ในใจของหลวนจื่อรู้สึกกลัวขึ้นมาทันที รีบใกล้เข้าไปบอกว่า “ฉันบอกว่า ฉันจะไปสนามบิน!”
เห็นอีกฝ่ายก็ยังไม่โต้ตอบใดๆเลย เธอยิ่งกลัวมาก
ธุรกิจของตระกูลหลวนมีขนาดใหญ่มาก ข้างกายของเธอมีบอดี้การ์ดคอยดูแลความปลอดภัยตั้งแต่ยังเด็ก ถึงแม้ไม่เคยถูกลักพาตัว แต่ก็เคยได้ยินเพื่อนๆพูดถึง
หรือว่าจะถูกลักพาตัว?
ในใจของเธอตื่นตระหนกกลัว หันตัวจะไปเปิดประตูรถ
ทันใดนั้น ก็มีเสียงล็อคประตูดังขึ้น
หลวนจื่อก็กลัวมากยิ่งขึ้น
“ตกลงคุณคือใคร?”
เธอพุ่งตัวเข้าไป จะแย่งพวงมาลัยรถ
เพิ่งจะยื่นมือไป อีกฝ่ายก็จับมือเธอไว้ทันที
คนขับรถที่ใส่ใส่หมวกแก๊ปเงยหน้าขึ้น
มองจากกระจกมองหลังที่สะท้อน หลวนจื่อมองเห็นหน้าของเขา ตกใจทันทีจนลืมตาโต
“หมิน หมินอันเกอ? เป็นคุณได้ไง?”
หมินอันเกอนั่งอยู่บนที่นั่งคนขับ มองดูสีหน้าที่กำลังตกใจในกระจก
ในใจของหลวนจื่อตื่นตระหนก รีบมองดูรอบๆ ยิ่งแน่ใจว่านี่ไม่ใช่ทางที่ไปสนามบิน
“คุณจะพาฉันไปไหน?”
เรื่องที่เธอจะจากไป มีแต่ผู้จัดการส่วนตัวและเคอเหยียนรุ่ยที่รู้เท่านั้น หรือเคอเหยียนรุ่ยเป็นคนบอกเขา?
หลวนจื่อนึกคิดไปสักพัก แล้วกลับไปนั่งเบาะหลังเหมือนเดิม
หมินอันเกอขับรถนิ่งๆไปเรื่อยๆ
“ผมส่งคุณไปที่ที่ปลอดภัยที่หนึ่ง ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนักข่าว คุณพักผ่อนให้สบายใจได้”
“ไม่ต้อง” หลวนจื่อปฏิเสธ: “ส่งฉันไปสนามบินก็พอ”
หมินอันเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย
“หลวนจื่อ คุณจะไปอยู่ต่างประเทศคนเดียวได้ยังไง?”
“ฉันอยู่คนเดียวได้”
หมินอันเกอก็ยังขมวดคิ้วอยู่ สุดท้ายได้แต่หายใจลึกๆ ให้อารมณ์ตนเองใจเย็นลงหน่อย
“ผมรู้ว่าคุณโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เรื่องที่คุณพูดเมื่อก่อน ผมจะคิดดีๆ”
หลวนจื่อพูดขึ้นด้วยท่าทางที่ตกตะลึง: “เรื่องอะไร?”
“ผมจะถือว่าคุณเป็นผู้ใหญ่ ผมจะดูและลูกพร้อมกันกับคุณ ผมจะลองดูแลรักษาความรักของคุณ”
นิ้วมือของหลวนจื่อกระดิกไปหนึ่งที
“จากนั้นล่ะ?”
ท่าทางของหมินอันเกอหยุดชะงัก แล้วพูดต่อไปอีกว่า: “ผมจะลองดู”
หลวนจื่อเข้าใจความหมายของเขา ในใจเริ่มรู้สึกหวั่นไหว
ถึงแม้จะรู้ว่าตนเองชั่วช้า รู้ว่าหมินอันเกอเห็นแก่ลูกในท้อง จึงต้องยอมรับคำร้องขอเช่นนี้
เห็นโอกาสที่อยู่ตรงหน้าเช่นนี้แล้ว เธอไม่อยากจะปล่อยให้โอกาสผ่านไป
ถ้าเป็นไปได้ ถึงแม้จะมีความหวังเพียงหนึ่งในพัน เธอก็อยากจะลองดู
ถึงแม้จะถูกตีตราว่าตนเองเลวทราม เธอก็ยอม
นิ้วมือของหลวนจื่อสั่นเล็กน้อย แล้วหลับตาลง
“ได้”