เมียหวานของประธานเย็นชา - บทที่ 607 เกมพลิก
บทที่ 607 เกมพลิก
จนกระทั่งเวินหงไห่พูดออกความคิดเห็นเสร็จแล้ว ต่อมาก็เข้าสู่ขั้นตอนลงคะแนนในช่วงสุดท้าย
เขาหันไปมองพลโทนิดหน่อย สายตาของทั้งสองคนเชื่อมกันในอากาศ คล้ายกับตกลงวัตถุประสงค์บางอย่างที่ไม่สามารถบอกคนอื่นได้
พอเห็นภาพเหตุการณ์นี้ เวินเที๋ยนเที๋ยนก็ล้มเลิกความคิดไปโดยสิ้นเชิง
รู้อยู่แล้วว่าในการประชุมครั้งนี้ ตระกูลเวินจะต้องทำอะไรบางอย่างอย่างแน่นอน แต่พวกเขาก็ยังหาหลักฐานที่ผิดกฎหมายของตระกูลเวินไม่เจออยู่ดี ถึงขั้นยังทำให้พวกเขาทำสำเร็จด้วยวิธีแบบนี้อีกด้วย
มือที่วางอยู่ข้างตัวของเวินเที๋ยนเที๋ยนกำเข้าหากัน และเธอก็ขมวดคิ้วแน่นด้วยเช่นกัน
พลโทคนนั้นยืนขึ้นอย่างพอใจ หลังจากนั้นก็เดินขึ้นไปบนเวที
เขาพูดขึ้นเสียงดัง: “ ในเมื่อทุกบริษัทได้บรรยายเสร็จแล้ว ต่อไปก็ถึงขั้นตอนลงคะแนนช่วงสุดท้าย ผู้ชนะจะได้ครอบครองสิทธิ์ทั้งหมดของโครงการชิ้นนี้
พอได้ฟังคำประกาศของเขา ทุกคนกลับขาดความสนใจ เพราะต่อให้ไม่ต้องคิดให้เสียเวลา ก็ยังสามารถเดาผลสุดท้ายได้เลย
แต่สำหรับตระกูลเวินกับพลโทแล้ว เล่นละครก็ต้องเล่นให้ถึงที่สุด พลโทที่ยืนอยู่บนเวทีไม่ได้หยุดลงเพียงเท่านี้
กลับพูดขึ้นอย่างต่อเนื่องแถมยังเสียงดังกว่าเดิมอีกด้วย: “ ผมคิดว่าแผนการของบริษัทเวินซื่อกรุ้ปสมบูรณ์แบบมาก เงินทุนก็อยู่ในขอบเขตของงบประมาณ แถมยังสอดคล้องกับประเด็นหลักในครั้งนี้อีกด้วย ผมเชื่อว่าบริษัทเวินซื่อกรุ้ปจะทำโครงการนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ”
เขาเพิ่งพูดถึงตรงนี้ ฝ่ายจัดงานที่นั่งอยู่อีกฝั่งกลับขมวดคิ้ว และได้คัดค้านขึ้นเสียงเบา
“ งบประมาณของบริษัทเวินซื่อกรุ้ปต่ำเกินไป โครงการใหญ่แบบนี้ เงินหนึ่งพันล้านไม่พอต่อการประคับประคองการหมุนเวียน ยิ่งไปกว่านั้นในแผนการที่พวกเขาเสนอมาก็ยังมีช่องโหว่อีกตั้งมากมาย ไม่ว่าจะดูจากเงินทุนหรือแผนการโครงการ บริษัทเอ็มไอกรุ้ปก็ดีกว่าบริษัทเวินซื่อกรุ้ปนิดหน่อย ผมคิดว่าควรให้พวกเขามาปฏิบัติโครงการนี้นะครับ ”
เขาพูดเสร็จ พลโทกลับไม่กังวลแม้แต่นิดเดียว เขาทำแค่ยิ้มนิดหน่อย
“ ได้ ตอนนี้ผลคือหนึ่งต่อหนึ่ง งั้นเรามาดูผลของคะแนนสุดท้ายกันดีกว่า ”
พูดเสร็จ พลโทก็หันไปมองลูกน้องของตัวเองและส่งสายตาให้เขาเล็กน้อย
ฝ่ายนั้นก็ได้พยักหน้านิดหน่อยเช่นเดียวกัน
“ ผมคิดว่า…… ”
“ทำไมคุณทำอย่างลวกๆแบบนี้ล่ะ ตั้งให้ลูกน้องของตัวเองเป็นผู้ตรวจสอบแบบนี้ ไม่ใจร้อนไปหน่อยหรือไง? ”
และในตอนนี้ อยู่ๆก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากฝูงชน และขัดจังหวะการพูดของผู้ตรวจสอบคนที่สาม
ตอนนี้ไม่มีใครกล้าพูดอะไร จึงเงียบมาก เสียงคนแก่ดังก้องไปทั่วห้องประชุมอย่างชัดเจน
คนที่กำลังพูดอยู่บนเวทีก็หยุดชะงักไปทันที หลังจากนั้นเขาก็หันไปมองทางที่มีเสียงดังขึ้น
ผู้คนค่อยๆแหวกออก และไม่คิดว่าสิ่งที่เห็นเป็นอันดับแรกจะเป็นคุณนายหล่อน
คุณนายหล่อนไม่ได้เข้าร่วมการประชุมของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกครั้งนี้ คล้ายกับเพื่อหลีกเลี่ยงการสงสัย เธอจึงไม่ได้โผล่หน้าออกมาตั้งแต่เริ่ม
ไม่มีใครคิดว่าคุณนายหล่อนจะมาโผล่ที่งานประชุมการแข่งประมูลตอนนี้
อีกอย่าง ก่อนที่เธอจะปรากฏตัวออกมา ไม่คิดว่าคนอื่นๆจะไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนของเธอ เธอซ่อนตัวได้เงียบมาก
เห็นเพียงคุณนายหล่อนยืนตรง สายตาของเธอจับจ้องอยู่บนเวที และไม่รับรู้ถึงผลกระทบของสายตาที่มองมาของคนอื่นๆเลยสักนิดเดียว
แต่ไม่นานก็มีคนตอบสนองกลับมาได้
เสียงเมื่อสักครู่นั้นไม่ใช่เสียงของคุณนายหล่อน แต่เป็นเสียงของผู้ชาย ฟังดูแล้วค่อนข้างมีอายุเยอะแล้ว
คุณนายหล่อนกับเวินหงหยู้ยืนอยู่ด้วยกัน แต่ผู้คนคุ้นเคยกับเวินหงหยู้ดี เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของเขา ต่อมา สายตาของผู้คนก็ไปหยุดที่บุคคลที่สามที่ยืนอยู่ข้างพวกเขา
เห็นเพียงฝ่ายนั้นก้มหน้าเล็กน้อย เขาใส่ชุดสูทสีเทามืดอย่างพิถีพิถัน อีกทั้งยังสวมหมวกสุภาพบุรุษอีกด้วย และกำลังค้ำไม้เท้าไว้บนมือ กิริยาดูเป็นสง่ามาก
พอรับรู้ถึงสายตาของผู้คน เขาจึงกระแอมไอออกมาเบาๆ หลังจากนั้นก็เงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
“ ให้ทหารมาเป็นผู้ตรวจสอบการแข่งประมูลที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ ไม่ทำอย่างลวกๆไปหน่อยหรอ ” ฟังดูแล้ว เสียงของเขาดูอ่อนโยนมาก และนี่ก็คือคนที่พูดขัดจังหวะการแข่งประมูลเมื่อสักครู่!
พอเห็นหน้าเขา ทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมก็ส่งเสียงร้องออกมาอย่างตกใจทันที
คนมาใหม่ไม่ใช่ใครที่ไหน คือนายพลที่เป็นสมบัติแห่งชาติ——นายพลสวี่!
ถึงแม้ว่าเขาจะเกษียณไปนานแล้ว แต่ตำแหน่งของเขายังตราตรึงอยู่ในใจผู้คน คล้ายกับทุกคนคิดว่านายพลสวี่ เป็นนายพลที่เหมาะสมกับตำแหน่ง และเป็นที่ใกล้ชิดกับประชาชนที่สุด
ตอนนี้ พอเห็นนายพลสวี่โผล่หน้าออกมา สีหน้าของพลโทที่ยืนอยู่บนเวทีก็ได้แข่งทื่อไปทันที
แต่ต่อมาเขาก็เผยรอยยิ้มขึ้น และพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
“ นายพลสวี่ ท่านมาได้ยังไงครับ? ”
ท่าทียังถือว่าเคารพ แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความสงสัย
น่าแปลก
ไหนพวกเขาบอกว่านายพลสวี่ไปเที่ยวไม่ใช่หรอ?
ทำไมถึงกลับมาแล้วล่ะ?
ทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมไม่มีใครไม่รู้สึกตกใจ
นายพลสวี่ทำเพียงยิ้มนิ่งๆ หลังจากนั้นก็พูดขึ้น: “ ได้ยินมาว่าในประเทศก็จัดกิจการการแข่งประมูลที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ด้วยเหมือนกัน ผมจึงต้องมาดูสักหน่อย ”
พูดเสร็จ เขาก็เดินค้ำไม้เท้ามาด้านหน้าช้าๆ
คนอื่นๆก็พากันหลีกทางให้ ไม่มีใครกล้าขวางหน้าเขา
จนกระทั่งนายพลเดินขึ้นไปบนเวที คนจัดงานก็ได้เดินเข้ามาหาอย่างตื่นเต้น เขากำลังจะพูดกับนายพล แต่กลับถูกนายพลยกมือห้ามไว้ซะก่อน
เขามองคนทั้งสามที่อยู่บนเวทีนิดหน่อย หลังจากนั้นก็พูดขึ้นนิ่งๆ: “ ในเมื่อไม่มีคนที่เหมาะสม งั้นให้ผมเป็นสิ ถึงแม้ว่าตอนนี้ผมจะห่างหายจากกองทหารมาแล้ว แต่น่าจะยังมีสิทธิ์ในการลงคะแนนอยู่ใช่ไหม? หรือจะบอกว่าผมเทียบทหารทั่วไปไม่ได้? ”
พูดเสร็จ เขาก็มองทหารที่อยู่บนเวทีคนนั้นอย่างมีเลศนัยนิดหน่อย
เดิมที ฟังถึงครึ่งประโยค พลโทก็อยากจะคัดค้านแล้ว แต่พอฟังถึงประโยคสุดท้าย เขากลับรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาทันที
ผ่านไปสักพัก เขาก็ได้ฝืนยิ้มออกมาอย่างยากลำบาก
“ ได้สิครับ ท่านถึงจะเป็นคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดในการตัดสิน ”
พูดเสร็จ เขาก็ผายมือเชิญให้นายพลมาที่กลางเวที
พอเห็นนายพลที่โผล่มาอย่างกะทันหัน เวินหงไห่ที่เมื่อสักครู่ยังมั่นใจว่าจะชนะก็รู้สึกเป็นกังวลทันที
ทำไมต้องมาตอนที่สำคัญที่สุดแบบนี้ด้วย?
ห่างจากความสำเร็จเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น กลับถูกนายพลที่โผล่มากลางทางขัดจังหวะซะก่อน!
เขารู้สึกไม่พอใจในใจ กลับทำได้เพียงกัดฟันและกลืนมันลงไปในท้องหลังจากนั้นก็มองนายพลสวี่เข้ามาแทนที่ทหารคนนั้น และกลายเป็นผู้ตรวจสอบคนที่สาม
การปรากฏตัวของนายพล เหมือนเป็นการป้อนยาลูกกลอนให้กับทุกคน
เขามองพวกเขาช้าๆ
“ ตามขั้นตอนเมื่อสักครู่ ก็ถึงตาผมลงคะแนนสุดท้ายแล้วใช่ไหม? ตอนนี้ผลคือหนึ่งต่อหนึ่ง ถูกไม่ถูก? ”
เขามองพลโทกับฝ่ายจัดงานที่อยู่ตรงหน้านิดหน่อย พวกเขาทั้งสองคนก็ได้พยักหน้า
แต่พลโทมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก เขากลัวว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง จึงพูดเตือนขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ นายพลสวี่ครับ จากการสังเกตการณ์เมื่อสักครู่ ไม่ว่าจะดูจากด้านอะไร บริษัทเวินซื่อกรุ้ปก็เหมาะสมกับโครงการนี้มากกว่าครับ หลายคนที่อยู่ในนี้ก็คิดแบบนี้เช่นกัน ”
คนที่ยืนอยู่ด้านล่างเวทีได้ยิน ก็พากันแสดงอาการเหยียดหยามออกมาทันที
ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ความคิดของเขาคนเดียวสามารถมาคิดแทนคนอื่นๆได้กันนะ?
นายพลสวี่ฟังพลโทพูดเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไร เขาทำเพียงยิ้มนิ่งๆ แต่ในดวงตากลับมีความหมายลึกซึ้งอยู่ในนั้น
รอจนพลโทพูดเสร็จ เขาถึงจะโบกมือนิดหน่อย
“ ไม่ต้องพูดแล้ว ผมเข้าใจ ”
พูดเสร็จ เขาก็หันสายตาไปมองทุกคน
“ เมื่อสักครู่ ผมได้ฟังคำบรรยายของทุกคนแล้ว อีกอย่าง พอมาคิดอย่างละเอียด โครงการครั้งนี้ก็ถือว่ายิ่งใหญ่มากจริงๆ เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นต้องทำการเลือกอย่างละเอียดรอบคอบ ”