เมียหวานของประธานเย็นชา - บทที่ 742 หาหลักฐาน
บทที่ 742 หาหลักฐาน
หลายคนมองหน้ากัน แต่กลับไม่มีใครพูด
สายตาของเวินเที๋ยนเที๋ยนกวาดไปมองยังทุกคน หลายคนที่หัวเราะเยาะเย้ยหลวนจื่อในการซ้อมวันนั้นก็อยู่ในนี้ด้วยเช่นกัน
อาจเป็นหนึ่งในนั้นหรือเปล่า?
ทั้งหมดหยุดชะงักลง และไม่มีใครเอ่ยปากพูด
เคอเหยียนรุ่ยมีสีหน้าเคร่งเครียด
“ถ้าพวกคุณไม่ยอมบอก…”
เวินเที๋ยนเที๋ยนยกมือขึ้นเล็กน้อยและหยุดเขา
จากนั้น เธอก็เดินขึ้นไปข้างหน้าและพูดกับคนเหล่านั้น “ต่อให้พวกคุณไม่รู้ว่าเป็นใครก็ไม่เป็นไร ขอแต่บอกเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องแต่งตัววันนี้มาก็พอ วันนี้ใครเป็นคนสุดท้ายที่จะออกไป? ”
หลังจากได้ยินคำถามนี้ นางแบบหลายคนก็มองหน้ากัน และในที่สุด สายตาของพวกเธอก็ตกลงไปที่นางแบบที่ยืนอยู่ด้านหลัง
เวินเที๋ยนเที๋ยนมองตามสายตาของกลุ่มคนไป เมื่อเห็นคนๆ นั้น คิ้วของเธอก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย
เธอจำได้ว่า การซ้อมในวันนั้น มีนางแบบหลายคนที่นั่งอยู่ด้านหนึ่งเอ่ยเยาะเย้ยหลวนจื่อ และคนๆ นี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น
เมื่อเห็นว่าสายตาของทุกคนตกมาที่ตนเอง นางแบบคนนั้นก็ดูลุกลี้ลุกลนอยู่บ้าง
“พวกคุณมองฉันทำไม? เกี่ยวอะไรกับฉัน? ”
นางแบบคนอื่นๆ เอ่ยขึ้น “ฉันจำได้ว่า วันนี้ตอนที่เราเตรียมตัวขึ้นเวทีอยู่ในห้องแต่งตัว คุณแสดงออกว่าไม่พอใจหลวนจื่อ สุดท้ายพอพวกเราออกจากห้องแต่งตัวไป คุณก็คือคนสุดท้ายที่อยู่ในห้องแต่งตัว”
เมื่อคนๆ นั้นได้ยิน เธอก็รีบเอ่ย “คนที่ไม่พอใจหลวนจื่อ ไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียว พวกคุณกล้าพูดไหมว่าไม่เคยเอ่ยพูดจาไม่ดีเกี่ยวกับหลวนจื่อ? ฉันว่า พวกคุณคงนึกอยากจะเอาตัวรอดก็เลยโยนความผิดนี้มาให้ฉันมากกว่า” ที่
เมื่อนางแบบหลายคนได้ยิน ใบหน้าก็แสดงออกถึงความไม่พอใจ
“พวกเราไม่ได้บอกสักนิดว่าคุณทำ แค่บอกว่าคุณเป็นคนสุดท้ายที่ออกจากห้องแต่งตัวในวันนั้น ก็แค่พูดเรื่องจริง ถ้าคุณไม่ได้ทำ แล้วจะร้อนตัวไปทำไม?”
คนๆ นั้นถูกย้อนกลับ และแค่นเสียงออกมาอย่างเย็นชา
“ฉันไม่เคยทำเรื่องแบบนี้ ตอนนี้ฉันยุ่งจนแทบจะแย่อยู่แล้ว จะเอาเวลาที่ไหนไปทำลายชุดของคุณ?”
พูดไป เธอก็หันไปมองหลวนจื่อและหัวเราะเยาะขึ้นมา
“อย่าคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จนิดๆ หน่อยๆ ใครๆ ก็ต้องไปอิจฉาคุณ คนที่ดีกว่าคุณมีถมเถไป ใครจะมาว่างนั่งอิจฉากัน?”
พูดจบ เธอก็ลุกขึ้นทันที จากนั้นจึงเดินออกไป
“ถ้าพวกคุณไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ฉันไปล่ะ ฉันไม่ได้มีเวลาอยู่เป็นเพื่อนพวกคุณมากขนาดนั้น”
เพิ่งจะเดินออกไปได้แค่ก้าวเดียว เวินเที๋ยนเที๋ยนกลับยกมือขึ้นเพื่อหยุดเธอไว้
“ขออภัย คุณยังไปไม่ได้”
“คุณอาศัยอะไรมาหยุดฉัน?” นางแบบถลึงตาใส่เวินเที๋ยนเที๋ยนและด่าอย่างไม่พอใจ
จี้จิ่งเชินขมวดคิ้ว ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชาและเดินไปข้างหน้าเตรียมจะเอ่ยปาก แต่กลับถูกสายตาของเวินเที๋ยนเที๋ยนห้ามเอาไว้เสียก่อน
เมื่อจี้จิ่งเชินสงบลง เธอก็เอ่ยปากด้วยสีหน้าจริงจัง
“เนื่องจากเรื่องนี้ยังไม่ได้ข้อยุติ ใครก็ไม่สามารถออกไปได้ เท่าที่ฉันรู้ วันนี้พวกคุณไม่ได้มีงานอื่นนี่? ทำไมต้องรีบกลับด้วย?”
นางแบบที่ถูกหยุดเอาไว้ไม่เอ่ยพูด
เวินเที๋ยนเที๋ยนเอ่ยต่อ “จากที่เคอเหยียนรุ่ยตรวจสอบครั้งสุดท้าย จนกระทั่งหลวนจื่อใส่กระโปรงนั้นขึ้นไปบนเวที มีเพียงคุณที่อยู่ในห้องแต่งตัวนั้นคนเดียวหลายนาที ส่วนคนอื่นๆ ไม่มีโอกาสได้ลงมือ คุณอาศัยอะไรมายืนยันว่าตัวเองไม่ได้ทำ?”
คนนั้นเอ่ยอย่างลนลานขึ้นมา “ฉันบอกไม่ใช่ก็ไม่ใช่ คุณพูดปากเปล่า ฉันจะฟ้องว่าคุณใส่ร้ายฉัน! ”
เมื่อเห็นว่าเวินเที๋ยนเที๋ยนไม่ได้เอ่ยพูด เธอจึงหันหน้าไปและพูดขึ้น “ยิ่งไปกว่านั้น ร่องรอยที่เอวของชุดนั่นมองไปแล้วถูกปกปิดเอาไว้อย่างดี ดูแล้วบางทีอาจไม่ใช่พวกเราที่ทำมันขึ้นมา ถ้าฉันเป็นคุณ ฉันจะไปถามพวกทีมงานพวกนั้น จะมาจับพวกเรานางแบบเอาไว้ไม่ยอมปล่อยทำไมกัน”
“ยิ่งไปกว่านั้น…” เธอมองไปที่เคอเหยียนรุ่ยและพูดว่า “บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่พวกคุณคิดเอาไว้อยู่แล้ว?”
เคอเหยียนรุ่ยที่ได้ยินเข้าใบหน้าก็แสดงออกถึงความโกรธขึ้นมาทันที
“ในงาน ทีมงานทุกคนมากับฉันทั้งหมด พวกเขาทั้งหมดมีส่วนในการออกแบบและวางจำหน่ายในครั้งนี้ ยิ่งไปกว่านั้นความเสียหายของเสื้อผ้า สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่มีข้อดีอะไรเลยสักนิด ไม่ได้อยู่ในแวดวงเดียวกันก็ไม่จำเป็นต้องมีใจอิจฉา คนที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้ มีแค่นางแบบแบบพวกคุณเท่านั้น”
เคอเหยียนรุ่ยโทษตัวเองอย่างยิ่ง น้ำเสียงของเขาเอ่ยอย่างรุนแรง
หลวนจื่อไม่ได้รับงานแฟชั่นโชว์มานานกว่าครึ่งปี และใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายมาตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะคำขอของเขา หลวนจื่อคงไม่มาเสี่ยงต่อคำวิจารณ์และอันตรายเพื่อที่จะกลับมายัง T-stage
อีกทั้งตอนนี้ ก็เกิดเรื่องขึ้นแล้วด้วย
ต้องโทษที่เขา และจะต้องมีคำตอบให้แก่หลวนจื่อ
เขาจะปล่อยมันไปได้อย่างไร?
ท่าทีของนางแบบคนนั้นหยิ่งผยองอย่างมาก เธอเอ่ยต่อ “ใครจะไปรู้? บางทีคุณอาจจะใช้ตัดไปถูกด้านหลังเองก็ได้? อยากอาศัยหลวนจื่อที่เปลือย ดึงดูดความสนใจของพวกนักข่าว ทำให้เป็นกระแสขึ้นมา”
“ไม่กี่ปีมานี้คุณไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่ ทำเรื่องแบบนี้ออกมา ก็ไม่น่าแปลก”
เคอเหยียนรุ่ยถูกเธอใส่ร้าย สีหน้าของเขาก็ซีดลงด้วยความโกรธ
“นี่คุณกำลังพูดจาไร้สาระ!”
“เป็นเรื่องไร้สาระหรือเปล่า? มีเพียงคุณเท่านั้นที่รู้ หลีกไป ฉันจะเดิน! ”
พูดจบ เธอก็ผลักเคอเหยียนรุ่ยออกไป และเตรียมตัวจากไป
แต่เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เวินเที๋ยนเที๋ยนกลับเข้ามาขวางไว้ด้านหน้า
คนๆนั้นขมวดคิ้วทันที
“คุณคิดจะทำอะไรอีก?”
“แน่นอนว่าไม่สามารถปล่อยให้คนที่ทำลายเสื้อหนีไปได้”
“คำพูดของคุณหมายความว่ายังไง?”
“คุณใช้กรรไกรตัดเสื้อผ้าของหลวนจื่อ จนทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น คุณจงใจทำมัน” เมื่อเวินเที๋ยนเที๋ยนเอ่ยขึ้น คนๆ นั้นก็ตื่นตระหนกขึ้นมาทันที
“คุณพูดไร้สาระอะไร?”
“คุณแน่ใจเหรอว่าฉันพูดเรื่องไร้สาระ? ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนหยิบชุดในมือของเคอเหยียนรุ่ยมา มันเป็นกระโปรงสีฟ้าอ่อน ในเวลานี้มีช่องว่างขนาดใหญ่อยู่ที่ด้านหลัง เห็นได้ว่ามีคนเอากรรไกรมาตัด
“พวกเราไม่เคยพูดมาก่อนเลยว่าชุดนี้ถูกตัดที่ด้านหลัง นับตั้งแต่หลวนจื่อลงมา ชุดนี้ก็ถูกคุณเคอถือเอาไว้ในมือตลอด พวกคุณเองก็ไม่ได้มีโอกาสจะดูมัน แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าจุดที่โดนตัดอยู่ตรงไหน?”
คนๆ นั้นหน้าซีดขาวและพูดอย่างร้อนรน “นั่น…นั่นก็เพราะพวกคุณเพิ่งจะพูดถึงมันไง”
“เปล่า” เวินเที๋ยนเที๋ยนตอบโต้อย่างใจเย็น “มีแค่คุณที่รู้ว่าชุดนี้มันพังอยู่ตรงไหนก่อนที่หลวนจื่อจะสวมใส่ นั่นก็เพราะคนที่ใช้กรรไกรนั่นตัดเสื้อผ้าก็คือคุณ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนพูดจบ คนๆ นั้นก็ลุกลี้ลุกลนขึ้นมาสุดขีด
“ฉัน…ฉันก็แค่คาดเดาไปเท่านั้น…”
“คุณเดามาคำเดียว ก็เดาถูกทันทีว่ากระโปรงถูกตัดที่ไหน? ช่างเก่งกาจเสียจริง”
หลังจากคำที่เวินเที๋ยนเที๋ยนเอ่ย คนอื่นๆ เมื่อได้ยินเข้า ก็เข้าใจขึ้นมาทันที
“เป็นคุณที่ตัดเสื้อผ้าที่ฉันออกแบบจริงๆ ด้วย! ”
เคอเหยียนรุ่ยเดินเข้ามาอย่างไม่พอใจและพูดอย่างโมโห “คุณก็รู้ว่านี่เป็นผลงานที่โดดเด่นที่สุดในงาน และเป็นผลงานฟินาเล่ คุณยังจะทำแบบนี้อีก ตั้งใจจะทำอะไร?