เมียหวานของประธานเย็นชา - บทที่ 867 อาการป่วยแย่ลง
บทที่ 867 อาการป่วยแย่ลง
“เป็นอะไรไป?” หล่อนหลีแกะกุ้งให้เธอ แล้ววางลงในชามของเวินเที๋ยนเที๋ยน “มีเรื่องอยากคุยกับแม่?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนฝืนยิ้มออกมา ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
“ไม่ใช่……ไม่เป็นไร”
หล่อนหลีมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าอย่างอารมณ์ดี
“พูดมาเถอะ ถ้าหากว่าแม่ทำได้ จะทำให้แน่นอน”
เวินเที๋ยนเที๋ยนส่ายหน้า เกรงว่าเธอจะไม่เห็นด้วย
เวินหงหยู้รู้ความคิดในใจของเวินเที๋ยนเที๋ยน หลังจากมื้อเย็นแล้วจึงพาจี้จิ่งเชินออกไปด้วยเหตุผลว่าไปดูที่พัก
ในห้องจึงเหลือเพียงเวินเที๋ยนเที๋ยนกับหล่อนหลี
“คุณแม่ หนูมีเรื่องอยากคุยกับคุณแม่”
เวินเที๋ยนเที๋ยนพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้ง กลับเห็นหล่อนหลีพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“แม่ดูออกนานแล้วว่าลูกมีเรื่องอยากพูด”
“คุณแม่รู้?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนชะงักไป คิดว่าหล่อนหลีรู้เรื่องที่เธออยากย้ายกลับไปที่ปราสาทเก่าแล้ว
“ที่โต๊ะอาหารลูกน่าจะอยากพูดเรื่องนี้ใช่ไหม แค่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงไม่พูดออกมา”
เดิมหล่อนหลีเดาได้แค่ว่าเธอมีเรื่องอยากจะพูด
แต่กลับไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร
เวินเที๋ยนเที๋ยนพยักหน้าเล็กน้อย แล้วเอ่ยกับเธอ “หนูอยากย้ายกลับไปที่ปราสาทเก่า คุณแม่กับคุณพ่อก็ย้ายไปด้วยกัน ได้ไหม?”
เธอมองหล่อนหลีอย่างกระวนกระวายใจ
“ย้ายไปที่ปราสาทเก่า?”
หล่อนหลีมองเวินเที๋ยนเที๋ยนอย่างอึดอัดใจ “ไม่ใช่ว่าลูกอยากพักอยู่ที่ตระกูลหล่อนเหรอ ทำไมถึงอยากย้ายกลับไปที่ปราสาทเก่าอีก?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนรู้ว่าหล่อนหลีจะต้องถามเธอ จึงคิดหาคำตอบเตรียมไว้แล้ว
“แม้ว่าตระกูลหล่อนจะเป็นบ้านของแม่หนู แต่ไม่ได้คุ้นชินไปกว่าที่ปราสาทเก่า”
เธอไม่ได้พูดถึงเรื่องที่จี้จิ่งเชินทุกข์ทรมานเพราะเธอ
เพราะเธอไม่อยากบอกคนอื่นถึงด้านที่ลำบากของเขา
ยิ่งไปกว่านั้น สาเหตุที่เขาปั่นป่วนขนาดนั้นก็เป็นเพราะเธอ
เธอบอกเรื่องนี้กับเวินหงหยู้ตามตรง เพราะเธอคิดว่าเวินหงหยู้จะเข้าใจเวินเที๋ยนเที๋ยน
แล้วความจริงก็เป็นเช่นนั้น หลังจากที่เวินหงหยู้รู้แล้ว ไม่เพียงแค่ไม่ได้ไม่พอใจ แต่ยังช่วยให้คำแนะนำเธออีกด้วย
คำแก้ตัวนี้ เวินหงหยู้ก็เป็นคนหาให้เธอ
ดังนั้นเธอจึงโกหกหล่อนหลี
หล่อนหลีได้ยินเวินเที๋ยนเที๋ยนพูดแบบนั้นก็ไม่สบายใจเล็กน้อย
เธอโตที่ตระกูลหล่อน ตระกูลหล่อนก็เทียบเท่ากับเป็นบ้านของเธอ
ลูกสาวไม่อยากอยู่ที่บ้าน ทำให้เธอเองก็หมดหนทาง
“แต่ว่า……ที่ตระกูลหล่อนคนรับใช้เยอะ ดูแลได้เต็มที่กว่า”
หล่อนหลียังคงไม่อยากให้เวินเที๋ยนเที๋ยนกลับไปที่ปราสาทเก่า
เวินเที๋ยนเที๋ยนอดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้น เป็นอย่างที่เวินหงหยู้พูดไว้จริงๆ หล่อนหลีจะต้องคิดหาวิธีเกลี้ยกล่อมเธอ
อย่างแรก คือคนรับใช่ที่ปราสาทเก่าน้อย
“หมอเคยบอกว่า หนูต้องพักผ่อนอย่างสงบๆ คนรับใช้ยิ่งน้อยยิ่งดี”
นี่ก็เป็นเรื่องจริง
หล่อนหลีขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่สักพัก ไม่ได้ตอบ
ได้ยินดังนั้น เวินเที๋ยนเที๋ยนก็เม้มริมฝีปาก ราวกับกำลังลำบากใจเล็กน้อย “ถ้าหากหนูอยู่ที่ปราสาทเก่าแล้วคิดถึงพวกท่าน ก็ไม่ดีต่อการบำรุงรักษาร่างกายแล้ว”
ได้ยินเวินเที๋ยนเที๋ยนพูดถึงขนาดนี้ หล่อนหลีก็ไม่กล้าปฏิเสธแล้ว
เกี่ยวกับสุขภาพของลูกสาว แน่นอนว่าเวินเที๋ยนเที๋ยนพูดขนาดนี้แล้วเธอก็ต้องทำแบบนี้
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ แม่ปรึกษากับพ่อหนูก่อน กำหนดเวลาแล้วพาลูกไปที่ปราสาทเก่าด้วยกัน”
ที่จริงแล้วแค่เก็บของไม่ได้มากมาย เธอเพียงแค่อยากถ่วงเวลา
เธอไม่มีวิธีห้ามเวินเที๋ยนเที๋ยนแล้ว บางทีเวินหงหยู้อาจจะห้ามได้?
เทียบกับปราสาทเก่าแล้ว เธอยังอยากให้เวินเที๋ยนเที๋ยนพักฟื้นที่ตระกูลหล่อน
ไหนเลยจะรู้ว่ากลับไปพูดกับเวินหงหยู้เรื่องนี้แล้ว เขากลับไม่ได้ไม่เห็นด้วยเหมือนกับเธอ แต่กลับสนับสนุนเป็นอย่างมาก
“ได้สิ ผมเองก็อยากไปดูปราสาทเก่า ถ้าเที๋ยนเที๋ยนอยู่ที่ปราสาทเก่าอย่างสบายใจ ผมเองก็วางใจแล้ว”
คำพูดของเวินหงหยู้กลับทำให้หล่อนหลีใจเต้นเล็กน้อย
ที่พวกเขาไม่วางใจที่สุดไม่ใช่เวินเที๋ยนเที๋ยนหรอกเหรอ?
ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงไม่วิ่งหน้าตั้งมาเมื่อได้ยินว่าเวินเที๋ยนเที๋ยนเข้าโรงพยาบาล
อยู่ที่ปราสาทเก่าก็ดีเหมือนกัน ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่สามารถดูแลเธอไปตลอดได้
หลังจากที่เวินเที๋ยนเที๋ยนคลอดลูกแล้ว ก็ต้องอยู่ที่ปราสาทเก่าอยู่ดี
เมื่อคิดแบบนี้หล่อนหลีก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าเล็กน้อย
อย่างแรกคือเป็นห่วงสุขภาพของเวินเที๋ญนเที๋ยน กลัวว่าเธอจะทนไม่ไหว อย่างที่สองคือลูกสาวโตจนแต่งงานแล้ว เธอพลาดการเติบโตของเวินเที๋ยนเที๋ยน ผ่านไปพริบตาเดียว ลูกสาวก็โตแล้ว
เธอยังไม่ทันได้ทดแทนให้เธอเลย
“คุณอย่าเศร้าใจไปเลย ล้วนเป็นการตัดสินใจของเที๋ยนเที๋ยน พวกเราไม่ว่าใครก็ไม่ควรขัดขวางเธอ”
เวินหงหยู้เห็นคนรักเศร้าใจก็รีบรวบเธอเข้ามากอด
ใช่แล้ว พวกเขาพ่อแม่ที่ไม่ได้เรื่อง ที่ควรทำไม่ใช่ขัดขวางเวินเที๋ยนเที๋ยน แต่เป็นช่วยสนับสนุนเธอ
เธออยากคลอดลูก พวกก็ควรที่จะช่วยเหลือเธอ ดูแลเธออย่างสุดความสามารถ
เธออยากกลับไปอยู่ที่ปราสาทเก่า พวกเขาก็ควรที่จะย้ายไปที่ปราสาทเก่ากับเธอ
“คุณพูดถูก”
หล่อนหลีพยักหน้าแรงๆ “ตอนนี้เธอต้องการพวกเราที่สุด พวกเราควรปกป้องเธอทุกฝีก้าว”
นี่เป็นเรื่องเดียวที่พวกเขาจะทำให้เวินเที๋ยนเที๋ยนได้แล้ว
หล่อนหลีกับเวินหงหยู้ไม่ใช่คนผัดวันประกันพรุ่ง วันรุ่งขึ้นจึงเก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้ว พร้อมเสื้อผ่าไว้สำหรับผลัดเปลี่ยน
สุดท้ายเมื่อมาหาเห็นเวินเที๋ยนเที๋ยน เวินเที๋ยนเที๋ยนก็บอกพวกเขาอย่างอายๆ “หนูยังไม่ทันได้พูดกับจี้จิ่งเชิน……”
เธอคิดไม่ถึงจริงๆ ว่า หล่อนหลีกับเวินหงหยู้จะตกลงยอมย้ายไปอยู่ที่ปราสาทเก่ากับเธอรวดเร็วแบบนี้
ได้ยินน้ำเสียงของหล่อนหลีเมื่อวาน เธอยังคิดว่าอาจจะยังคงโอ้เอ้
“เด็กโง่ แค่ลูกเป็นคนตัดสินใจ พวกเราต้องตกลงแน่นอนอยู่แล้ว”
หล่อนหลีหวีผมให้เวินเที๋ยนเที๋ยนอย่างอ่อนโยน
เวินหงหยู้ไม่รบกวนการสนทนาของพวกเธอสองแม่ลูก จึงเดินออกจากห้องนอนของเวินเที๋ยนเที๋ยนไปรอพวกเธอทานอาหารเช้าที่ร้องรับแขก
หน้าโต๊ะเครื่องแป้งจึงเหลือแค่เวินเที๋ยนเที๋ยนกับหล่อนหลีสองแม่ลูก
เวินเที๋ยนเที๋ยนยิ้มให้หล่อนหลีในกระจก “ขอบคุณค่ะคุณแม่”
ขอบคุณที่ยอมแพ้ที่จะอยู่ที่ตระกูลหล่อนเพื่อเธอ
แล้วก็ขอบคุณที่ยอมไปอยู่ที่ปราสาทเก่าที่ไม่คุ้นเคยกับเธอ
หล่อนหลีเข้าใจความหมายของเวินเที๋ยนเที๋ยน จึงส่ายหน้าเล็กน้อย “แม่ทำอะไรให้ลูกเพราะควรทำ จะขอบคุณอะไรกัน?”
ขณะที่กำลังพูด ทันใดนั้นหล่อนหลีก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสแปลกๆ ในมือ
เมื่อก้มลงมอง ผมจำนวนมากได้ขาดติดอยู่บนหวี
อาการป่วยของเวินเที๋ยนเที๋ยน……ถึงขั้นนี้แล้วเหรอ?
นัยน์ตาเธอฉายแววตื่นตระหนก แต่ก็ถูกปกปิดไว้อย่างรวดเร็ว
เวินเที๋ยนเที๋ยนไม่ได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของหล่อนหลี
เธอเอ่ยกับหล่อนหลีอย่างยินดี “โชคดีที่มีคุณแม่ ไม่อย่างนั้น หนูก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดีแล้ว”
เธอเป็นผู้นำตระกูลหล่อน แต่กลับไม่สามารถดูแลบริษัทได้
ต่อให้คนตระกูลหล่อนไม่โทษเธอ แต่เธอก็รู้สึกไม่ดีอยู่ในใจ
หล่อนหลีฝืนยกริมฝีปากขึ้น ซ่อนร่องรอยต่างๆ ไว้ข้างหลัง
“ยังมีแม่อยู่ เรื่องที่บริษัทลูกไม่ต้องเป็นห่วง มีเรื่องอะไรกวนใจก็บอกแม่ แม่เต็มใจเป็นผู้รับฟังที่ดีของลูก”
น้ำเสียงอ่อนโยนของหล่อนหลี ราวกับบ่อน้ำพุร้อน ทำให้เวินเที๋ยนเที๋ยนรู้สึกอาวรณ์และพึ่งพาได้
เวินเที๋ยนเที๋ยนอดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้น
“ใช่แล้วคุณแม่ ลำบากคุณพ่อคุณแม่รออีกสักครู่” ทันใดนั้นเวินเที๋ยนเที๋ยนก็นึกถึงเรื่องย้ายบ้านขึ้นมา “หนูไปบอกเรื่องนี้กับจี้จิ่งเชินก่อน”
“ไม่รีบ ทานมื้อเช้าแล้วค่อยคุย”
หล่อนหลีลูบไหล่ของเธอ “เรื่องอะไรก็ไม่สำคัญเท่าการดูแลรักษาสุขภาพของลูก”
เวินเที๋ยนเที๋ยนพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง