เมียหวานของประธานเย็นชา - บทที่1086 เสนอร่วมงานในนามของพิพิธภัณฑ์
วัตถุโบราณจำนวนมากถูกยกเข้ามาทีละชิ้น เวินเที๋ยนเที๋ยนรีบนำพนักงานคนอื่นๆ ในพิพิธภัณฑ์เตรียมกิจกรรมดีๆ หลายอย่างสำหรับการขุดพบในครั้งนี้
แต่พวกเขายังคงรู้สึกกังวลกับเรื่องนี้อยู่เล็กน้อย
“ถ้าหากต้องการเตรียมกิจกรรมใหม่ จะต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก”
“ใช่แล้ว ตามสถานการณ์ของพิพิธภัณฑ์ตอนนี้แล้ว ยากมากที่จะเอาออกมาได้ ยื่นคำร้องทั้งยุ่งยากและซับซ้อน น่าจะต้องรอประมาณหนึ่งเดือนกว่าจะเสร็จสิ้น…..”
เวินเที๋ยนเที๋ยนได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว
“ถ้าแบบนั้นก็ยุ่งยากจริงๆ”
“ใช่แล้ว!” เฉินหยุนรีบเอ่ยขึ้น “นอกจากยื่นคำร้องเบิกงบประมาณแล้ว ยังสามารถหาผู้สนับสนุนก็ได้ ภัณฑารักษ์คนก่อนก็ทำแบบนี้ได้ผลดีเลย แต่ว่าจะสามารถหาผู้สนับสนุนได้ไหม? ก็คงต้องพึ่งดวงแล้ว”
“หาผู้สนับสนุน? รู้สึกว่าจะไม่เลวเลย”
เวินเที๋ยนเที๋ยนยกมือขึ้นค้ำปลายคาง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ย “เธอคิดว่าบริษัทเอ็มไอกรุ๊ปจะรับข้อเสนอนี้ไหม?”
เฉินหยุนได้ยินดังนั้นก็ตกใจไปเล็กน้อย
“ถ้าหากคุณเป็นคนพูดเอง ประธานจี้น่าจะตกลงทันที”
เวินเที๋ยนเที๋ยนกลับส่ายหน้าแล้วเอ่ย “ไม่ ฉันไม่ได้อยากใช้ชื่อของตัวเอง แต่จะใช้ชื่อของพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ ถ้าหากพวกเราคิดหาแผนงานดีๆ ได้ล่ะก็ อีกฝ่ายก็น่าจะตกลง”
เฉินหยุนรู้สึกไม่เข้าใจเล็กน้อย
ตามสถานะของเวินเที๋ยนเที๋ยนแล้ว เพียงแค่เอ่ยปาก อีกฝ่ายจะต้องตกลงอย่างแน่นอน ทำไมต้องทำเรื่องยุ่งยากแบบนี้ด้วย?
แต่เมื่อเห็นเธอเริ่มตรวจสอบข้อมูลและเขียนแผนงานจึงส่ายหน้าอย่างอดไม่ได้ ไม่รู้จริงๆ ว่าเธอต้องการจะทำอะไรกันแน่?
วันต่อมา แผนงานเกี่ยวกับงานนิทรรศการของพิพิธภัณฑ์ก็ส่งไปที่คอมพิวเตอร์ของผู้จัดการรจาง ผู้จัดการฝ่ายการร่วมมือและการลงทุนของบริษัทเอ็มไอกรุ๊ป
ตามสถานะของบริษัทเอ็มไอกรุ๊ปแล้ว ทุกวันล้วนมีคนต้องการเจรจาอยากร่วมงานกับพวกเขาอยู่นับไม่ถ้วน
เพียงแต่ว่าแผนงานส่วนมากนั้นก็คล้ายๆ กัน เขาอ่านมามากพอแล้ว
ผู้จัดการรจางเปิดอีเมลอ่านอย่างไม่รีบร้อน ไปชงกาแฟหนึ่งแก้ว คุยกับคนอื่นอยู่สักพักถึงจะกลับมาเปิดอ่านแผนงานฉบับนั้น
อ่านไปอ่านมา สีหน้ากลับค่อยๆ เคร่งขรึมจริงจังขึ้น
เขานั่งตัวตรง จ้องมองทุกรายละเอียดของแผนงานด้วยตาเป็นประกายขึ้นมา
“ไม่เลวนี่!”
แต่ไม่นานเขาก็ต้องกลับมาขมวดคิ้วอย่างรวดเร็ว แผนงานไม่มีการลงนาม ทิ้งไว้แค่ช่องทางการติดต่อ
ผู้จัดการรจางรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย อ่านแผนงานอีกครั้งแล้วจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกหาหมายเลขที่ทิ้งไว้ด้านบน เชิญอีกฝ่ายมาที่บริษัท
ตามด้วยหยิบเอาแผนงานนั้นขึ้นไปที่ห้องทำงานของท่านประธาน ต้องการที่จะคุยกับจี้จิ่งเชินต่อหน้า
เขาขึ้นไปชั้นบนอย่างเร่งรีบ กลับถูกจงหลีขวางไว้
“เกิดอะไรขึ้น? ถึงได้ดูร้อนรน?”
คนนั้นยกแผนงานที่พึ่งปริ้นมาขึ้นแล้วเอ่ยอย่างตื่นเต้น “ในมือผมตอนนี้มีแผนงานดีๆ สามารถได้ผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย และทำให้ยกระดับชื่อเสียงของบริษัทไปอีกระดับหนึ่งได้!”
จงหลีที่เห็นท่าทางตื่นเต้นของผู้จัดการรจางเป็นครั้งแรก ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“แผนงานที่ส่งเข้าอีเมลทุกวันยังน้อยไปเหรอ?”
“นี่มันไม่เหมือนกัน!”
ผู้จัดการรจางเอ่ยอย่างตื่นเต้น “น้อยมากที่ผมจะเห็นแผนงานดีๆ แบบนี้ และถ้าประธานจี้อ่านแล้วเขาจะต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน!”
พูดเสร็จก็เคาะประตูแล้วเดินเข้าไป
“มีเรื่องอะไร?”
เมื่อเข้าไปเสียงของจี้จิ่งเชินก็ดังลอยมา เจือด้วยความเย็นยะเยือก ทำให้ผู้จัดการรจางที่กำลังยกเท้าเดินเข้าไปชะงักอยู่กับที่
ลังเลอยู่หนึ่งวินาทีแล้วเดินเข้าไปต่อ ความสุขลดไปถึงครึ่งหนึ่ง ทันใดนั้นเองก็รู้สึกว่าตนเองนั้นตื่นเต้นมากเกินไป
ตอนนั้นตรวจสอบไปแค่สองสามครั้ง ถ้าเกิดว่ามีจุดไหนเป็นที่ไม่พอใจจะไม่แย่เอาเหรอ?
เขารู้สึกลังเล แต่ก็ได้แต่ต้องกัดฟันเอ่ย “ประธานจี้ ตอนนี้ผมเจอแผนงานดีๆ คุณอ่านดูได้”
พูดพลางวางแผนงานไว้บนโต๊ะ
จี้จิ่งเชินจึงรับไปเปิดอ่าน
ผู้จัดการรจางยืนอยู่ข้างๆ อย่างตื่นเต้น และรู้สึกกังวลเล็กน้อย
ถ้าอยู่ๆ จี้จิ่งเชินโกรธแล้วด่าเขาขึ้นมาจะทำอย่างไรดี?
เขาคิดไปพลางๆ ก็ยิ่งรู้สึกกังวล เมื่อเงยหน้าขึ้นกลับเห็นว่าน้ำแข็งบนหน้าของจี้จิ่งเชินได้หายไปแล้ว ราวกับเป็นฤดูใบไม้ผลิที่หิมะหลอมละลาย
ลายเส้นของอวัยวะบนหน้าดูนุ่มนวลขึ้นเล็กน้อย ก็ตกตะลึงไปทันที
เกิดอะไรขึ้น?
หรือว่าแผนงานนี้จะดีขนาดนั้นเลย?
เขารีบเอ่ย “ประธานจี้ คุณคิดว่าแผนงานนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
“พอใช้ได้”
จี้จิ่งเชินพยักหน้าแล้วเอ่ย “คุณได้รับแผนงานฉบับนี้ได้อย่างไร?”
“ตอนเช้าวันนี้ มีคนส่งมาที่อีเมลของผม น่าจะเป็นพนักงานของพิพิธภัณฑ์”
ผู้จัดการรจางขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ย “เพียงแต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมเปิดเผยตัว แม้กระทั่งชื่อพิพิธภัณฑ์ก็ยังไม่เอ่ยถึง แผนงานแบบนี้ ถ้าหากพิพิธภัณฑ์ของอีกฝ่ายเล็กเกินไปก็ทำไม่ได้”
จี้จิ่งเชินอ่านหน้าสุดท้ายจบก็รวบแผนงานเข้าหากัน เมื่อเงยหน้าขึ้นสายตาที่มองมาที่เขา ก็ทำให้ผู้จัดการรจางตกใจในทันที
ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่าสายตาของประธานจี้อ่อนโยนขึ้นเรื่อยๆ?
แต่ต่อให้เป็นแบบนี้ ก็ยังทำให้ผู้จัดการรจางรู้สึกกลัวอยู่เล็กน้อย
จี้จิ่งเชินกลับเอ่ยเสียงเรียบ “ติดต่ออีกฝ่ายแล้วหรือยัง?”
ผู้จัดการรจางพยักหน้า
“โทรไปแจ้งเรียบร้อยแล้ว บ่ายวันนี้จะเข้ามาเพื่อคุยเกี่ยวกับเรื่องร่วมงามโดยเฉพาะ”
เขาพูดพลางมารู้สึกตัวเอาภายหลังว่าน่ากังวลเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่วางแผนงานล้วนให้จี้จิ่งเชินดูก่อนจะติดต่อไป ครั้งนี้กลับเรียกอีกฝ่ายมาก่อนแล้ว
ทำลงไปโดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตจึงเกรงว่าจี้จิ่งเชินอาจจะโมโห
แต่จี้จิ่งเชินกลับไม่ได้ใส่ใจ ทั้งยังพยักหน้า
“ดีมาก ตอนบ่ายเรียกกรรมการบริษัทและผู้จัดการมาด้วย การร่วมงานครั้งนี้ยึดตามที่ทุกคนหารือกัน”
ผู้จัดการรจางได้ยินดังนั้นก็รู้สึกตกใจขึ้นมาทันที
แม้ว่าการร่วมงานครั้งนี้จะไม่ใช่เล็กๆ แต่ก็ไม่ถึงขั้นให้ผู้จัดการและกรรมการต้องมาที่นี่
แต่เมื่อเห็นจี้จิ่งเชินพูดขนาดนี้แล้วก็พยักหน้า
“ผมจะไปเรียกคนมาเดี๋ยวนี้”
เมื่อคนออกไปแล้ว จี้จิ่งเชินก็ก้มหน้ามองแผนงานในมือ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย สายตาปรากฏความอ่อนโยนบางเบา
แม้ว่าในแผนงานฉบับนี้ไม่ได้ทิ้งชื่อหรือชื่อพิพิธภัณฑ์ไว้ แต่เขากลับมองคนเขียนแผนงานนี้ออกในทันที
เขายกมือขึ้นเคาะโต๊ะตรงหน้าจนเกิดเสียงกระทบเป็นจังหวะ
ตอนบ่าย ที่บริษัทเอ็มไอกรุ๊ป
หลังจากพักเที่ยงแล้วพนักงานทุกคนจึงเริ่มทำงาน แต่ยังมีท่าทีเฉื่อยชาและไม่กระฉับกระเฉง
ในตอนนั้นเอง รถซีดานสีขาวคันหนึ่งก็จอดลงตรงหน้าบริษัท
เวินเที๋ยนเที๋ยนกับเฉินหยุนเดินลงมา ในมือยังถือข้อมูลการร่วมงานครั้งนี้มาด้วย
เฉินหยุนยังคงไม่เข้าใจ สามารถใช้สถานะของตัวเองคว้าเอาการร่วมมือครั้งนี้มาได้แท้ๆ ทำไมจะต้องท้าทายด้วยวิธีนี้?
ถ้าหากอีกฝ่ายไม่ตกลง ก็ไม่เท่ากับว่าพลาดโอกาสหรอกเหรอ? และยังต้องเป็นที่นินทาของคนอื่นอีกแน่นอน
ทั้งสองคนเข้าไปในบริษัท พนักงานต้อนรับที่กำลังสัปหงกเงยหน้าขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ ทันทีที่เห็นเวินเที๋ยนเที๋ยนปรากฏตัวก็ยังคิดไปว่าตาฝาดแล้ว