เมียหวานของประธานเย็นชา - บทที่1100 ผมไปด้วยกันกับคุณแม่!
จี้จิ่งเชินเอ่ยขึ้น : “หลังจากนี้อีกไม่กี่ชั่วโมงเรือก็จะถึงฝั่งแล้ว อาณาเขตของประเทศนั้นเป็นเกาะทั้งหมด วิวทิวทัศน์ไม่เลวเลยนะครับ นักประพันธ์คนที่คุณชอบเมื่อก่อนเคยเขียนแนะนำเอาไว้ในหนังสือด้วย”
การออกเดินทางครั้งนี้ถึงแม้จะดูรีบร้อน แต่จี้จิ่งเชินก็เลือกเอาไว้เป็นพิเศษแล้ว สถานที่สองสามแห่งของช่องทางเรือสำราญนี้ ล้วนแต่เป็นที่ที่เวินเที๋ยนเที๋ยนชอบทั้งสิ้น
และเป็นอย่างที่คิด เมื่อเวินเที๋ยนเที๋ยนได้ยินคำพูดนี้แล้ว ดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที
“หมู่เกาะเจียลี่หรือคะ?”
“ครับ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนลุกขึ้นยืนด้วยความดีใจ แล้วมองไปรอบๆ
เมื่อก่อนเธออยากจะมาดูตลอด แต่ยังไม่มีโอกาส
บนพื้นผิวทะเล สามารถมองเห็นเกาะเล็กๆที่อยู่ไกลออกไปได้อย่างไม่ชัดเจนนัก คงจะเป็นหมู่เกาะเจียลี่นั่นเอง
จี้จิ่งเชินเดินเข้ามา มือทั้งสองข้างจับเวินเที๋ยนเที๋ยนที่อยู่ตรงราวกั้นเอาไว้แล้วกอดเธอ พลางเอ่ยขึ้น : “ถึงแล้วเรือจะจอดอยู่ที่นั่นสามชั่วโมง ก็สามารถดูวิวทิวทัศน์ได้แล้วครับ”
“ค่ะ”
เพียงแค่ได้ยิน เวินเที๋ยนเที๋ยนก็รู้สึกเฝ้ารอคอยเป็นอย่างมากแล้ว
หลังจากนั้นสองสามชั่วโมง เรือสำราญก็จอดลงตรงท่าเรือหมู่เกาะเจียลี่
เวลานี้ความมืดยามค่ำคืนมาถึง แสงไฟตรงท่าเรือแวววาว เหมือนกับช่วงเวลากลางวัน มีคนกำลังเที่ยวเล่นกันอยู่ไม่น้อย
เวินเที๋ยนเที๋ยนกำลังอยู่ในห้องผู้โดยสาร มองดูจี้จิ่งเชินที่กำลังนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยความกังวล
เดิมทีพวกเขานัดกันเอาไว้แล้วว่าจะขึ้นเกาะไปด้วยกัน แต่หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง จี้จิ่งเชินกลับได้รับข่าวขึ้นมากะทันหันว่าทางบริษัทเกิดปัญหาขึ้นมา จึงต้องมีการประชุมทางไกลเพื่อจัดการ
คิ้วของจี้จิ่งเชินขมวดเข้าหากัน ความเยือกเย็นส่งผ่านจากเลนส์กล้องไปยังทุกคนที่อยู่ในห้องประชุม
สองสามคนพากันตัวสั่นเทา ใครๆก็ไม่กล้าเอ่ยปากออกมา
ถึงแม้จะรู้ว่าตอนนี้จี้จิ่งเชินกำลังไปเที่ยวด้วยกันกับเวินเที๋ยนเที๋ยน แต่สถานการณ์ทางบริษัทนั้นหนักหน่วงจริงๆ ไม่อย่างนั้นแล้วพวกเขาก็คงไม่ยื่นขอความต้องการให้มีการประชุมวีดิโอเช่นกัน
เห็นเรือจอดเทียบท่าแล้ว จี้จิ่งเชินจึงเอ่ยขึ้นมา : “การประชุมวันนี้พอแค่นี้ก่อน เดี๋ยวรอผมกลับมาแล้วค่อยประชุมกันต่อ”
ว่าแล้ว ก็จะสิ้นสุดการประชุม
“เดี๋ยวก่อนค่ะ ไม่ต้องแล้ว”
เวินเที๋ยนเที๋ยนรีบรั้งเขาเอาไว้ พลางเอ่ยบอก : “ฉันไม่ต้องไปเที่ยวแล้วก็ได้ค่ะ เรื่องของบริษัทสำคัญกว่า”
แววตาที่เยือกเย็นของจี้จิ่งเชิน มองไปยังคนที่อยู่ในที่ประชุม
ก่อนจะออกเดินทางมา การดำเนินงานของบริษัทเป็นไปได้ด้วยดี คิดไม่ถึงเลยว่าพอออกมาแล้ว ก็จะเกิดเรื่องขึ้น พวกผู้จัดการและหัวหน้าพวกนี้มีประโยชน์อะไรกัน?
“จริงๆค่ะ” เวินเที๋ยนเที๋ยนเห็นว่าผู้จัดการพวกนั้นที่อยู่ในที่ประชุมพากันหน้าซีดขึ้นมาเล็กน้อย จึงรีบเอ่ยพูดขึ้น : “วันนี้ไปไม่ได้ เดี๋ยวต่อไปก็มาได้อีกนี่คะ เพียงแค่สามชั่วโมงเอง ไม่อย่างนั้นก็พักอยู่ที่นี่ก็ได้นี่คะ”
จี้จิ่งเชินขมวดคิ้ว
“ไม่ได้ครับ!” เวลานี้จู่ๆจี้หยูชิงก็เอ่ยขึ้นมาด้วยความมุ่งมั่น : “กว่าคุณแม่จะได้ออกมาเที่ยวได้ไม่ง่ายเลยนะครับ จะต้องได้ไปเที่ยวสิ ตอนนี้เรือจอดเทียบท่าแล้ว ผมไปกับคุณแม่สองคนก็ได้”
เขาดึงตัวเวินเที๋ยนเที๋ยนเอาไว้อย่างภาคภูมิใจ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดีใจ
ในที่สุดก็เลี่ยงจากพ่อได้ และพาแม่ไปเที่ยวด้วยกันได้แล้ว
ทำไมจี้จิ่งเชินจะมองไม่ออกถึงความคิดในใจเขา ใบหน้าเคร่งขรึมลงทันที เม้มปากและไม่ได้เอ่ยพูดออกมา
เวินเที๋ยนเที๋ยนก้มหน้าลงมองจี้หยู๋ชิงแล้วเอ่ยถาม : “หยู๋ชิง ลูกก็อยากไปเหมือนกันใช่ไหมครับ?”
จี้หยู๋ชิงพยักหน้าลงอย่างมุ่งมั่น
“คุณแม่มีผมปกป้องอยู่ทั้งคน ไม่เป็นอะไรหรอกครับ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนอยากจะขึ้นฝั่งไปดูจริงๆ ได้ยินจี้หยู๋ชิงพูดเช่นนี้แล้ว ก็รู้สึกลังเลใจขึ้นมาทันที
เพียงแค่สามชั่วโมงเท่านั้น คงจะไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง?
เวินเที๋ยนเที๋ยนคิดไปพลาง แล้วเอ่ยขึ้นกับจี้จิ่งเชิน : “ถ้าเป็นแบบนี้ ฉันกับหยู๋ชิงไปดูกันเองก็ได้ค่ะ พี่ทำงานต่อเถอะ ถ้าหากเสร็จก่อนเวลา ก็ค่อยไปหาพวกเราก็ได้”
“ไม่ได้ครับ” จี้จิ่งเชินแย้งออกมา : “ตอนนี้อยู่ต่างประเทศ อันตรายมากนะครับ”
“เราเพียงแค่ไปดูตรงที่ท่าเรือเท่านั้นเองค่ะ อีกอย่างก็ไม่ใช่ว่ามีบอร์ดี้การ์ดด้วยหรอกหรือคะ? ไม่เป็นอะไรหรอก”
จี้จิ่งเชินได้ยินแล้ว ก็ยิ่งขมวดคิ้วขึ้นมา
แล้วซักพักหนึ่ง ถึงได้พยักหน้าลงในที่สุด
“ก็ได้ครับ แต่ว่าอย่าไปไกลนะครับ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนรู้สึกดีใจ จึงรีบเอ่ยขึ้นมา : “ไม่มีปัญหาค่ะ!”
ว่าแล้ว ก็พาจี้หยู๋ชิงเดินออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว
จี้จิ่งเชินเห็นว่าเธอเดินไปโดยไม่หันกลับมาเลยนั้น ในใจก็รู้สึกจนปัญญาอยู่บ้าง
หันกลับมา แววตานั้นก็มองคนที่อยู่ในห้องประชุมคนอื่นๆ
ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย น้ำเสียงมีพลังแห่งความโมโห
“พวกคุณหาเหตุผลดีๆให้ผมจะเป็นดีที่สุดนะ”
คนอื่นๆในที่ประชุมนั้นตกใจจนพากันสั่นไปหมด
เวินเที๋ยนเที๋ยนและจี้หยู๋ชิงลงจากเรือสำราญมาด้วยกัน แล้วก็ถูกทิวทัศน์ที่สวยงามตรงท่าเรือนั้นดึงดูดสายตาขึ้นมาในทันที
แสงไฟสว่างพร่างพราว เดิมทีที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ลือเลื่อง มองไปแวบหนึ่งนั้น คนต่างชาติก็ล้วนแต่รวมอยู่ด้วยกัน ไม่มีความแตกต่างกันระหว่างความคิดใดๆ ใบหน้านั้นมีแต่รอยยิ้มที่สดใส
และเพิ่งจะเดินลงมานั้น ก็มีคนพื้นที่นั้นส่งดอกไม้ให้หนึ่งดอก ตรงจุดที่ไม่ไกลออกไปนั้นก็มีการแสดงประเภทต่างๆอีกด้วย ล้วนแต่เป็นการจัดขึ้นพิเศษเพื่อนักท่องเที่ยวทั้งสิ้น
“คุณแม่ ดูทางนั้นสิครับ!”
จี้หยู๋ชิงชี้ไปอีกทางด้านหนึ่ง พลางตะโกนขึ้น
เวินเที๋ยนเที๋ยนหันไปมอง ก็เห็นคนหนึ่งกำลังเหยียบบนไม้ต่อขาสูงกว่าสองเมตรเดินไปเดินมาอยู่
ถนนทั้งสายนั้นตกอยู่ในความสนุกสนานรื่นเริง บนถนนที่มีคนเดินกันขวักไขว่ และสองข้างทางที่มีร้านค้าจัดวางอาหารเอาไว้เต็มไปหมด เสียงหัวเราะดังขึ้นไม่ขาดสาย
หลังจากที่เวินเที๋ยนเที๋ยนเอ่ยถามแล้วนั้น ถึงได้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วช่วงสองสามวันนี้เป็นงานเทศกาลรื่นเริงของคนในพื้นที่นี้พอดี จะต้องสนุกสนานกันอย่างเต็มที่ตลอดทั้งคืน
มิน่าล่ะคนถึงได้เยอะขนาดนี้
“คุณแม่ เราไปดูทางนั้นกันดีกว่าไหมครับ?”
จี้จิ่งเชินที่ดูเฉยเมยกับการเที่ยวเล่นมาโดยตลอดตอนนี้เองก็ปรากฏใบหน้าที่มีความสนใจออกมาด้วยเช่นกัน เขาดึงเวินเที๋ยนเที๋ยนพาเดินไปทางด้านหน้า
เวินเที๋ยนเที๋ยนพยักหน้าลง พลางเอ่ย : “จี้จิ่งเชินไม่ได้มาด้วย พวกเราหาของไปให้คุณพ่อทานด้วยดีกว่าเนอะ”
ทั้งสองคนเดินไปตามถนน มองดูไปพลาง และซื้อของไปพลาง
เวินเที๋ยนเที๋ยนจำได้ว่าเรือสำราญจะออกเดินทาง มองเวลาแล้ว จึงเอ่ยพูดขึ้น : “เรากลับกันเถอะลูก จะพลาดไม่ได้นะ”
“ครับ”
จี้หยู๋ชิงกระโดดลงมากจากเก้าอี้อย่างว่าง่าย แล้วเดินกลับไปกับเวินเที๋ยนเที๋ยน
และเพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าวนั้น จู่ๆขบวนแห่ก็โผล่ออกมา
คนในขบวนงานรื่นเริงนั้นดึงตัวเวินเที๋ยนเที๋ยนมาแล้วเริ่มเต้นรำขึ้น
เวินเที๋ยนเที๋ยนดิ้น หันกลับไปมอง กลับพบว่าจี้หยู๋ชิงหายตัวไปแล้ว
บริเวณรอบๆล้วนแต่เป็นกลุ่มคน ที่เต้นรำกันไปพลางและยิ้มกันออกมาอย่างมีความสุข
เวินเที๋ยนเที๋ยนตามหาอยู่รอบหนึ่ง ร่างของจี้หยู๋ชิงถูกกลุ่มคนนั้นปกคลุมไปหมด
“หยู๋ชิง?”
เธอร้องเสียงสูง แต่กลับถูกเสียงเพลงกลบ
นักแสดงเต้นรำสองสามคนนั้นดึงให้เธอเต้นด้วยอยู่พักหนึ่ง ถึงได้เดินไปยังด้านหน้า
กว่าจะเดินออกมาจากขบวนไม่ใช่เรื่องง่าย เวินเที๋ยนเที๋ยนถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ แต่กลับยังไม่เห็นเงาของจี้หยู๋ชิงเลย
และในเวลานี้เอง มีคนๆหนึ่งวิ่งเข้ามา แล้วล้มลงตรงเท้าของเธอ
คนที่อยู่บริเวณรอบๆนั้นยังคงสนุกสนานรื่นเริงกัน ตรงนี้อยู่ตรงมุมหนึ่งพอดี จึงไม่มีใครทันได้สังเกต
แสงสลัวๆจากแสงไฟ เวินเที๋ยนเที๋ยนพบว่าทางฝ่ายนั้นเป็นผมสีดำตาสีดำคนบ้านเดียวกัน
“คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนก้มตัวลง และกำลังจะพยุงเขาขึ้นมานั้น ทางฝ่ายนั้นกลับยกมือขึ้น แล้วจับมือเวินเที๋ยนเที๋ยนเอาไว้
เขาขมวดคิ้วขึ้น แสดงอาการเจ็บปวด ท่าทางดูเหมือนจะอายุห้าสิบกว่าๆ รูปร่างผอมบาง ท่าทางดูกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบากเป็นอย่างมาก
สิ่งที่เขาพูดนั้นดูเหมือนจะเป็นภาษาของคนในท้องถิ่น เวินเที๋ยนเที๋ยนไม่เข้าใจเลย
อีกฝ่ายหนึ่งพูดขึ้นมาอีกพักหนึ่ง ราวกับเห็นว่าเวินเที๋ยนเที๋ยนไม่เข้าใจ จึงเปลี่ยนเป็นภาษาจีน
“ช่วยฉัน……”
พูดไปพลาง เขาก็ผลักเอากระเป๋าใบหนึ่งในมือออกมา แล้ววางไว้ในหลุมที่อยู่ข้างๆเท้า