เมียหวานของประธานเย็นชา - บทที่942 ฉันอยากทำงานบูรณะวัตถุโบราณต่อ
ทุกครั้งที่เวินเที๋ยนเที๋ยนไม่มีเวลา หน้าที่สำคัญนี้ก็ตกเป็นของจี้จิ่งเชิน
จี้จิ่งเชินเองก็เคยเลียนแบบท่าทางของเวินเที๋ยนเที๋ยน เล่านิทานให้จี้หยู๋ชิงฟัง
แต่จี้หยู๋ชิงล่ะ?
ฟังนิทานไม่เข้าใจก็ช่างเถอะ แต่ยังร้องขอฟังประวัติศาสตร์โลก หรือประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่อีกด้วย
นี่เป็นสิ่งที่เด็กเล็กฟังอย่างนั้นเหรอ?
จี้จิ่งเชินมั่นใจ จี้หยู๋ชิงกำลังทำตัวเป็นศัตรูกับตนเอง
เมื่อคืนก่อนยังเห็นว่าเวินเที๋ยนเที๋ยนเล่าเรื่องเจ้าชายขี่ม้าขาวให้เขาฟัง เขายังฟังอย่างสนอกสนใจแท้ๆ เล่าจบไม่ทันไรก็หลับแล้ว
แล้วตอนนี้ล่ะ?
ลืมตามองเขาตาโต แล้วไม่รู้ว่าไปหยิบเอา《ห้าพันปีโลก》ที่หนาแปดเซนติเมตรนั่นมาจากไหน นี่ต้องเล่าถึงกี่โมงกัน?
จี้จิ่งเชินที่เป็นหัวกะทิยังต้องปวดหัว
“เปลี่ยนอย่างอื่น”
จี้จิ่งเชินดึง《หนึ่งพันหนึ่งคืน》เล่มนั้นออกมาโดยไม่ต้องคิด
จี้หยู๋ชิงขมวดคิ้ว นอนลืมตาโตอยู่ในผ้าห่ม ชัดเจนว่าไม่อยากเปลี่ยน
“เจ้าหนู นี่ลูก……”
จี้จิ่งเชินวางหนังสือลง สายตาล้ำลึกฉายแววคุกคาม
“ให้โอกาสลูกอีกครั้ง”
จี้หยู๋ชิงมอง《หนึ่งพันหนึ่งคืน》กับ《ห้าพันปีโลก》ก้มหน้าลงภายใต้การบีบคั้น แล้วเลือกเรื่องแรกอย่างไม่เต็มใจ
เลือกหนังสือว่ายากแล้ว
แต่อ่านหนังสือนั้นยากกว่า
น้ำเสียงอ่อนโยนของจี้จิ่งเชินใช้แค่กับเวินเที๋ยนเที๋ยนเท่านั้น กับคนอื่นๆ ก็จะหายไปโดยอัตโนมัติ
ไม่ว่านิทานจะมีชีวิตชีวาแค่ไหน เมื่อออกจากปากของเขาแล้ว ล้วนไม่เจือความรู้สึกใดๆ การออกเสียงจะเรื่อยเฉื่อย ฟังแล้วทำให้คนรู้สึกไม่สบายหู
ถ้าเป็นเวินเที๋ยนเที๋ยนเล่านิทาน น้ำเสียงจะนุ่มนวล อ่อนโยนทำให้คนฟังแล้วรู้สึกง่วงนอน
ถ้าเป็นเพลงกล่อมเด็ก ต้องนับว่าเสียงผู้หญิงที่แช่มช้าอ่อนโยนนั้นเหมาะสมที่สุด
แต่ไม่ใช่กับจี้จิ่งเชินผู้ชายที่แข็งกระด้างแบบนี้
เมื่อจี้จิ่งเชินอ่านมาถึงหน้าที่สามแล้ว ก็ก้มหน้าลงมองจี้หยู๋ชิงที่ดูเหมือนว่าจะสดชื่นมากกว่าเดิม
ความอยากนอนสักนิดก็ไม่มี ทั้งยังอยากจะลุกขึ้นมาทำการบ้านอยู่นิดๆ
เวินเที๋ยนเที๋ยนอาบน้ำเสร็จแล้วก็เข้ามาเห็นภาพผู้ใหญ่หนึ่งคนกำลังสบตากับเด็กหนึ่งคนอยู่
“คุณคงไม่ได้จะแข่งว่าใครกะพริบตาก่อนกับเขาหรอกใช่ไหม?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนเข้าไปดูใกล้ ทั้งสองคนลืมตากว้าง แม้กระทั่งเวินเที๋ยนเที๋ยนเป่าลมเบาๆ ก็ไม่ได้หลับตา
เมื่อมองจี้จิ่งเชินก็ทนไม่ได้อีกต่อไป ในดวงตาแห้งผากและน้ำตาจะไหลออกมาอยู่รอมร่อ
ส่วนจี้หยู๋ชิง?
สีหน้ายังเคร่งขรึมยิ่งกว่าจี้หยู๋ชิง
สุดท้ายเวินเที๋ยนเที๋ยนทนมองต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ
ผลักจี้จิ่งเชินออกไปนอกประตู
เธอทำเองดีกว่า ไม่อย่างนั้นทั้งสองคนคงเล่นทั้งคืน
หนึ่งเดือนผ่านไป เวินเที๋ยนเที๋ยนถึงบูรณะเครื่องเคลือบสีดำนั้นเสร็จ
ตอนที่ไปบ้านท่านเปิง เขาก็ไม่อยู่พอดี
เมื่อโทรถามถึงรู้ว่า ท่านเปิงอยู่ที่บ้านท่านจาง ทั้งสองคนกำลังเล่นหมากรุกกันอยู่
โรมรันกันอยู่ครึ่งภาคเช้า ทั้งสองมีศิลปะในการเดินหมากรุกพอๆ กัน แต้มเท่ากัน
ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเป็นยอดฝีมือ เพียงแค่ฝีมือพอๆ กัน
เล่นหมากหมาก มักจะต้องเลือกคู่ต่อแบบสู้เพชรตัดเพชร ไม่ทักษะสูงทั้งคู่
ก็ต่ำทั้งคู่
ถ้าคนหนึ่งสูงคนหนึ่งต่ำ ไม่สมดุลกัน คนที่เก่งกว่าก็จะรู้สึกว่าชนะง่ายเกินไป ไม่สนุก
คนที่ทักษะเดินหมากต่ำกว่าก็จะครุ่นคิดอย่างหนัก คิดว่าเป็นการเดินหมากที่สมบูรณ์แบบแล้ว แต่เมื่อถึงตาอีกฝ่าย กลับใช้เวลาไม่ถึงสิบวินาที
ทำให้คนที่ทักษะเดินหมากไม่ดีผิดหวัง
มองเห็นแต่ความหวังเลือนราง แต่ไม่พยายามก็คว้าไม่ถึงความสำเร็จ คนที่มีความสามารถย่อมมีแรงผลักดัน
เวินเที๋ยนเที๋ยนเอาเครื่องเคลือบสีดำมาถึงบ้านของท่านจาง คนที่มาเปิดประตูคือคนรับใช้ของตระกูลจาง ด้านหลังมีเด็กสองคนยืนอยู่
เด็กแฝดผู้หญิงน่ารักคู่หนึ่ง ถักผมเปียสองข้าง ดวงตาใสแจ๋วมองมาที่เธอ
“สวัสดี”
เวินเที๋ยนเที๋ยนโบกมือให้พวกเขา
เด็กทั้งสองคนยิ้มสดใสทันที “คุณคือคุณน้าเที๋ยนเที๋ยนใช่ไหม? คุณปู่เคยพูดถึงคุณ คุณน้าคนสวย”
ก่อนหน้านี้เวินเที๋ยนเที๋ยนเคยได้ยินท่านจางพูดถึงหลานสาวแฝดสองของเขา คิดไม่ถึงว่าวันนี้ได้เจอแล้ว
“คุณปู่ของพวกหนูอยู่บ้านไหม?”
“อยู่”
เด็กแฝดพยักหน้าพร้อมเพรียง ดึงมือเธอซ้ายขวาเดินเข้าไปข้างใน
“เชิญเข้ามา”
ผู้หญิงต้อนรับเธอเข้าไปอย่างมีน้ำใจ แล้วพูดกับลูกสาวสองคนข้างหลัง
“รีบเรียกคุณป้าเร็ว”
เด็กหญิงสองคนที่โตกว่าโดว์โดว์ไม่มาก แต่กลับขี้ขลาดกว่าเล็กน้อย หลบด้านหลังคุณแม่อยู่นานถึงจะเอ่ยปากอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“สาวตัวน้อย เธอมาแล้วเหรอ?”
ท่านเปิงนั่งอยู่ตรงข้ามเวินเที๋ยนเที๋ยน เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นการมาถึงของเธอทันที
ท่านจางรีบสั่งให้สะใภ้ไปเตรียมน้ำผลไม้และน้ำชา
“สาวตัวน้อย นี่เธอเจอครอบครัวฉันครั้งแรกใช่ไหม มาๆ ดื่มชา”
“ท่านจาง คุณอย่าเกรงใจเลย ดูเครื่องเคลือบสีดำนี้ก่อนเถอะ ฉันบูรณะเสร็จแล้ว พวกคุณเห็นว่าอย่างไรบ้าง?”
พูดถึงเครื่องเคลือบสีดำ ทั้งสองคนก็ตื่นเต้นขึ้นมา สวมถุงมือแล้วส่องไปดู
ดูไปพลางชื่นชมไปพลาง
“ไม่เลว ไม่เลว ฝีมือของสาวตัวน้อยเยี่ยมมาก ดีกว่าคุณเยอะเลย”
ท่านจางชมเวินเที๋ยนเที๋ยนในเวลาเดียวกันก็ไม่ลืมเหน็บแนมท่านเปิง เขายังไม่ลืม ชาจากต้นชาต้าหงเผาแค่หนึ่งร้อยกรัมที่กว่าเขาจะได้กลับมานั้นไม่ใช่ง่ายๆ นั้นกลับถูกตาแก่นี่แย่งไปเกือบครึ่ง
ไม่ใช่ว่าเสียดายเงิน
เพียงแต่ว่าของดีอย่างชาต้าหงเผาแค่มีเงินก็ซื้อไม่ได้ ในประวัติศาสตร์ถือเป็นของบรรณาการให้ราชวงศ์เลยทีเดียว
ท่านเปิงหัวเราะเหอะๆ ไม่โต้แย้ง
“ก็จริง ลูกศิษย์เก่งกว่าครู ฉันแก่แล้ว”
พูดพลางลูบเคราสีขาวราวหิมะ
หลานสาวทั้งสองคนเจอท่านเปิงจนชินแล้ว คิดว่าท่านเปิงเหมือนคุณปู่แท้ๆ ของตัวเอง ล้อมซ้ายขวาท่านเปิงแล้วเอ่ยคำหวาน
“คุณปู่ คุณปู่ไม่แก่เลยสักนิด”
ท่านจางไม่พอใจแล้ว มุ่ยปากเอ่ยกับหลานสาว “เขาเป็นคุณปู่ แล้วฉันล่ะเป็นใคร?”
“คุณปู่ก็คือคุณปู่เหมือนกัน”
“ไม่ได้ เลือกได้แค่คนเดียว จับปลาสองมือไม่ได้”
เด็กหญิงไม่เข้าใจว่าทำไมถึงจับปลาสองมือไม่ได้ แต่คุณปู่ทั้งสองท่านเลือกได้เพียงคนเดียว ช่างน่าปวดหัวมากจริงๆ
เห็นเด็กหญิงไม่รู้จะเลือกทางไหน แล้วกระซิบกันเล็กน้อย คนหนึ่งเดินไปทางท่านเปิง อีกคนหนึ่งไปหาท่านจาง เห็นได้ชัดว่าแบ่งงานกันอย่างเท่าเทียม
“ฮ่าฮ่าฮ่า ฉลาดๆ”
ท่านเปิงมองตัวเลือกของหลานสาวทั้งสองคน อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
เวินเที๋ยนเที๋ยนที่ยิ้มอยู่ข้างๆ เอ่ย “เด็กผู้หญิงก็ดี เด็กผู้หญิงเหมือนปุยฝ้ายที่ละเอียดอ่อน”
“ปุยฝ้ายอะไรกัน? เธอไม่เคยเห็นพวกเธอสองคนนี้ดื้อ”
ลูกสะใภ้ของท่านจางยกถาดน้ำผลไม้เข้ามาพร้อมพูดถ่อมตัว
“สาวตัวน้อย เธอบูรณะเครื่องเคลือบสีดำอันนี้ได้สมบูรณ์แบบขนาดนั้น ฉันคิดว่าเธอจบการฝึกฝนจากอาจารย์แล้วจริงๆ ฉันไม่มีอะไรจะสอนเธอแล้ว ดูท่าฉันคงต้องตกงานแล้ว”
ท่านเปิงเอ่ยแซ็วทีเล่นทีจริง
“อาจารย์พูดอะไรกัน? คุณคืออาจารย์ของฉันตลอดไป”
ประโยคเดียวนี้ทำเอาคนแก่ทั้งสองคนยิ้มอย่างปลื้มใจ
สาวตัวน้อยคนนี้ตอนนี้กับตอนที่เจอกันแรกๆ ไม่เหมือนกันแล้ว ฝีมือเชี่ยวชาญขึ้นมาก และมั่นใจในตัวเองมากขึ้นแล้ว
“อาจารย์ ฉันอยากเป็นนักบูรพาวัตถุโบราณต่อ”