เมียหวานของประธานเย็นชา - บทที่948 ความเข้าใจระหว่างพ่อลูก
ทุกคนต่างประหลาดใจกับมัน แต่เซียวหยี่อันที่กำลังบูรณะถ้วยในมือของตัวเองอยู่ข้างๆ ได้ยินคำพูดพวกนั้น ก็ยิ่งไม่พอใจ หันไปปรายตามองถ้วยที่อยู่ในมือคนนั้น
“ถ้วยใบนี้เคยมีรอยร้าวมาก่อนหน้านี้จริงๆ เหรอ?” เธอขัดขึ้นอย่างไม่พอใจ
สายตาของทุกคนถูกเธอดึงดูดไปอีกครั้ง หันไปมองทางเธอ
เซียวหยี่อันเอ่ยต่อ “ใครจะไปรู้ว่าเธอจะใช้ถ้วยดีๆ มาหลอกพวกเราหรือเปล่า? หรือว่าทาทั้งข้างในข้างนอกของถ้วยแล้วแกล้งว่าใส่น้ำแล้วไม่มีปัญหาอะไร แต่ที่จริงข้างในพังไปนานแล้ว ใช้ได้ไม่กี่วันก็พัง”
เธอแย้งอย่างไม่พอใจ หลายๆ คนก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
เวินเที๋ยนเที๋ยนกลับเอ่ยเสียงเรียบ “ใช้ได้ไม่กี่วันแล้วพังไหม จุดนี้ฉันยังไม่ได้ศึกษาชัดเจน เลยเอามาวางตรงนี้เพื่อทำการทดลองเท่านั้น”
อีกคนหนึ่งจึงเอ่ยปัดขึ้นอย่างประหลาดใจ “ดูเหมือนว่าจะวางไว้ห้าแล้ว ก็ไม่พัง ต้องโอเคแน่”
“ยังไม่แน่ใจ รอทดลองอย่างเป็นรูปธรรมแล้วค่อยว่ากัน” เวินเที๋ยนเที๋ยนเอ่ย
เซียวหยี่อันได้ยินดังนั้นก็แค่นหัวเราะในลำคอ
ทันใดนั้นก็เพิ่มเสียงดังเอ่ยตำหนิขึ้นมา “พวกเธอเสร็จงานของตัวเองแล้วเหรอ? มาล้อมตรงนี้ทำไม? ไม่ใช่ที่ของพวกเธอเสียหน่อย!”
หลายคนที่โดนด่าเสียงดัง กลับไม่กล้าหาเรื่องเธอ จึงได้แต่หมุนตัวกลับไปที่ของตัวเองอย่างเชื่อฟัง
เวินเที๋ยนเที๋ยนกลับไปจดจ่อกับงานอีกครั้ง
สายตาของ เซียวหยี่อัน กลับมองไปที่ถ้วยใบนั้นบนโต๊ะ ขมวดคิ้ว สายตาเต็มไปด้วยความสงสัย
หลังจากแตกเสียหายแล้วสามารถบูรณะจนมีสภาพดีแบบนั้นได้จริงๆ เหรอ
ดูแล้วไม่มีรอยร้าวจริงๆ ทั้งยังสามารถใส่น้ำได้ จริงหรือหลอกกันแน่?
แต่ถึงอย่างนั้นก็ช่างเถอะ เวินเที๋ยนเที๋ยนพึ่งมาไม่กี่วัน ทำให้คนในสำนักงานยืนอยู่ฝั่งเดียวกับเธอได้
คนคนนี้มีอะไรดีกันแน่?
เซียวหยี่อันคิดอย่างไม่ยอมแพ้ ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห
เวินเที๋ยนเที๋ยนกลับไม่ได้สังเกตเห็นความเดือดดาลไร้สาเหตุของเธอ แต่ศึกษาการบูรณะของตัวเอง
วิธีนี้พึ่งเสนอออกไปจริงๆ ดังนั้นจึงยังต้องรอการยืนยัน
แค่เธอเริ่มการบูรณะวัตถุโบราณก็ลืมเวลาไปโดยไม่รู้ตัว เอาแต่นั่งก้มทำงาน
คนรอบๆ ต่างพากันกลับไปแล้ว เซียวหยี่อันเดิมก็อยากกลับแล้ว
แต่เห็นเวินเที๋ยนเที๋ยนยังไม่กลับ ก็มีแรงขึ้นมา นั่งลงอยู่กับเธอด้วย
จนกระทั่งท้องฟ้ามืดแล้ว ในห้องสำนักงานเหลือเพียงแค่พวกเธอสองคน
ในที่สุดเซียวหยี่อันก็มุ่งมั่นต่อไปไม่ไหว ลุกขึ้นจะเดินออกไป
เมื่อออกประตูมาก็เห็นเวินล็อกนเที๋ยนยังคงนั่งทำงานต่อ ก็โกรธจนกัดฟันกรอด
เธอออกมาแล้ว ก็ปิดประตูห้องสำนักงานแล้วล็อกจากทางด้านนอก
“เธอชอบทำงานไม่ใช่เหรอ? ถ้าอย่างนั้นก็ทำงานอยู่ข้างในนั้นไปเถอะ”
เธอล็อกประตู เก็บลูกกุญแจแล้วปัดมือ หมุนตัวเดินออกไป
แต่เวินเที๋ยนเที๋ยนตอนนั้นกำลังจมดิ่งอยู่กับการบูรณะวัตถุโบราณ ไม่ได้สังเกตเห็นเลยแม้แต่น้อย
จนกระทั่งตอนค่ำมาถึง จี้จิ่งเชินและลูกชายดวงตากลมโตคู่ใหญ่เล็กกำลังรออยู่ที่ปราสาทเก่าแล้วไม่เห็นเวินเที๋ยนเที๋ยนกลับมาเสียที ในใจรู้สึกก็เป็นห่วงอยู่เล็กน้อย
“ยังไม่มาเหรอ?”
“ใช่แล้ว”
พ่อบ้านเอ่ยอย่างเป็นห่วง “สถานที่ทำงานของคุณนายมีเพียงพนักงานเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าไปได้ คนขับรถไม่สามารถตามเข้าไปได้ ดังนั้นจึงได้แต่รออยู่ข้างนอก ก่อนหน้านี้คุณนายจะออกมาเอง แต่วันนี้เลยเวลาแล้วก็ยังไม่มาเสียที”
จี้จิ่งเชินได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว ลุกยืนขึ้น
“ผมจะไปดูหน่อย”
พูดพลางยกเท้าขึ้นเตรียมก้าวออกไปข้างนอก เอ่ย “คุณกับหยู๋ชิงรออยู่ที่บ้าน ถ้าหากหิวแล้วก็ให้เขาทานข้าวก่อนเลย”
“ครับ คุณชาย”
เมื่อเอ่ยตบ จี้จิ่งเชินก็กำลังจะเดินออกไป ทันใดนั้นมือเล็กก็ยื่นออกมา ดึงเสื้อของเขาไว้
จี้จิ่งเชินก้มหน้าลง เห็นจี้หยู๋ชิงมองเข้าด้วยสีหน้าจริงจัง คิ้วขมวดเล็กน้อย
“หนูก็อยากไปด้วยกัน?”
“ยียียายา” จี้หยู๋ชิงตอบอย่างเคร่งขรึม
เป็นแค่คำพูดที่ฟังไม่รู้เรื่อง แต่จี้จิ่งเชินกลับดูเหมือนจะเข้าใจ จึงพยักหน้า
“หนูรับปากว่าถ้าถึงที่นู่นแล้วหนูจะไม่สร้างความวุ่นวาย”
จี้หยู๋ชิงขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างโมโห “ยีย้า!”
ราวกับกำลังพูดว่าผมไม่ได้สร้างความวุ่นวาย!
ในที่สุดจี้จิ่งเชินก็ยอมประนีประนอม โน้มตัวลงไปอุ้มขึ้นมาแล้วเดินออกไปด้านนอก
“เตือนหนูไว้ก่อน ถึงตอนนั้นห้ามกวนแม่ทำงาน”
“ยียียายา!”
ทั้งสองคนสลับกันสื่อสารไปมาโดยไม่มีอุปสรรคใดๆ เดินออกไปทางข้างนอก
พ่อบ้านกับแม่ครัวมองด้วยสีหน้าประหลาดใจ และเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ
“คุณชายเข้าใจที่คุณชายน้อยพูดได้อย่างไร?”
พ่อบ้านส่ายหน้า “นี่คงเป็นความเข้าใจระหว่างพ่อลูกล่ะมั้ง”
เมื่อจี้จิ่งเชินพาจี้หยู๋ชิงมาที่วัง ในตอนนั้นท้องฟ้าก็มืดแล้ว
ในวังส่วนที่สามารถเข้าชมได้ปิดหมดแล้ว แต่บริเวณสำนักงานยังเหลือทางเส้นเล็กๆ ไว้สายหนึ่ง
จี้จิ่งเชินลงจากรถ อุ้มจี้หยู๋ชิงเดินเข้าประตูไป
ที่นี่มีการคุ้มกันหนาแน่น เพราะของที่อยู่ข้างในล้วนมีมูลค่า
ทุกคนที่จะเข้าไปต้องผ่านการตรวจสอบและยืนยันตัวตนที่ยุ่งยาก นอกจากพนักงานของที่นี่ มีเพียงเจ้าหน้าที่ระดับสูงเท่านั้นที่สามารถเข้าออกที่นี่ได้อย่างอิสระ
เมื่อจี้จิ่งเชินเดินมาถึงหน้าประตู ก็มีคนเดินเข้ามาหา
เมื่อกำลังจะสอบถาม แต่ทันทีที่เห็นเขาก็รีบพยักหน้าทักทาย ถอยกลับไปอยู่ข้างๆ ไม่ได้เข้ามาขวาง
ใครก็รู้ว่าในเมืองหลวงจี้จิ่งเชินมีอำนาจและอิทธิพลขนาดไหนใครจะกล้าขัดขวาง?
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ภรรยาของเขาทำงานในวัง ถ้าหากมีใครที่มีอำนาจและอิทธิพลเดินเข้ามาที่นี่ นั่นก็มีเพียงแค่จี้จิ่งเชินแล้ว
เพียงแต่ว่าทุกคนที่เห็นเด็กในอ้อมแขนของเขาแล้ว ในใจก็เกิดความสงสัยขึ้นมาอย่างมาก
เมื่อมองเด็กคนนั้นอย่างละเอียดแล้วหน้าตาคล้ายคลึงกับจี้จิ่งเชิน อายุน้อยๆ แต่สามารถมองออกได้ว่าต่อไปในอนาคตต้องรูปหล่อไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
คิ้วขมวดเล็กน้อย ใบหน้ากลมเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม ราวกับแกะมาจากแม่พิมพ์เดียวกับคุณพ่อที่อุ้มเขาอยู่
ดูแล้วทำให้คนกลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้จริงๆ
จี้จิ่งเชินอุ้มจี้หยู๋ชิงเดินเข้าไปข้างใน ตรงไปที่สำนักงานของเวินเที๋ยนเที๋ยน
โดยรอบไม่มีคนเดินไปมาแล้ว บริเวณประตูใหญ่ของสำนักงานถูกล็อกข้างนอก ดูเหมือนไม่มีใครอยู่แล้ว
จี้จิ่งเชินยืนขมวดคิ้วเล็กน้อยอยู่หน้าประตู
เวินเที๋ยนเที๋ยนอยู่ที่ไหนกันแน่?
เขาโทรหาตลอดทางมา อีกฝ่ายก็ไม่ได้รับสาย
เมื่อเวินเที๋ยนเที๋ยนทำงาน สองหูก็จะไม่ได้ยินเสียงข้างนอก แม้กระทั่งเสียโทรศัพท์ก็ไม่ได้ยินเลยแม้แต่น้อย
หรือว่าจะไปคุยงานกับคนอื่น?
เห็นจี้จิ่งเชินอุ้มจี้หยู๋ชิงกำลังจะเดินไปอีกห้องหนึ่ง ทันใดนั้นจี้หยู๋ชิงก็ดึงคอของเขา
“ยียียายา!”
ร้อวขึ้นมาอย่างร้อนรน
จี้จิ่งเชินถูกเขาดึงจนรู้สึกเจ็บเล็กน้อยก็ขมวดคิ้ว
“มีอะไร?”
“ยียียายา!”
จี้หยู๋ชิงยื่นมือเล็กผิวขาวนวลชี้ไปที่ห้องแล้วดิ้นรนขึ้นมา
จี้จิ่งเชินหันไปมองอย่างละเอียดอีกครั้ง ก็โน้มตัวลงเล็กน้อย
เมื่อมองจากมุมของจี้หยู๋ชิงเมื่อสักครู่ ก็พบว่าในห้องสำนักงายมีแสงของหลอดไฟส่องออกมาเล็กน้อย
และเจ้าหนูนี่ก็มีแต่ตอนเจอเวินเที๋ยนเที๋ยนเท่านั้นถึงได้มีอารมณ์ตื่นเต้นขึ้นมา พูดแบบนี้แล้ว แสดงว่าเวินเที๋ยนเที๋ยนยังอยู่ข้างใน?
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ สีหน้าของจี้จิ่งเชินก็เข้มขึ้น แล้วรีบเดินไปที่หน้าประตู
ประตูด้านหน้าถูกล็อกไว้อย่างแน่นหนา