เมื่อนายน้อยมีลูกสาว Young Master Has a Daughter - ตอนที่ 59
บทที่ 59 เทพเจ้าในโลกพสุธา
ยุ่นเซี่ยตื่นขึ้นมาและนั่งลงบนเตียง เธอมองไปรอบๆห้องแต่ไม่พบพ่อของเธอเลย พ่อของเธอนอนข้างเธอเมื่อคืนแล้วตอนนี้พ่อไปไหน? หรือว่าเมื่อคืนเธอแค่ฝันไป?
ความเศร้าโศกเต็มหัวใจของเธอขณะที่เธอเดินลงจากเตียง เธอสวมรองเท้าแตะในร่มและกำลังจะก้าวออกจากห้อง ขณะที่นายน้อยหลิงเดินเข้ามาข้างในโดยสวมชุดฮั่นฟูสีขาวเรียบหรูระดับสูงมองมาที่เธอด้วยใบหน้าที่อ่อนโยน
“ท่านพ่อ!”
ยุ่นเซี่ยพุ่งเข้าหาพ่อของเธอทันทีและกอดเขา ปรากฏว่าไม่ใช่ความฝัน ในที่สุดพ่อของเธอก็กลับมาบ้าน!
“สวัสดีตอนเช้าเซี่ยเซี่ย” ยุ่นหลิงทักทายขณะที่เธอลูบผมยุ่งๆของลูกสาวเขา
“สวัสดีตอนเช้าท่านพ่อ!” เด็กหญิงตัวเล็กๆ ทักทายกลับอย่างร่าเริง
ยุ่นหลิงยิ้มให้เธอขณะที่เขาพูด “เจ้าควรไปอาบน้ำก่อน พ่อจะเรียกหยื่อตงเหม่ยเพื่อให้เธอเตรียมเสื้อผ้าของเจ้าและช่วยเจ้าอาบน้ำ”
“อื้ม!” ยุ่นเซี่ยพยักหน้าโดยเชื่อฟังพ่อของเธอ
“เอาล่ะ เราจะทานอาหารเช้าหลังจากที่เจ้าอาบน้ำเสร็จแล้วหลังจากนั้นเราจะออกไปข้างนอกกัน” คำพูดของยุ่นหลิงทำให้ลูกสาวเขามีความสุขมาก
…
“ฟ่านหมิงบอกข้ามาว่าเกิดอะไรขึ้น” ชายชราผู้ข่มขู่พูดขณะที่เขานั่งบนเก้าอี้อย่างสบายๆ เขามองหลานชายของเขาอย่างเย็นชาในขณะที่คางของเขาวางอยู่บนกำปั้นของเขา
หลานชายของเขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากกู่ฟ่านหมิงผู้อาวุโสจากนิกายวารีพาดผ่านผู้ซึ่งไม่ลังเลที่จะเสียสละลูกศิษย์ของนิกายเพียงเพื่อหลบหนีจากศัตรูอันทรงพลัง ที่มาไล่ตามเขาในตอนนั้น
กู่ฟ่านหมิง คุกเข่าลงขณะที่เขามองไปที่พื้น ความขี้เล่นที่มักจะปรากฏบนใบหน้าของเขาหายไปในขณะที่เขาอยู่ต่อหน้าชายชราตรงหน้าเขา จากนั้นกู่ฟ่านหมิง ก็เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในหุบเขาพันภูเขาให้เขาฟัง
ชายชราฟังอย่างตั้งใจและพยักหน้า เมื่อกู่ฟ่านหมิงพูดมาจนถึงความสามารถแปลกๆของกิ่งก้านที่ไล่ล่าเขา ในที่สุดชายชราก็เริ่มแสดงอารมณ์ แววตาของเขาเบิกกว้างอย่างมากขณะที่เขาลุกขึ้นจากที่นั่ง
“ความสามารถที่ทรงพลังแบบนั้น…ข้าบอกได้เลยว่ามันคือเซียนแน่ๆ” ชายชราพูดด้วยความตกใจ
“เซียนงั้นหรือ?!” กู่ฟ่านหมิงตกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่ปู่ของเขาพูด แม้ว่าเขาจะรู้ว่าสิ่งที่ไล่ตามพวกเขานั้นมีพลังมหาศาล แต่ก็ไม่เคยทำให้เขาคิดว่ามันเป็นเซียนมาก่อน เพราะบนโลกนี้เซียนไม่สามารถอาศัยอยู่ได้นั่นเป็นเรื่องพื้นฐานที่ใครหลายๆคนก็รู้กันดีอยู่แล้ว
ขอบเขตที่สูงที่สุดที่สามารถบรรลุได้ในโลกนี้คือขอบเขตราชันย์ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าใครคนๆนั้นจะมีความพิเศษเพียงใดพวกเขาก็ไม่สามารถกฎนี้ในโลกพสุธาได้ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมโลกพสุธา จึงไม่มีเซียนอาศัยอยู่ หากผู้ฝึกฝนต้องการบรรลุขอบเขตที่สูงขึ้นพวกเขาจะต้องจากโลกนี้ไปและไปสู่ที่ๆสูงกว่าซึ่งเป็นดินแดนของสวรรค์ชั้นสูง
นั่นคือโลกที่ผู้เป็นเซียนและเทพเจ้าสามารถท่องไปมาได้อย่างอิสระโดยไม่มีข้อจำกัดใดๆ สถานที่สุดท้ายของผู้ฝึกตนทั้งหมดในทุกๆโลก
โดยปกติขอบเขตราชันย์ศักดิ์สิทธิ์สามารถเลือกได้ว่าจะขึ้นสู่ดินแดนสวรรค์ชั้นสูงหรือไม่ หากพวกเขาไม่ได้ขึ้นไปก็จะไม่สามารถฝึกตนไปสู่ขอบเขตที่สูงขึ้นได้ ปู่ของเขาเป็นเช่นนั้น เขาอยู่ในขอบเขตราชันย์ศักดิ์สิทธิ์มาห้าร้อยปีแล้ว แต่เขาไม่มีความสารถใดๆที่เพิ่มขึ้นกับการฝึกตนของเขาเลย ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้คิดที่จะขึ้นไป นั่นเป็นเพราะเมื่อแต่ละคนข้ามสู่ขอบเขตที่สูงขึ้นแล้วพวกเขาไม่สามารถกลับไปยังโลกที่พวกเขาจากมาได้อีกต่อไป ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากซึ่งเพียงพอที่จะสร้างนิกายชั้นนำหลายแห่งในโลกพสุธา เพื่อให้บุคคลที่อยู่เหนือขอบเขตราชันย์ศักดิ์สิทธิ์กลับลงมายังโลกได้
มันเป็นสิ่งที่ไม่มีเหตุผลที่คนทั่วไปจะทำและคนส่วนใหญ่ไม่สามารถทำได้ สำหรับผู้ที่มีทรัพยากรมากขนาดนั้น พวกเขาต้องการใช้ทรัพยากรเหล่านั้นเพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นแทนที่จะกลับไปสู่ที่ๆเขาเคยจากมา แม้ว่าพวกเขาจะมีทรัพยากรเพียงพอ แต่ก็ไม่รับประกันว่าพวกเขาจะได้กลับไปยังโลกของพวกเขาได้อย่างปลอดภัย เพราะโลกพสุธาจะพยายามปฏิเสธพวกเขา และไม่อนุญาตให้มีสิ่งมีชีวิตเหนือขอบเขตราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เข้ามาในโลกพสุธาได้
นั่นคือเหตุผลที่การขึ้นไปดินแดนสวรรค์ชั้นสูงนั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก ผู้คนจากขอบเขตราชันย์ศักดิ์สิทธิ์ส่วนใหญ่มักจะเลือกที่จะอยู่ในโลกแห่งพสุธาและจะขึ้นสู่ดินแดนสวรรค์ชั้นสูงเมื่ออายุขัยของพวกเขากำลังจะหมดลงเท่านั้น
ผู้ที่อยู่ในขอบเขตราชันย์สามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึง 1,500 ถึง 2,000 ปี ปู่ของเขาอายุ 800 ปีในปีนี้เขาจึงยังมีเวลาเหลืออีกมาก นอกจากนี้ยังเป็นเหตุผลว่าทำไมปู่ของเขาจึงมีความสำคัญในนิกายของเขา คนที่อยู่ในขอบเขตราชันย์ที่อายุขัยกำลังจะสิ้นไปนั้นไม่ได้มีความสำคัญมากกว่าทคนที่อายุน้อยกว่านั้นมาก นั่นเป็นเพราะพวกเขาจะต้องขึ้นไปดินแดนสวรรค์ชั้นสูงในไม่ช้าและเมื่อพวกเขาขึ้นไปพวกเขาจะสูญเสียผู้พิทักษ์นิกายไปเนื่องจากพวกเขาไม่สามารถกลับลงมาได้อีกต่อไป
“ไม่ว่ายังไงพวกเขาไม่สามารถต่อกรกับผู้เป็นเซียนที่อยู่ในหุบเขาพันภูเขานั้นได้…โลกนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดให้อยู่ในขอบเขตราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น” กู่ฟ่านหมิงพูดสั่นๆ ขณะที่เขามองไปที่ปู่ของเขา
ชายชรามีสีหน้าเคร่งเครียดบนใบหน้าของเขาถอนหายใจออกมา
“ถ้าผู้ก่อตั้งนิกายศิลาเทพเจ้ายังอยู่ เซียนตนนั้นคงจะไม่สามารถทำอะไรตามใจชอบได้ที่โลกนี้”
กู่ฟ่านหมิงเคยได้ยินเรื่องนี้จากปู่ของเขาตั้งแต่เขายังเด็ก มีเทพเจ้าอยู่ในโลกพสุธาเมื่อนานมาแล้ว เทพเจ้าเหล่านี้บางส่วนได้สร้างนิกายต่างๆขึ้นที่นี่เช่นนิกายศิลาเทพเจ้า, นิกายเทพเจ้าสายฟ้า, นิกายจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และนิกายอื่นๆ ที่มีคำว่าเทพเจ้าหรือคำแทนในนามของพวกเขาอยู่ ด้วยการปรากฏตัวของเทพเจ้าเหล่านี้จึงเป็นยุคทองของผู้ฝึกตนในโลกพสุธา
อย่างไรก็ตามวันหนึ่งเทพเจ้าเหล่านี้ทั้งหมดได้หายไปในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน ศิลาเทพเจ้า เทพเจ้าสายฟ้า จิตวิญญาณศํกดิ์สิทธิ์ ทั้งหมดได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย สิ่งเดียวที่ยังคงอยู่เพื่อเตือนทุกคนถึงการมีอยู่ของพวกเขาคือนิกายและกระบวนท่าชั้นสูงต่างๆที่พวกเขาเหลือไว้เบื้องหลัง ไม่มีใครทราบว่าหายไปเมื่อใด แต่มีบันทึกบอกไว้ว่าอย่างน้อยก็เป็นเวลา 10,000 ถึง 40,000 ปีก่อน
หากเทพเจ้าเหล่านั้นยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้ไม่มีผู้เป็นเซียนตนใดสามารถสร้างความหายนะใน โลกพสุธาได้
“การสูญเสียผู้ฝึกตนในขอบเขตราชันต์เทวลิขิต ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นความสูญเสียเพียงเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตามด้วยข้อมูลเหล่านี้ถือว่าคุ้มค่า ข้าจะไปบอกหัวหน้านิกายเกี่ยวกับเรื่องนี้ นอกจากนี้เจ้าควรฝึกฝนอย่างขยันขันแข็งแทนที่จะไปยุ่งวุ่นวายกับคนอื่นเหมือนที่เคยทำ วันหนึ่งเจ้าอาจทำให้ใครบางคนไม่พอใจหรือสร้างความขุ่นเคืองกับคนอื่นได้ ข้าจะไม่สามารถสะสางความวุ่นวายของเจ้าได้อีกต่อไปดังนั้นเจ้าควรระวังตัวไว้บ้าง” ชายชรากล่าวก่อนที่จะปล่อยให้หลานชายของเขาอยู่คนเดียวในห้อง