เมื่อผมโดนระบบครองร่าง - บทที่ 13 จับปีศาจไม่ได้
ปาฏิหาริย์ที่เหนือกว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่ปรากฏชัดต่อหน้าต่อตา ฉีเยียนที่ฉลาดหลักแหลมย่อมมองเห็นแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
คนที่ไม่เชี่ยวชาญในพลังพิเศษจะต้องเป็นเหมือนชนชั้นทางสังคมที่ถูกกำจัดในการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีครั้งก่อนๆ วันหน้าจะต้องดิ้นรนอย่างยากลำบาก และมันจะส่งต่อแรงกดดันที่เกิดขึ้นใหม่ไปยังคนรุ่นต่อไป อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงคราวนี้ ถ้าหากคนรุ่นแรกพ่ายแพ้ ฉีเยียนคิดว่ามันคงจะไม่เหมือนการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่พึ่งพาคนรุ่นต่อไปกลับมาได้ คนหนึ่งทำไม่ดี บางทีอาจไม่สามารถกลับมาลืมตาอ้าปากได้อีก
เพราะพลังพิเศษไม่ใช่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เผยแพร่ได้อย่างอิสระ แต่ไม่อาจสืบทอดได้
ขอเพียงมีลูกหลานที่ขยันขันแข็งและมีความสามารถ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะเข้าสู่ชนชั้นสูงโดยอาศัยการสะสมความรู้เพียงอย่างเดียว
การเรียนรู้นั้น ไม่ว่าครอบครัวจะมั่งคั่งเพียงใด หากเด็กที่เกิดมาไม่มีคุณสมบัติมากพอก็ไม่อาจถ่ายทอดความรู้ทั้งหมดให้เขาได้
ทว่าตอนนี้กลับต่างออกไป เธอรู้สึกว่าพลังพิเศษนี้สืบทอดได้ทางสายเลือด เพราะนี่คือเรื่องที่ชายหนุ่มผู้มากความสามารถมากในงานรวมญาติคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
เธอต้องการที่จะเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ของตระกูลจากผู้อาวุโส แต่เพราะเธอเป็นเด็กสาว ในสายตาของคนแก่หัวรั้น เธอจะต้องแต่งงานออกไปไม่ช้าก็เร็ว ไม่เหมาะที่จะได้รับการสืบทอด ต่อให้หาคนแต่งงานเข้าตระกูลได้ก็ไม่น่าเชื่อถือ
พ่อแม่ของเธอรักลูกสาวคนเดียวที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจคนนี้มาก พวกเขาส่งของขวัญไปวิงวอนแต่ก็ไม่มีใครยินยอมถ่ายทอดให้ ทั้งยังถูกผู้อาวุโสเอาแต่เร่งรัดให้แต่งงาน เพราะพวกเขาเสาะหาคนหนุ่มที่มีอนาคตในยุคใหม่ไว้ให้เธอแล้วสองสามคน…
ยุคใหม่กำลังจะมาถึง ลูกหลานผู้ชายในครอบครัวที่มีคุณสมบัติธรรมดาๆ ต่างพากันได้รับการถ่ายทอดจากผู้อาวุโส แถมยังได้ฝึกฝนจริงจัง ช่วยยกระดับสถานะและอนาคตของพวกเขาก็สดใส
เพราะฉะนั้นฉีเยียนจะชักช้าอีกไม่ได้แล้ว เพราะเธอไม่เคยคิดว่าตัวเองด้อยกว่าผู้ชายคนไหนเลย
ไม่ง่ายที่จะฉวยโอกาสนี้บังคับอัศวิน A ที่วันนั้นทั้งวันสมองไม่ปกติให้ถ่ายทอดศิลปะการต่อสู้ให้ เมื่อเขาเริ่มถ่ายทอดให้จริงๆ เธอสัมผัสได้ว่ามันเป็นพลังภายในที่ไม่เลว
แต่หลังจากอ่านหนังสือกำลังภายในที่เขาให้มา เธอก็ต้องโกรธควันแทบออกหู เรื่องที่ทำให้หญิงงามหน้าตาสะสวยควบคุมอารมณ์ไม่ได้ขนาดนี้ เห็นได้ว่าไม่ใช่กำลังภายในทั่วไปแน่นอน เธอได้รับมันมาหลายวันแล้วแต่ยังไม่ได้ฝึกฝนสักครั้ง กระแสปราณกำลังภายในที่ไหลเวียนจากอัศวิน A ยังฝังแน่นอยู่ในอกของเธอโดยไม่ขยับเขยื้อน
จนกระทั่งคืนนี้มาถึง
“อ้อ ฉีเยียน ครั้งก่อนที่อาแนะนำเสี่ยวเจิ้งให้แล้ว ทำไมไม่ติดต่อเขาเลยล่ะ เธอก็รู้นี่ เสี่ยวเจิ้งไม่ใช่ลูกชายของฉันกับอารองของเธอ พวกเธอถึงจะสกุลฉีเหมือนกัน แต่พ้นชั่วห้าอายุคนตั้งนานแล้ว ไม่ต้องกังวลหรอก”
“อีกอย่าง เด็กคนนั้นบอกฉันว่าเขาไม่สนใจความแตกต่างระหว่างชายหญิงด้วยนะ และเขายินดีที่จะสอนศิลปะการต่อสู้ของตระกูลให้เธอหลังแต่งงาน ลองคิดดูสิว่ามันดีแค่ไหน แถมพ่อแม่เธอยังไม่ต้องเที่ยวบากหน้าขอความช่วยเหลือด้วย เฮ้อ ดูสิ ปล่อยให้พวกเราเป็นห่วงแทบแย่ อาสะใภ้รองบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าเธอเป็นผู้หญิง อย่าห้าวหาญให้มันมากนักเลย เรียนศิลปะป้องกันตัวได้แล้วยังไงล่ะ จะเที่ยวไปต่อสู้เข่นฆ่าเหมือนผู้ชายพวกนั้นได้เหรอ”
‘ไม่ได้ขอบนหัวอาสักหน่อย จะกังวลอะไรหนักหนา’ ฉีเยียนเพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะเจื่อนๆ กลับไปให้ ชายหนุ่มที่มีนามสกุลฉีคนนี้เป็นหลานชายห่างๆ ของอารอง แต่เขาถูกเลี้ยงดูมาในฐานะลูกชายของพวกเขาตั้งแต่ยังเล็ก ทั้งเกียจคร้าน ขี้เหร่ หยาบคาย และน่าเบื่อ
เมื่อเทียบกับอัศวิน A ต่างกันราวฟ้ากับเหว แม้ว่าอัศวิน A จะพูดจาน่าหมั่นไส้ไปบ้าง แต่เขามีความแข็งแกร่งด้านศิลปะการต่อสู้และรูปลักษณ์หน้าตาหล่อเหลา อยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจกว่า ที่สำคัญคือไม่เรื่องมาก ไม่เหมือนพวกผู้ชายที่พอเจอเธอแล้วก็เอาแต่พูดจานั่นนี่ไร้สาระ เหมือนนกยูงตัวผู้เอาแต่คุยโวโอ้อวดต่างๆ
อาสะใภ้รองคนนี้เป็นแบบฉบับของคนยึดติด เมื่อใดก็ตามที่พูดถึงศิลปะการต่อสู้จะนึกถึงมือสังหารเอย จอมยุทธ์เอยแบบสมัยโบราณ หารู้ไม่ว่าการใช้ศิลปะการต่อสู้ที่ดีที่สุดคือการใช้กับผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีสมัยใหม่
ในที่สุดฉีเยียนก็ตัดสินใจได้แล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่างมากเธอก็จะเลือกคืนเดือนมืดที่สุดเพื่อฝึกฝน วันนี้แหละเหมาะที่สุด ฟ้าไร้ดวงดาว มืดจนยื่นมือออกไปแล้วก็มองไม่เห็นนิ้วตนเอง รอกระทั่งฝึกฝนกำลังภายในจนใช้งานได้ ทำเงินก้อนใหญ่ด้วยสองมือของตัวเองแล้ว การซื้อวิลล่าเดี่ยวก็ไม่ใช่เรื่องยากตรงไหน
หลังจากแข็งใจแล้ว คุณหนูตระกูลฉีก็กัดฟันอีกครั้ง อัศวิน A สมควรตาย อย่าให้ฉันรู้ว่านายจงใจถ่ายทอดวิชาแบบนี้ให้ฉัน!
…
‘คุณได้รับค่าความโกรธจากฉีเยียน ขณะนี้สล็อตความโกรธระดับสามถึงร้อยละ 80 แล้ว’
ขณะที่ฟางหนิงกำลังอ่านนิยายฆ่าเวลา เขาก็ได้รับแจ้งเตือนจากระบบอีกครั้งจึงหยุดอ่านนิยาย
เขามองดูสถานที่ภายนอกผ่านมุมมองของระบบ อ้อ ระบบไปจับปีศาจแถวบ้านตระกูลฉีอีกแล้ว ผ่านมาตั้งหลายวันแล้ว ไม่น่าแปลกใจที่คุณหนูตระกูลฉีจะยังโมโหไม่เลิก เนื้อหาที่ระบบให้เธอน่าอายจริงๆ เกรงว่าอีกฝ่ายจะฝึกไปด่าระบบไปพลางแน่นอน
เขาเคยอ่านบทนำ กำลังภายในล้มครึ่งก้าวมีข้อกำหนดแปลกประหลาด แตกต่างจากวิธีฝึกกำลังภายในทั่วไปที่ใช้จุดตันเถียนเป็นพื้นฐานนั่งสมาธิขับเคลื่อนกำลังภายใน มันทำงานตามจุดฝังเข็มบริเวณหน้าอก เวลาฝึกต้องกระโดดขึ้นลงทั้งตัว ยิ่งเร็วยิ่งดี เพื่อให้ปราณแท้ไหลเวียนทั่วทั้งร่างกาย ผู้ชายไม่เป็นไร แต่ผู้หญิงทำท่าทางแบบนี้เวลาฝึกฝนคงไม่น่าดูเท่าไรนัก
ในสายตาของฉีเยียนย่อมมองว่าอัศวิน A มีเจตนาบางอย่างแอบแฝงแน่นอน เขาจงใจทำให้เธออับอายจนไม่กล้าเชิดหน้าในตระกูล
ตระกูลฉีเป็นหนึ่งในไม่กี่ตระกูลในเมืองฉีที่สามารถสืบทอดต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันได้ ทั้งองค์ความรู้ลึกซึ้ง แผ่ขยายออกไปกว้าง สั่งสมความมั่งคั่งสูง หลังจากสถานการณ์ปัจจุบันเปลี่ยนไป พวกเขาติดตามการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และทำให้ความสัมพันธ์การติดต่อระหว่างคนในตระกูลแน่นแฟ้นขึ้น เทียบกับอดีตที่รวมตัวกันเพียงปีละครั้งหรือหลายปีถึงจะรวมตัวกันสักครั้งแล้ว ช่วงไม่กี่ปีมานี้พวกเขาจัดงานรวมญาติประจำปีบ่อยครั้งขึ้นทีเดียว
ในงานเลี้ยงมักมีคนคอยโอ้อวดความสามารถพิเศษศิลปะการต่อสู้ของตัวเอง บ้างก็อวดของใหม่ล่าสุด ทุกครั้งที่ฉีเยียนเห็น ภายนอกของเธอแม้สีหน้าจะดูสงบนิ่ง แต่ความอิจฉาริษยาก็ก่อตัวอยู่ในใจ
เธอไม่รู้ว่าอย่างแรกจะดึงดูดความสนใจของทางการ ขณะที่อย่างหลังเป็นการง่ายที่จะดึงดูดพวกผิดกฎหมายที่ปลุกพลังที่ไม่ธรรมดา ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่ระบบมักจะมารอคอยโอกาส แต่เมื่อสถานะอัศวิน A นี้บังเอิญถูกเธอพบเข้า ทั้งสองจึงได้รู้จักกัน
ตอนนี้ระบบแปลงโฉมเป็นอัศวิน A ปรากฏตัวใกล้บ้านของเธออีกครั้ง แต่เธอกลับไม่รู้เรื่องนี้เลย
หัวหน้าระบบย่อมไม่ได้มาตามจีบหญิงแน่นอน มันแค่มาจับปีศาจตามปกติ
ช่วงนี้ข่าวลือหนักขึ้นเรื่อยๆ หลายหน่วยงานทางการต่างก็เพิ่มการลาดตระเวนเข้มข้นขึ้น อาชญากรธรรมดาที่ออกอาละวาดตอนกลางคืนก็เริ่มลดลงมาก
แน่นอน เมื่อจำนวนคนที่ถูกปลุกพลังพิเศษค่อยๆ เพิ่มขึ้น บางคนก็มีจิตใจที่กระตือรือร้น พวกคนที่กล้าออกมาก่ออาชญากรรมมักเป็นคนที่คิดว่าตนเองมาเหนือเมฆ เดิมทีกองกำลังรักษาความสงบธรรมดาไม่มีทางรับมือพวกนี้ได้ ขณะที่กำลังของหน่วยกิจการพิเศษในเมืองฉีไม่อาจครอบคลุมประชากรเกือบสิบล้านคนได้หมด
มันไม่อาจหยุดยั้งระบบที่ขยันจับปีศาจได้เพราะวิธีการของมันสะอาดเรียบร้อย ไม่เคยเสียเวลาสอบสวน ยกเว้นเสียแต่จะพูดพล่ามไร้สาระก่อนลงมือทุกครั้ง จัดการทีเดียวอยู่หมัดไม่ต้องมีซ้ำสอง ช่วงหนึ่งในเมืองฉีมีช่วงเวลาที่เป็นช่องว่างสั้นๆ การรักษาความสงบจึงไม่ลดลงแต่กลับเพิ่มขึ้น
ในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้ที่ถูกปลุกพลังพิเศษหลายคนละทิ้งความคิดอันมืดมนและแสดงความเต็มใจที่จะรับหลักสูตรการเรียนซ้ำในยุคใหม่ ในเมื่อพวกเขาส่วนใหญ่ยังมีสมุดทะเบียนบ้าน
ขณะที่เมืองหลายแห่งที่มีประชากรและสถานะคล้ายกัน แม้ช่วงนี้หน่วยกิจการพิเศษของพวกเขาส่งคนออกไปแล้วก็ไม่สามารถควบคุมได้ สถานการณ์ล่าสุดของพวกเขาค่อนข้างวุ่นวาย แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับเมืองฉี เพราะเหตุนี้ช่วงนี้เมืองฉีจึงได้รับการยกย่องไม่น้อย และได้รับเลือกเป็นเมืองตัวอย่างการจัดการรักษาความสงบในสถานการณ์รูปแบบใหม่
แต่ผลที่ตามมาคือสองสามวันนี้ระบบเดินทางไกลขึ้น แต่ก็ยังจับปีศาจได้ไม่กี่ตัว เรื่องนี้ไม่อาจทำให้ฟางหนิงนั่งเล่นเกมอย่างสบายใจได้อีก
เขาทำได้แค่ปลอบใจมัน รอทำอาวุธเทพออกมาแล้วเป็นฝ่ายรุกงานใหญ่ดึงดูดปีศาจ ต่อไปจะไม่มีช่วงที่หยุดชะงักแบบนี้แน่นอน เมื่อจับปีศาจได้ หลังจากนี้ประสิทธิภาพก็จะสูงขึ้น
แต่ว่าค่าประสบการณ์ที่จำเป็นสำหรับการสร้างอาวุธเทพยังไม่เพียงพอ
เพื่อสะสมค่าประสบการณ์ให้เพียงพอ หลังจากระบบถึงระดับสิบก็จงใจเลื่อนการอัปเกรดออกไปแล้ว ไม่เช่นนั้น มันอาจจะอัปเกรดไปนานแล้ว ไม่น่าแปลกใจที่หัวหน้าระบบจะร้อนใจ
เพราะทุกวันนี้พบเจอปีศาจไม่บ่อยนัก ระบบจึงต้องรอคอยให้อาชญากรปรากฏตัว เฝ้ารอให้ปีศาจเป็นฝ่ายปรากฏตัวก่อน
บ้านตระกูลฉีเป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่ระบบมารอคอย วันนี้ระบบมารออยู่ที่นี่อีกครั้ง แน่นอน ในขณะรอคอยโอกาส ระบบก็คอยฝึกฝนตลอดเวลา ไม่ยอมเสียเวลาเล่นมือถือเหมือนคนอื่นๆ เลยแม้แต่น้อน
ด้านฟางหนิงกลับถูกด่าไม่มีชิ้นดีเพราะเบี้ยวนัดเซียนคนหนึ่งในเกม ทำให้เซียนคนนั้นถูกไล่ล่า ตอนนี้เขาไม่กล้าเล่นเกมนั้นอีกแล้ว และไม่มีอารมณ์จะเล่นอะไรอีกสักพักจึงอ่านนิยายฆ่าเวลา ตอนนั้นเองระบบก็แจ้งเตือนขึ้นอีกรอบว่าจะออกไปสูดอากาศ เผื่อจะได้มีอะไรสนุกๆ ให้ทำ
ระบบยืนอยู่บนดาดฟ้าชั้นสาม ซึ่งเป็นอาคารที่ใกล้กับบ้านของตระกูลฉีที่สุด ตรอกซอยแถบนี้ล้วนเป็นพื้นที่บ้านเก่าของตระกูลฉีทั้งสิ้นและคนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่แถบนี้ต่างใช้สกุลฉีในสมุดทะเบียนบ้าน
บ้านค่อนข้างเก่าและไม่สะดุดตา แต่ทุกคนรู้ดีว่าในเมืองที่ประชากรหนาแน่น บ้านชั้นเดียวที่มีลานกลางบ้านในเขตเมืองที่เจริญแล้ว แต่กลับยังไม่ถูกรื้อถอนนั่นหมายความว่าอย่างไร
ฟางหนิงมองจากมุมมองของระบบ ไม่นานก็เห็นตำแหน่งของฉีเยียน ตอนนี้เธอกำลังยืนท่าทางสับสนที่ลานบ้านแห่งหนึ่ง
……………………………………………………..