เมื่อผมโดนระบบครองร่าง - บทที่ 195 ท่านเทพ ฉันอยากทำนา
บทที่ 195 ท่านเทพ ฉันอยากทำนา
ด้วยพลังโจมตีที่เพิ่มขึ้นมากมายขนาดนี้ ระบบจึงได้รับพลังระเบิดที่สูงมาก แม้ว่าจะมีสถานะเป็นแค่ระบบด้านต่อสู้ธรรมดา ปราบศัตรูในท่าเดียว สร้างคามสำเร็จในการต่อสู้มากมายที่ทำให้ผู้แข็งแกร่งด้านการฝึกเป็นเซียนต่างพูดไม่ออก
เพียงแค่มีพลังปราณในมือ วิทยายุทธ์ธรรมดาก็แสดงพลังที่เหนือกว่าวิชาฝึกตนเป็นเซียนทั่วไปได้เหมือนในตำนานฉะนั้น ระบบจึงให้ความสำคัญกับการฝึกฝน ‘คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล’ มากขนาดนี้…
หากพลังปราณไม่เพิ่มขึ้น พลังระเบิดของมันก็จะลดฮวบลง ค่าสัมประสิทธิ์จะลดลงห้าเท่า อานุภาพของวิทยายุทธ์ทั่วไปที่เดิมทีมีค่า 60 เท่า ก็จะเหลือเพียง 12 เท่า
เมื่อใช้พลังปราณหมด หากต้องการโจมตีคู่ต่อสู้อีก ก็ต้องอาศัยการต่อสู้ยืดยื้อเท่านั้น…
โชคดีที่วิชาฝึกตนเป็นเซียนนั้นต้องใช้พลังชีวิตจักรวาลขับเคลื่อน และได้รับผลกระทบจากความเข้มข้นของพลังชีวิตจักรวาลอย่างมาก
มีเพียงระบบเท่านั้นที่เปลี่ยนอาหารเป็นปราณแท้ ไม่ได้รับผลกระทบจากพลังชีวิตภายนอก อานุภาพวิทยายุทธ์ของมันยังคงเหมือนเดิมตลอด ปราศจากการรบกวนจากโลกภายนอก
ตอนนี้ ‘การเปลี่ยนร่างมังกร’ ระดับปรมาจารย์กินอาหารปริมาณหนึ่งปีในคราวเดียว ซึ่งหมายความว่าขณะทำสงครามนั้นมันไม่จำเป็นต้องกินอาหาร ก็ยังมีโภชนาการทางอาหารที่สามารถเปลี่ยนเป็นจิงชี่ในร่างกายอย่างต่อเนื่อง จากนั้นเปลี่ยนเป็นปราณแท้ด้วยวิธีการทำงานแบบมัลติเธรดที่ไม่เหมือนใคร
ระบบใช้ศิลปะการต่อสู้ของมนุษย์ที่มีพื้นฐานของปราณแท้และอาศัยการเพิ่มพลังขั้นพื้นฐาน ยังคงสามารถบังคับให้คู่ต่อสู้ต้องใช้วิชาฝึกตนเป็นเซียนที่ใช้พลังเวทย์
มีเพียงคู่ต่อสู้ที่พิเศษถึงจะพึ่งพาอาวุธวิเศษและทักษะการป้องกันโดยกำเนิด จึงจะพอฟัดพอเหวี่ยงกับมันได้
แต่การเพิ่มพลังเวทย์นั้นไม่ได้ราคาถูกและสะดวกมากนัก ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเวลาเจอคู่ต่อสู้ในระดับเดียวกัน ระบบจึงมั่นใจเสมอว่าสามารถยื้อจนคู่ต่อสู้เสียชีวิตได้
…
ฟางหนิงไม่เป็นวิทยายุทธ์ประเภทมังกร เขาฝึก ‘การเปลี่ยนร่างมังกร’ เวอร์ชันง่าย
ตอนนี้เขาฝึกรูปร่างมังกรน้ำแข็งเป็นหลัก และเพิ่งประสบความสำเร็จเล็กๆ สามารถใช้กระบวนท่าของร่างมังกรน้ำแข็ง เช่น พ่นน้ำแข็ง แช่แข็งคน และตอนนี้เขาจะฝึกฝนต่อไป พยายามให้มีความก้าวหน้า อย่างน้อยให้ถึงผู้เล่นระดับถ้วยละกัน…
พอฝึกฝนแล้ว เวลาก็จะผ่านไปเร็วมาก ติ๊งๆ ได้เวลาเลิกงานแล้ว”เขาตื่นจากการฝึกฝนและยืดเส้นยืดสาย “ห้าโมงแล้ว มีความก้าวหน้าไม่น้อย ในที่สุดก็สามารถเล่นเกมอย่างสบายใจ”
น่าเสียดายเขาวางแผนไม่รอบคอบ ดูเหมือนระบบจะรู้ทัน และพูดขึ้นในเวลานี้ “ตอนนี้อุปกรณ์มิติในตำนานสร้างเสร็จแล้ว เชิญท่านมหาเศรษฐีมาดูหน่อย”
ฟางหนิงได้ยินก็หมดคำพูด ชัดเจนว่าจะให้ตนทำงานล่วงเวลาสินะ… แต่เขาก็คร้านที่จะโต้เถียงกับเจ้านี่ เพราะว่าเขาเองก็ตั้งหน้าตั้งตารอคอยอุปกรณ์มิติในตำนานเหมือนกัน
จากนั้นเขาก็ได้ยินการแจ้งเตือนของระบบ (ระบบใช้ค่าประสบการณ์ 10 ล้านคะแนนเพื่อใช้วิญญาณปีศาจฝันร้ายที่ยอดเยี่ยม ประตูลึกลับออบซิเดียนและวัสดุเพิ่มเติมหลอมอุปกรณ์มิติในตำนานสำเร็จ ‘กำไลแห่งมิติ’ โดยมีคุณสมบัติดังนี้
ข้อหนึ่ง ให้มิติแยกที่ซ่อนอยู่ในความว่างเปล่า ขนาดปัจจุบันคือยาว 1,000 เมตร กว้าง 1,000 เมตร สูง 100 เมตร’ หมายเหตุการแจ้งเตือน: อุปกรณ์มิติดังกล่าวไม่ใช่พื้นที่ของระบบ หากถูกศัตรูที่แข็งแกร่งมากรุกราน มิติอาจถูกทำลาย’ หมายเหตุ: ขีดจำกัดสูงสุดของพลังที่ต้านทานได้ในปัจจุบันคือระดับบ่อน้ำขั้นสูงสุด
ข้อสอง ประตูแห่งพลังชีวิต มิติแยกดังกล่าวติดตั้งประตูลึกลับบานหนึ่ง ประตูดังกล่าวสามารถวางไว้ในมิติอื่น เพื่อดูดซับพลังชีวิตส่งไปยังมิติแยก และยังทำหน้าที่เป็นทางเข้ามิติได้
ข้อสาม จิตแห่งมิติ ผู้พิทักษ์ที่แข็งแกร่งของประตูลึกลับถูกระบบเปลี่ยนเป็นผู้ดูแลมิติ สามารถปกป้องและจัดการมิติได้ หมายเหตุ: ความแข็งแกร่งของจิตแห่งมิติส่งผลโดยตรงต่อขีดจำกัดสูงสุดของพลังที่มิติสามารถต้านทานได้)
เมื่อฟางหนิงเห็นฟังก์ชันที่สอง จู่ๆ ก็มีความคิด ดูเหมือนว่าในที่สุดก็นำอาวุธเทพดึงดูดปีศาจมาใช้งานได้แล้ว
หากไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวลูกน้อง ก็สามารถวางประตูแห่งพลังชีวิตไปไว้ที่ใดที่หนึ่ง จากนั้นปล่อยข่าวว่า ข้างในคือดินแดนลับ แต่จำกัดให้เข้าเฉพาะยอดฝีมือระดับบ่อน้ำและต่ำกว่าระดับบ่อน้ำเท่านั้น
แต่จะสกัดกั้นยอดฝีมือระดับทะเลสาบไม่ให้เข้าไปอย่างไรนั้นยังคงต้องพิจารณาอีกครั้ง
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฟางหนิงก็อยากจะเข้าไปดูสักหน่อย
แต่น่าเสียดายที่เขามองซ้ายมองขวาก็ไม่พบว่ากำไลแห่งมิติอยู่ที่ไหน เขาเอ่ยถามไม่ค่อยเข้าใจ “ท่านเทพ อุปกรณ์ทั้งหมดอยู่ที่ไหน ฉันจะเข้าไปได้ยังไง”
ระบบ “อุปกรณ์ที่ฉันติดตั้งเหมือนคุณสมบัติของฉัน ซ่อนไว้ทั้งหมด ถ้าคุณอยากจะเข้าไปในมิตินั้นก็เพียงบอกฉัน หรือเดินเข้าไปเองผ่านประตูแห่งพลังชีวิตก็ได้”
ฟางหนิงรู้สึกหดหู่ใจมาก “แกเอาแต่ซ่อนไว้แบบนี้ มันหมายความว่ายังไง ส่งฉันเข้าไปตอนนี้เลย”
พอเขาพูดจบก็พบว่าตัวเองอยู่ในมิติแยกแห่งหนึ่ง
ทันทีที่เข้ามาในนี้ ฟางหนิงก็มองไม่เห็นอะไรเลย ราวกับคืนเดือนมืดที่แบมือไม่เห็นนิ้วทั้งห้า…
หลังจากรับรู้ได้เล็กน้อย เขาถึงสังเกตเห็นว่าแตกต่างจากพื้นที่ของระบบจริงๆ ‘ที่นี่มีพลังชีวิตจริงๆ โชคดีที่เขาก็มีคุณสมบัติของพลังชีวิตระดับ C+ คู่ ไม่นานจิตวิญญาณก็สามารถสัมผัสได้’
เพียงแต่พลังชีวิตบางเบามาก อย่าว่าแต่เทียบกับดินแดนมรดกเลย แม้แต่เทียบกับโลกแห่งความจริงก็ยังห่างชั้นกันมาก น่าจะมีความเข้มข้นเพียงร้อยละ 1 ของโลกแห่งความจริง
หากลองสังเกตละเอียดอีกนิด พบว่าที่นี่มีอากาศด้วย เพราะมีกระแสลมเบาๆ พัดผ่านใบหน้าเป็นครั้งคราว
“ท่านเทพ ขอแสงสว่างหน่อยได้ไหม ฉันไม่มีความสามารถมองเห็นท่ามกลางความมืดแบบแกนะ มองไม่เห็นอะไรเลย”
ฟางหนิงกลอกตาพลางร้องบอก
ระบบ “ที่นี่ไม่ใช่พื้นที่ระบบของฉัน ส่องแสงให้คุณก็ต้องใช้พลังของฉันเอง คุณไปตามหาจิตแห่งมิติให้มันช่วย หรือฉันจะให้เทียนไขคุณเล่มหนึ่ง”
ไม่สะดวกตามคาด แต่ก็จริงอยู่ เพราะโดยพื้นฐานแล้วที่นี่ก็คือมิติแยกแห่งหนึ่ง แต่ก็ไม่ต่างจากโลกแห่งความจริงมากนัก
ที่นี่แตกต่างจากพื้นที่ของระบบที่มาพร้อมกับระบบโดยพื้นฐาน ระบบจึงไม่อาจทำทุกอย่างตามอำเภอใจได้
เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วถามว่า “ถ้าอย่างนั้น แกก็ไม่สามารถอัปเกรดมิติแห่งนี้ตามอำเภอใจได้ นับประสาอะไรกับการสร้างบนพื้นราบ…”
ระบบ “นี่มันแน่อยู่แล้ว ถ้าต้องการอัปเกรดมิติแห่งนี้ก็มีแค่วิธีเดียว นั่นก็คือนำกำไลแห่งมิติไปหลอมใหม่ แล้วเพิ่มวัสดุใหม่เพื่ออัปเกรด เช่นเดียวกับหนังสือเกมนั่น
“แต่มันไม่เหมือนอุปกรณ์ระบบอื่นๆ เพราะยังเชื่อมโยงกับมิติแยกแห่งนี้ ปรับเปลี่ยนมันก็เท่ากับปรับเปลี่ยนมิติแยกนี้ ต้องกำจัดสิ่งของทั้งหมดที่อยู่ข้างในก่อน จึงจะสามารถเปิดมิติใหม่ได้ มิฉะนั้น ของเหล่านั้นก็จะถูกทำลายจากความผันผวนของมิติ
ฟางหนิงคิดว่า มีข้อจำกัดมากมายขนาดนี้ ไม่แปลกที่นี่ไม่อาจแทนที่พื้นที่ของระบบได้ ที่นั่นต่างหากที่เป็นรากฐานของตน
หลังจากถามจนเข้าใจแล้ว เมื่อรู้ว่าต้องทำยังไงก็ร้องเรียกในมิติ “จิตแห่งมิติ ออกมา… ข้าคืออัศวินที่ช่วยเจ้าไว้”
บัดนี้ แสงสีขาวสว่างขึ้น ทั้งมิติก็ค่อยๆ สว่างขึ้น
ความสว่างไม่มากนัก เทียบไม่ได้กับพื้นที่ของระบบ ที่นั่นไม่จำเป็นต้องจุดไฟ แต่สว่างไสวทุกที่
เมื่อมีแสงสว่าง ฟางหนิงจึงมองเห็นประตูหินออบซิเดียนลอยอยู่ในมิติ นอกจากนี้ มีแต่ความว่างเปล่า ทำให้ประตูบานนั้นสะดุดตามากขึ้น มันถูกระบบย้ายมาที่นี่นี่เอง
เมื่อได้ยินเสียงเรียกของฟางหนิง ใบหน้าคนผิวขาวเหมือนมีชีวิตก็ปรากฏขึ้นที่ประตูบานหนึ่ง และหลังจากนั้นไม่นานก็มีวิญญาณตนหนึ่งเดินออกมาจากประตู
วิญญาณตนนี้ตอนมีชีวิตอยู่น่าจะเป็นผู้ชายร่างกำยำ รูปร่างสมบูรณ์แบบ
มันลอยไปหาฟางหนิงด้วยท่าทางองอาจ ฟางหนิงสัมผัสได้ว่ามันน่าจะมีความแข็งแกร่งระดับบ่อน้ำ
แต่ฟางหนิงไม่ได้กังวล อีกฝ่ายน่าจะอยู่ในสถานะพันธมิตร
อีกอย่าง แม้ว่าระบบไม่สามารถควบคุมมิติแยกนี้ตามต้องการ แต่ในฐานะเจ้าของกำไลแห่งมิติ ก็สามารถเคลื่อนย้ายสิ่งของได้ตามต้องการ และเมื่อย้ายประตูบานนั้นเข้าไปในพื้นที่ของระบบ หมอนี่ก็ต้องตามเข้าไปด้วย
“สวัสดีสหายที่รัก ข้าชื่ออคิลลีส มาจากกรีซ เมื่อสิบห้าปีที่ก่อน ข้าถูกสังหารบั่นหัวไปปิดผนึกบนประตูหินออบซิเดียนบานนั้น ขอบคุณที่ทำให้ข้าเป็นอิสระ ข้ายินดีรับใช้ท่าน”
ตอนนี้จำนวนผู้ติดตามเต็มแล้ว รับผู้ติดตามเพิ่มไม่ได้ อีกทั้งน้ำเสียงของอีกฝ่ายฟังดูซาบซึ้งใจยิ่ง แต่ไม่ใช่แบบเคารพนบนอบ เป็นการคบหาเป็นมิตร…
ฟางหนิงขอให้ระบบบอกข้อมูลของชายคนนี้
เขาไม่ได้พกหนังสือเกมเข้าไปด้วย และไม่สะดวกที่จะเปิดอ่านต่อหน้า
“อคิลลีส เพศชาย รักอิสระ กีฬา อาหาร อ่านหนังสือ ทำสวน ฯลฯ อายุ 45 ปี สถานะ ‘จิตแห่งมิติ’”
“การประเมินแนวโน้มความดีความชั่ว ‘เป็นกลาง’”
“การประเมินพลัง ‘ผู้แข็งแกร่งระดับบ่อน้ำ’ รายละเอียดขนาดคือสระน้ำหนึ่งสระ ค่อนข้างทรงพลัง หมายเหตุ: ไม่สามารถออกห่างกำไลแห่งมิติได้”
อย่างนี้นี่เอง หมอนี่สุดยอดจริงๆ ประกอบกับความสามารถการดูดซับพลังชีวิตของประตูบานนั้น ไม่แปลกใจเลยที่ระบบจะต้องแย่งมันมาให้ได้
ฟางหนิงพยักหน้าพลางเอ่ย “ไม่มีปัญหา เพียงแต่อคิลลีส ท่านคิดว่ามิติแห่งนี้ทำอะไรได้บ้าง”
อคิลลีสเอ่ยตอบอย่างตื่นเต้น “สหาย สถานที่แห่งนี้กว้างขวางมาก สามารถนำวัสดุก่อสร้างมาจากภายนอก แล้วปรับเปลี่ยนให้เป็นสนามกีฬา จากนั้นก็สร้างการ์เด้นวิลล่า หาคนมาเปิดสนามกีฬา ฝึกต่อสู้ทุกวัน ถ้าเหนื่อยแล้วก็อ่านหนังสือและจัดสวน”
ฟางหนิงไม่แสดงความเห็น สิ่งที่หมอนี่ต้องการทำนั้นเหมือนกับงานอดิเรกของเขาทุกประการ แต่ก็ยังค่อนข้างแตกต่างจากที่เขาคิด
เขามองไปรอบๆ ที่นี่กว้างกว่าพื้นที่ของระบบมาก
รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างและยาว 1,000 เมตร
มันไม่ใช่สถานที่เขามองเห็นทุกซอกทุกมุมได้ในปราดเดียว เขาพิจารณาโดยละเอียดครู่หนึ่ง จึงจะมองเห็นริมขอบ
ขอบของแผ่นดินเต็มไปด้วยหมอกสีดำที่มองไม่เห็น ราวกับเหวลึก ไม่ว่าใต้เท้าและเหนือศีรษะก็เหมือนกัน
แค่คิดก็รู้แล้วว่า ข้างนอกนั้นว่างเปล่า แม้ว่าจะมีขอบเขตมิติจำกัดอยู่ ไม่น่าจะออกไปได้ แต่ดูแล้วน่ากลัวมาก… ต้องให้ระบบขนวัสดุก่อสร้างเข้ามา และปิดทั้งสี่ด้านดีกว่า
ฟางหนิงยังคงตัดสินใจไม่ได้ จึงพูดว่า “เอาล่ะ จะมอบหนังสือสองสามเล่นให้ไปอ่านเล่นก่อน เอาไว้อ่านเล่นๆ รอฉันคิดถี่ถ้วนแล้วค่อยว่ากันอีกที”
พูดจบ เขาก็ให้ระบบขนหนังสือที่เขาเคยอ่านเข้ามา
อคิลลีสเห็นหนังสือผูกด้ายเป็นเล่มๆ ปรากฏขึ้นในอากาศก็ดีใจมาก จึงพูดขึ้นว่า “ขอบคุณ สหาย เจ้าเป็นคนดีจริงๆ… ข้าไม่ได้อ่านหนังสือมานานมากแล้ว ไม่ได้ใช้งานแปดภาษาที่ข้าชำนาญมานานทีเดียว”
ฟางหนิงพยักหน้าและพูดจาเคร่งขรึม “หลังจากอ่านหนังสือจบ อย่างน้อยท่านก็ได้ใช้ภาษาจีนอีกครั้ง ฉันจะออกไปหาคนออกแบบโครงการสักหน่อย คุณค่อยๆ อ่านไป”
…
เมื่อฟางหนิงกลับมายังพื้นที่ระบบ ก็เริ่มทำหน้านิ่วขมวดคิ้ว
ระบบถามอย่างไม่เข้าใจ “อุปกรณ์มิติในตำนานก็สร้างเสร็จแล้ว พื้นที่ก็กว้างขวางพอ ถ้ามีพันธมิตรกำลังตกอยู่ในอันตราย เราก็ใช้การช่วยเหลือจากพันลี้นำพวกเขาเข้ามา มหาเศรษฐีมีเรื่องกลุ้มใจอะไรอีก”
ฟางหนิงหมดคำพูด “นี่มันแน่อยู่แล้ว แต่พื้นที่พวกเขาใช้แค่บ้านไม่กี่หลังเท่านั้น และเป็นเหตุฉุกเฉินชั่วคราว พื้นที่เหลือก็ต้องเสียเปล่า แต่มันเป็นที่ดินหนึ่งตารางกิโลเมตร คงปล่อยให้ว่างเปล่าตลอดไม่ได้”
“แกไม่ใช่คนเสินโจว ไม่เข้าใจความยึดมั่นของพวกเราคนเสินโจวต่อที่ดินหรอก หลายปีมานี้พเนจรขึ้นเหนือล่องใต้ ฉันมีความฝันหนึ่งตั้งแต่เด็ก อยากจะมีที่ดินที่เป็นของตัวเองสักผืน…”
ระบบ “แล้วคุณต้องการใช้มันยังไงล่ะ ความเข้มข้นของพลังชีวิตที่นี่ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ตั้งของประตูแห่งพลังชีวิต แต่ที่นี่นอกจากอากาศและพลังชีวิตแล้ว ก็ไม่มีทั้งแสงสว่างและน้ำ คุณจะใช้มันยังไง…”
ฟางหนิงพยักหน้า “ฉันมีความคิดสามอย่าง หนึ่งคือใช้ซ่อนตัวและปกป้องลูกน้อง สองคือช่วยแกจับปีศาจ และสามคือทำนา…”
………………………………………………….