เมื่อผมโดนระบบครองร่าง - บทที่ 212 ใช้อำนาจข่มเหงคนอื่นไม่ได้
บทที่ 212 ใช้อำนาจข่มเหงคนอื่นไม่ได้?
เมืองคั่วหลวนทางภาคเหนืออยู่บนเขตละติจูดสูง แม้จะเป็นเดือนมีนาคมแล้ว แต่อุณหภูมิก็ยังอยู่ที่ราวๆ ลบยี่สิบองศา
บนถนนผู้คนบางตา นานๆ จะมีคนผ่านมา ทุกคนต่างห่อหุ้มร่างกายหนาๆ หลายชั้น ไม่ใช่เสื้อขนเป็ด ก็เป็นชุดคลุมกันหนาวของทหาร
หากพบคนที่ยังสวมชุดฤดูร้อนอยู่ เช่นนั้นมีความเป็นไปได้ถึงร้อยละเก้าสิบจะเป็นผู้แข็งแกร่ง
พวกเขามักจะได้รับสายตาอิจฉามากมายยามเดินบนท้องถนน โดยเฉพาะจากเหล่าสาวสวยเย้ายวนแต่กลับต้องห่อตัวเองอย่างกับบ๊ะจ่างเวลาออกจากบ้าน
เวลานี้ เช้าตรู่อันหนาวเหน็บ บนท้องถนนที่เย็นเยียบวังเวง ได้ปรากฏบุรษสวมเสื้อแขนสั้นสีน้ำเงินคู่กับกางเกงยีนง่ายๆ ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และคล้ายประดับรอยยิ้มอยู่เป็นนิจ กำลังมองสำรวจเมืองทางเหนือแห่งนี้อยู่
“หืม ศิษย์พี่กู่ ข้าจำได้ว่างานหลักคือรับลูกศิษย์ไม่ใช่เหรอ” เฉินเทียนเซี่ยวมุมปากขยับคล้ายกับกำลังพูดกับใครอยู่ “วางใจเถอะ ข้าไม่ใช่ฉีเหมย ปล่อยราชาผีกระจอกๆ ทางนี้ ตั้งใจไปหาเรื่องราชาผีในสมาคมราชาผี ใช้อารมณ์ส่วนตัวจนเสียงานส่วนรวมชัดๆ ข้าไม่ได้มีความมั่นใจเหมือนนาง เรื่องที่ไม่มีผลประโยชน์ต่อเขาเทียนชิงของเรา ข้าไม่ยุ่งให้เหนื่อยหรอก”
เมื่อเขาพูดจบ นัยน์ตาก็วาววับ ปรากฏพลังขุมหนึ่งขึ้นบนร่าง กวาดตามองไปทั่วทั้งเมืองด้วยความรวดเร็ว จากนั้นได้เผยรอยยิ้มที่แท้จริงออกมา “เยี่ยม หาเจ้าเจอแล้ว”
เมื่อพูดจบก็หายวับไปทันที
ไม่ไกลออกไป ร้านอาหารเช้าริมทางแห่งหนึ่ง เถ้าแก้เนี้ยอายุสี่สิบกว่าซึ่งดูงดงามอ่อนเยาว์กำลังนั่งอยู่ข้างใน
เถ้าแก่เนี้ยเห็นภาพที่ชายหนุ่มผู้นั้นพลันหายวับไปผ่านประตูกระจก ก็รีบควักโทรศัพท์มือถือต่อสายไปยังหมายเลขหนึ่งทันที
ครู่เดียว เธอฉีกยิ้มกว้างพลางพูด “ใช่ ใช่ นี่ต้องเป็นผู้วิเศษที่แข็งแกร่งแน่นอน คู่มือแยกแยะที่หน่วยกิจการพิเศษของพวกคุณแจกให้ไม่ได้บอกไว้หรอกเหรอ พวกที่ไปมาไร้ร่องรอยพวกนั้นอย่างน้อยก็เป็นผู้วิเศษระดับ B ขึ้นไป”
“อื้ม อื้ม ได้ ได้ เรื่องเงินรางวัลไม่เป็นไร ฉันไม่รีบ… ได้เท่าไรนะ ห้าหมื่นหรือว่าสามหมื่น”
“พวกคุณแน่ใจนะว่าอีกเดี๋ยวจะโอนมา ได้ ได้”
สตรีที่กระตือรือร้นผู้นี้ช่างไม่รู้ความอะไรเลย ผู้วิเศษที่แข็งแกร่งที่นางพูดถึง ความสามารถที่แท้จริงสามารถเทียบเคียงกับผู้อาวุโสทั้งหกของสำนักงานสัจธรรมได้เลย ในเสินโจวเวลานี้ ผู้วิเศษระดับ A ที่แข็งแกร่งระดับบ่อน้ำนั้นมีน้อยเท่าหยิบมือ
นางวางสายก่อนเปิดแอปหนึ่งในมือถืออย่างร่าเริง เริ่มคำนวณลาภลอยที่ตกลงมาจากฟ้าว่าจะได้มากสุดเท่าไร… เพราะมีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อเงินรางวัล อย่างเช่นระดับความอันตราย ระดับพลัง หรือถูกพบเป็นคนแรกหรือไม่
ทว่านาทีนี้นางกลับไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่ามีชายหนุ่มยืนยิ้มตาหยีปรากฏตัวขึ้นตรงหน้านาง
“น่าสนใจ น่าขันจริง แค่ไม่ระวังซ่อนตัวให้ดีถูกคนธรรมดาอย่างเจ้าเห็นเข้า แต่เจ้ากลับกล้าที่จะแจ้งเบาะแสร่องรอยของข้า แทนที่จะเก็บเงียบไว้ ทั้งๆ ที่ห่างกันแค่ไม่กี่สิบเมตร พวกคนธรรมดาอย่างพวกแกตอนนี้ช่างกล้ากันจริงๆ หรือพูดอีกที ตอนนี้พวกแกช่างไร้เดียงสา” เฉินเทียนเซี่ยวยืนยิ้มจ้องเถ้าแก่เนี้ยพลางโคลงศีรษะ
เถ้าแก่เนี้ยมองอีกฝ่าย อึกๆ อักๆ พูดไม่ออก เธอเปิดร้านมานานแล้ว จากประสบการณ์พบปะผู้คนที่สั่งสมมา สัญชาติญาณบอกนางว่า รอยยิ้มของคนตรงหน้านี้มีสิ่งที่ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวถึงขีดสุดอยู่
นาทีต่อมา นางก็พบว่าตัวเองทำได้แค่เอามือกุมคอไว้ พยายามกระหืดกระหอบหายใจสุดฤทธิ์ แต่กลับหายใจไม่ออก
เฉินเทียนเซี่ยวยิ้มพูดอีกว่า “อีกสามนาที หากเจ้ายังมีโอกาสได้เป็นผีล่ะก็ จำไว้ว่าวันหลังแส่ให้น้อยลงหน่อย…”
พูดจบร่างเขาก็ขยับหายวับไปอีกครา
เถ้าแก่เนี้ยดิ้นรนทุรนทุรายอยู่ในร้านโล่งกว้าง เธอปัดโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กบนชั้นหล่นระเนระนาด ชามที่ใส่ไข่ต้มใบชาเต็มชามแตกกระจายส่งเสียงดังก้อง แต่กลับไร้ประโยชน์ ไม่ใครเข้ามาดูแม้แต่คนเดียว…
ร้านอาหารเช้าที่ปกติแล้วมีคนแวะเวียนเข้ามาอยู่บ้าง ราวกับหายไปจากสายตาผู้คนในชั่วขณะ
เถ้าแก่เนี้ยนอนหมอบอยู่บนพื้น แววตาเริ่มค่อยๆ สิ้นหวัง ความรู้สึกหายใจไม่ออกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เจ็บปวดทรมาน ภาพหลอนผุดขึ้นเรื่อยๆ จวบจนชายหนุ่มหล่อเหลาผู้หนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า…
เถ้าแก่เนี้ยใกล้สิ้นลมแล้วแต่ก็ยังไม่วายลืมรักแท้ในใจ สุดท้ายคนที่นึกถึงก็ไม่ใช่ตาแก่หนังเหนียว น่าเสียดายที่เจ้าคนนี้ไม่ค่อยเหมือนXXX ดูเหมือนจะหล่อกว่า…
วินาทีต่อมา เถ้าแก่เนี้ยที่ความรู้สึกล่องลอยก่อนใกล้ตายก็พบว่าตัวเองกลับมาหายใจได้แล้ว
ความรู้สึกที่หายใจเองได้อย่างอิสระ ช่างวิเศษ!
เถ้าแก่เนี้ยกลิ้งอยู่บนพื้นยังไม่อยากลุก อยากจะสูดอากาศเย็นให้เต็มปอดอยู่อย่างนั้น เธอมีความคิดเดียว ต้องเป็นไอดอลของนางในวัยเแรกแย้มที่ลงจากฟ้ามาช่วยนางไว้ นางจะต้องดูเรื่อง ‘เซียวลี้ปวยตอ มีดบินไม่พลาดเป้า’ ใหม่อีกสิบรอบแน่นอน
บนท้องฟ้าเมืองคั่วหลวน อัศวิน A เหยียบกระบี่บินเหาะไปทั่ว
“บัดซบ ไอ้เวรนั่นซ่อนตัวเร็วเหลือเกิน ข้าแค่เสียเวลาช่วยคนไปสามวินาที แผนที่ระบบก็หามันไม่เจอแล้ว” ระบบพูดอย่างแค้นเคือง
ฟางหนิงที่เห็นเรื่องราวทั้งหมดกลับรู้สึกปลื้มใจ ระบบยังคงไม่ลืมความตั้งใจแรก
เขาพูดปลอบว่า “ช่างเถอะ ปีศาจยังมีอีกเยอะ ถ้านายไล่จับปีศาจจนธาตุไฟเข้าแทรก ทิ้งคนตรงหน้าที่ช่วยได้แต่ไม่ช่วย แบบนั้นคุณสมบัติผดุงคุณธรรมต้องหล่นไปแน่นอน”
“ฉันไม่ใช่มนุษย์แบบพวกคุณเสียหน่อย ไม่มีทางลุ่มหลงงมงาย จะจับปีศาจจนธาตุไฟเข้าแทรกได้ยังไงกัน นี่ไม่เหมือนกับครั้งก่อนที่สู้หลอกๆ ครั้งนั้นฉันรู้สึกได้ว่าอย่างมากก็แค่คะแนนหายไปนิดเดียว แล้วค่อยไปฆ่าคนชั่วนั่นก็ได้คะแนนกลับมาแล้ว ถึงได้คิดจะเรียนแบบคุณใช้ช่องโหว่ของกฎสักรอบ
“แต่ครั้งนี้ข้าเห็นแล้ว ถ้าไล่ตามปีศาจระดับบ่อน้ำไปก่อนแล้วทิ้งคนไว้ให้ตาย แบบนั้นจะหายไปครึ่งหนึ่งเลยนะ…” ระบบพูดอย่างหดหู่ พลางขี่กระบี่บินเสาะหาไปทั่วอย่างไม่ยอมเลิกรา
ฟางหนิงได้ฟังก็ผงกศีรษะ เป้าหมายของระบบชัดเจนมาก สู้หลอกๆ ก็เพื่อหาเงินให้มากขึ้น แต่การหาเงินไม่ใช่เป้าหมาย เป้าหมายก็เพื่อแข็งแกร่งขึ้น พอแข็งแกร่งแล้วถึงจะผดุงคุณธรรมได้ดีกว่าเดิม ไม่ถึงขั้นตกอับไปเป็น ‘อัศวินที่เก่งแต่กับคนอ่อนแต่กลัวผู้แข็งแกร่ง’
ตัวเองก็เหมือนกัน ต่อไปเงินที่ให้มันยืม มันเอาไปซื้อวัตถุดิบเพิ่มพลังจนหมด ถ้าคืนไม่ไหว ตัวเองยังจะทวงคืนมาได้จริงๆ เหรอ เพิ่มวันหยุดให้สักสองวันก็พอแล้ว…
แต่ว่าจะบอกมันไม่ได้เด็ดขาด มันจะได้ไม่มีลูกเล่นมาเพิ่มอีก จะให้เรียนแบบบางประเทศที่ไม่เคยคืนเงินจริงๆ มีแต่ยืมเงินใหม่ไปใช้หนี้เดิม… จะให้มันเรียนจับเสือเมือเปล่าอีกไม่ได้
……
บนนถนนโกโรโกโสและเก่าซอมซ่อเส้นหนึ่ง ก้อนอิฐถูกขุดระเกะระกะ ไร้คนซ่อมแซม ราชาผีเป่าลี่เต้ากำลังใช้ชีวิตในห้องเก่าๆ ขนาดใหญ่ที่มุงหลังคาแหลมตกแต่งตามแบบหลัวซาแห่งหนึ่ง
จมูกของเขาโด่งเป็นสัน สีผิวค่อนข้างอ่อน รูปร่างดูเหมือนคนปกติ เพียงแต่บางครั้งจะเห็นรูปร่างเหมือนภาพลวงตาไม่เหมือนคนปกติทั่วไป
และข้างๆ เขาก็มีเงาร่างสองคนที่ดูเป็นเงาเลือนรางอย่างชัดเจน หน้าตาของพวกเขาละม้ายคล้ายราชาผีเป่าลี่เต้า น่าจะเป็นพี่น้องทางสายเลือดของเขา
“พี่ใหญ่เป่าลี่เต้า หนีไปหลัวซาเลยดีไหม” น้องชายผู้หนึ่งของเขากล่าว
“ไม่ได้ น้องรองฮาร์สัน” เป่าลี่เต้าส่ายหน้าเมื่อได้ยิน “ข้าเคยแอบเข้าไปในหลัวซามาแล้ว ไม่ใช่ที่ร้างไร้ผู้คนที่จะเข้าๆ ออกๆ ตามใจได้อีกแล้ว องค์กรใหญ่ระหว่างประเทศมากมายแบ่งพื้นที่ส่งคนเข้าไปอยู่แล้ว ถ้าผีอย่างพวกเราเข้าไป ก็เป็นวัตถุดิบชั้นดีของพวกพ่อมดที่แข็งแกร่ง พวกเขาไม่ได้คุยกันง่ายเหมือนคนเสินโจว ถ้าถูกจับก็ไม่รอด”
“งั้นก็หลบไปบ้านเกิดเราสักระยะ ราชครูผู้ปราดเปรื่องนั่นก็ถูกกำจัดไปแล้ว พี่ใหญ่ไม่ได้บอกเหรอว่าตั้งแต่ปีที่แล้วก็รู้สึกว่ามีคนในเผ่าไม่น้อยที่อธิษฐานให้พวกเราคุ้มครอง” น้องชายอีกคนกล่าว
เป่าลี่เต้าได้ฟังก็รู้สึกคล้อยตาม แต่ยังคงส่ายหน้าตอบว่า “นี่ก็ไม่ได้เหมือนกัน อาร์ลสลัม หากไม่สานสัมพันธ์กับสำนักงานสัจธรรมเสินโจว ด้วยพลังของข้าในตอนนี้ กลับไปก็ไม่มั่นคง ที่นั่นก็พื้นที่กว้างประชากรน้อยเหมือนกัน เพียงแต่เมื่อก่อนมีราชครูผู้ปราดเปรื่องอยู่ เขาเป็นยอดฝีมือระดับ A องค์กรใหญ่อื่นๆ ไม่กล้าวอแวด้วย ตอนนี้เขาถูกหนังสือของมังกรแท้ผู้รอบรู้ฟาดตายในครั้งเดียว คาดว่าเดี๋ยวก็คงมีองค์กรใหญ่ของผู้วิเศษเข้ามาประจำการ ถ้าพวกเรากลับไปที่นั่นอย่างไม่มีตำแหน่งทางการของเสินโจว ก็ไม่ต่างอะไรกับไปหลัวซา”
ฮาร์สันน้องรองของเขาได้ฟังก็ถอนหายใจ “ตอนนี้หลอกคนเสินโจวไม่ได้ง่ายๆ แล้ว ไม่เหมือนยุคก่อน เห็นในหนังสือเล่าว่าตอนนั้นขอแค่มีคนขอสวามิภักดิ์ก็เปิดประตูกว้างต้อนรับ แต่ว่าคนของสำนักงานสัจธรรมไม่เห็นค่าพวกเราจริงๆ เหรอ ตามหลักแล้วก็ไม่น่าใช่ คนเสินโจวตั้งมากอยากจะยึดกุ่ยฟางกลับไป หากมีคนทำสำเร็จ จากประสบการณ์เป็นผีของเราแล้ว ตายแล้วได้ยกย่องเป็นเทพแน่นอน”
เป่าลี่เต้ากัดฟันกรอด “ยื้อเวลาไปอีกหน่อยละกัน รอข้าถึงระดับ A ก็มีคุณสมบัติกลับไปตั้งถิ่นฐานบ้านเกิดตัวเองแล้ว น่าโมโหเสียจริง จู่ๆ เจ้าหนอนนั่นก็โผล่มาขัดเส้นทางบรรลุวิถีแห่งเทพของข้า เดิมทีอีกแค่สามเดือนก็จะถึงระดับ A แล้ว ตอนนี้สภาพจิตใจข้าไม่มั่นคง เงาร่างมันวนเวียนอยู่ตรงหน้าข้าตลอดเวลา ทำให้ข้าหาความรู้สึกรู้แจ้งเหมือนก่อนหน้าไม่เจอแล้ว”
น้องรองฮาร์สันได้ยินก็พูดปลอบใจว่า “เจ้าหนอนตัวนั้นโง่มาก ทั้งๆ ที่แข็งแกร่งจนน่าตกใจขนาดนั้น แต่ดันปล่อยพวกเราสามพี่น้องรอดมาได้ จับได้แค่พวกปีศาจเกิดใหม่โง่งมพวกนั้น น่าขำจริงๆ พี่ใหญ่ไม่ต้องกังวลมัน พวกเราค่อยเป็นค่อยไป”
เมื่อสิ้นเสียงปีศาจทั้งสาม พลันมีน้ำเสียงลำพองใจแว่วมาจากนอกประตู
“หัวหน้าหนอนผู้ยิ่งใหญ่ เป็นดั่งที่ข้าคิดไว้ไม่ผิด พวกเขามีที่ให้หลบซ่อนไม่มาก ที่นี่ก็คือสถานที่ที่เป็นไปได้มากที่สุด” ที่แท้ก็เป็นเสียงของผู้อาวุโสกุ่ยเอ้อร์ของสมาคมราชาผี
“บัดซบ ไอ้ลูกสุนัขที่ใส่หน้ากากผีสีขาวนั่น อยากจะกระชากหน้ากากมันออกมาดูเสียจริงว่าหน้าตาเป็นยังไงกันแน่” เมื่อผีทั้งสามได้ยินก็ลุกขึ้นหันมองไปทางประตูพร้อมกัน
เป่าลี่เต้าปล่อยคาถาออกมาทันที หมายจะพาน้องชายทั้งสองหลบหนี
ทว่าเขากลับต้องสลดเมื่อพบว่า บริเวณรอบๆ ห้องถูกคาถาล้ำลึกบางอย่างอย่างปิดผนึกไว้แล้ว แทบจะไร้ช่องโหว่และยากจะสั่นคลอน ไม่อาจใช้คาถาใดหลบหนีได้เลย
ขณะที่เขากำลังพยายาม ชายสวมหน้ากากสีขาวผู้หนึ่งก็ผลักประตูเดินเข้ามา และมีหนอนเขียวยักษ์ขนาดเท่าฝ่ามือลอยตามอยู่ด้านหลัง
ยามได้เห็นหนอนตัวนี้ สีหน้าราชาผีเป่าลี่เต้าก็ฉายแววหวาดกลัว
ลมปราณที่อีกฝ่ายปลดปล่อยออกมาคราวก่อน ในชีวิตก็เพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก ตอนนั้นที่หนีไปได้อย่างไม่คาดคิด เขายังรู้สึกว่าคงเป็นเพราะอดีตไม่ได้ทำอะไรชั่วช้า พระเจ้าจึงยอมมอบโอกาสให้…
“ครั้งก่อนเป็นเพราะท่านหัวหน้าหนอนผู้ยิ่งใหญ่ใจ…” กุ่ยเอ้อร์กำลังพูดอย่างภาคภูมิไปได้ครึ่งหนึ่ง พลันรู้สึกมีไอเย็นแผ่ออกมาจากด้านหลัง จึงรีบเปลี่ยนคำพูดใหม่ว่า “ใจเมตตา ตั้งใจจะเหลือทางรอดให้พวกเจ้าสักทาง ให้โอกาสพวกเจ้าเข้ามาสวามิภักดิ์เอง คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าไม่รู้จักเห็นค่า จะโทษที่พวกเรามาเยือนถึงหน้าประตูอีกไม่ได้นะ ปล่อยผีแข็งแกร่งแบบพวกเจ้าวุ่นวายอยู่ข้างนอก ก็ถือเป็นโรคร้ายที่รอกำเริบของคนธรรมดา”
ฮาร์สันอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น “พวกเราไม่เคยทำร้ายผู้คน ทำไมถึงอยู่ข้างนอกอย่างอิสระไม่ได้ แม้พวกเจ้าจะเก่งกาจ แต่จะใช้อำนาจข่มเหงผู้คนไม่ได้หรอกนะ”
หนอนเขียวยักษ์ได้ฟังก็ชะงัก คำพูดนี้ฟังแล้วรู้สึกคุ้นหู มังกรเขียวก็เคยพูดไว้เหมือนกัน หรือว่าตนทำผิดไปแล้ว
กุ่ยเอ้อร์เห็นแววตาสับสนของที่พึ่งตัวเอง ก็เข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังโง่งม…
เขารีบเอ่ยว่า “หืม พวกเจ้าทำผิดกฎหมายเสินโจว ที่นี่ไม่อนุญาตให้ผีปรากฏตัว พวกเราได้รับการอนุมัติจากสำนักงานสัจธรรมถึงได้มาไล่ล่าพวกเจ้า ผีในสมาคมของเราต่างลงทะเบียนกันหมด สามารถอยู่ได้ตามกฎหมาย พวกเจ้ากระจัดกระจายกันอยู่ข้างนอก ฐานะก็ไม่มี ถือว่าผิดกฎพักอาศัยชั่วคราว พวกเราทำตามหลักการ พูดมาได้ว่าใช้อำนาจรังแก น่าขำชะมัด หรือหน่วยงานรักษาความมั่นคงจะจับขโมยสักคนยังต้องหนึ่งต่อหนึ่งงั้นเหรอ”
หนอนเขียวยักษ์ได้ฟังก็ผงกหัวขึ้นลง อื้ม อื้ม เหตุผลนี้แหละ เกือบจะถูกเจ้าพวกนี้กล่อมไปแล้ว… ผู้อาวุโสเอ้อร์ฉลาดจริงๆ มิน่าผู้อาวุโสกุ่ยต้าถึงส่งเขามาติดตามข้า
ปีศาจทั้งสามได้ฟังก็ขมขื่น พลันพูดไม่ออก พวกเขาพูดถูกนี่นะ…
พวกเขาก็อยากหลอกเพื่อได้สถานะที่ถูกต้องมา แต่สำนักงานสัจธรรมกลับไม่ตอบมาเสียที ไม่สนใจตน ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่
อย่าเห็นว่าสำนักงานสัจธรรมดูเหมือนไม่น่าเกรงขาม ดูเกรงอกเกรงใจเหล่าผู้วิเศษอย่างท่านเทพมังกรแห่งจิตวิญญาณ ทว่าในสายตาเหล่าผู้วิเศษขั้นกลางลงไปก็ยังเป็นชื่อที่ยังใช้ประโยชน์โอ้อวดได้อยู่…
กุ่ยเอ้อร์เห็นเช่นนี้ก็พูดกับหนอนเขียวยักษ์ว่า “ท่านหัวหน้าหนอน อย่าไปเปลืองน้ำลายกับพวกมันอีกเลย เดี๋ยวจะเป็นการให้โอกาสพวกมันหลบหนีไปอีก ท่านลงมือจับพวกมันตอนนี้แล้วแจ้งแก่สำนักงานสัจธรรม ไม่นานเงินรางวัลเจ็ดสิบล้านนั่นจะมาอยู่ในมือแล้ว”
หนอนเขียวยักษ์ตาวาววับ ผงกหัวรัวๆ ยื่นขาหนอนสามขาออกมาวาดขึ้นกลางอากาศทันที ตาข่ายสีขาวสามอันปรากฏขึ้นในพริบตา แยกกันไปไล่จับผีทั้งสาม…
……………………………………….