เมื่อผมโดนระบบครองร่าง - บทที่ 23 ทักษะตกจากฟ้า
ฟางหนิงไม่ได้ตอบคำถามของระบบ แต่กลับย้อนถาม “ให้ฉันถามก่อน แกย้ายอวัยวะในร่างกายฉันไปยังพื้นที่รักษาความสดของระบบนั่นได้ในพริบตาเลยไหม หรือว่าต้องใช้เวลานาน”
ระบบยังเป็นไอ้ทึ่มจริงๆ ฟางหนิงพูดชัดเจนขนาดนี้ มันยังไม่เข้าใจทักษะนี้มีประโยชน์ยังไง ได้แต่ตอบกลับไปตรงๆ
“จะบอกว่าพริบตาก็ใกล้เคียง เพราะแทบไม่ต้องใช้เวลาเลย พื้นที่ระบบผูกติดกับโฮสต์ ใกล้กับอวัยวะ เนื้อเยื่อและเซลล์ของโฮสต์อยู่ใกล้แค่คืบจึงไม่ต้องใช้เวลามาก ถ้าใช้หน่วยเวลาของมนุษย์อย่างพวกคุณวัดเกรงว่าจะใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที”
“สุดยอด! ข้อดีก็คือถ้าจู่ๆ มีผู้แข็งแกร่งโผล่มาแล้วเราหลบหรือสู้ไม่ได้ แกก็แค่เก็บน้องชายของฉันไปซ่อน…”
“ระบบเข้าใจแล้ว!”
จากนั้นฟางหนิงก็ได้ยินข้อความแจ้งเตือนจากระบบ
‘ระบบได้รับแรงบันดาลใจจากโฮสต์และเข้าใจทักษะพิเศษ – การป้องกันทั้งหมด (ระดับต่ำ): เมื่อพบการโจมตีที่ไม่มีหนทางสกัดกั้น สามารถถ่ายโอนบางส่วนของร่างกายไปยังพื้นที่ระบบเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตี ข้อจำกัด: ในระดับปัจจุบันทักษะนี้ไม่สามารถต้านทานการโจมตีประเภทครอบคลุม ขณะเดียวกันไม่สามารถต้านทานการโจมตีที่มุ่งเน้นบริเวณสมอง’
ฟางหนิงเข้าใจข้อจำกัดนี้ดี เพราะตอนนี้เป็นเพียงระบบระดับต่ำ หากเป็นระดับกลางและระดับสูงล่ะก็….
“เอ๊ะ ทักษะนี้อัปเกรดจนถึงจุดที่สามารถซ่อนร่างกายทั้งหมดไว้ในพื้นที่ระบบได้ไหม”
ฟางหนิงจินตนาการ นี่สิถึงจะเป็นวิธีอาศัยพื้นที่ระบบเพื่อรักษาชีวิตขั้นสูงตามที่เล่ากันมา
“ไม่รู้สิ เพราะสิ่งเดียวที่ตอนนี้ระบบไม่กล้าแตะต้องคือสมองของโฮสต์ นั่นเป็นทางเลือกสุดท้ายจริงๆ ระบบกล้าใส่หัวใจของโฮสต์ลงในพื้นที่ระบบไม่กี่วินาทีแล้วนำกลับมาใส่คืนให้ แต่ไม่กล้าใส่สมองลงไป ถ้าตอนนั้นโฮสต์ตายเพราะสติสัมปชัญญะหยุดทำกิจกรรมทั้งหมด ระบบก็จะตายด้วย อีกอย่างทักษะนี้มีข้อจำกัด ก็คือไม่ทราบวิธีการอัปเกรด และไม่อาจใช้ค่าประสบการณ์หรือการปิดเพื่ออัปเกรดต่อไปได้” ระบบอธิบายตรงไปตรงมา
“ช่างเถอะ เป็นมนุษย์ต้องรู้จักพอเพียง อย่างน้อยการโจมตีจุดที่แข็งแกร่งส่วนใหญ่ ขอแค่ไม่ใช่โจมตีหัว พวกเราก็จะมีไพ่ตายใหม่ในการรับมือ” ฟางหนิงพอใจกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว
ไม่ง่ายที่จะใช้โอกาสนี้สอนบทเรียนระบบ และสร้างสถานะของตนให้เป็นปึกแผ่นอีกครั้ง และยังให้ระบบเรียนรู้ทักษะการช่วยชีวิต ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้สูญเสียความมุ่งมั่นเพราะมัวแต่เล่นเกมใช่ไหม
ฟางหนิงคิดได้อย่างนี้ก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาทันที เขาลืมความซึมเศร้าและความสิ้นหวังก่อนหน้านี้ไปปลิดทิ้ง จากนั้นก็คิดว่าจะเล่นอะไรต่อดี…
ด้านระบบกลับพอใจยิ่งกว่าฟางหนิงเสียอีก ในเมื่อมันไม่ใช่มนุษย์ ความท้อแท้จึงจางหายไปอย่างรวดเร็ว และ ‘การป้องกันทั้งหมด’ ก็เป็นทักษะสำคัญที่ช่วยเพิ่มอัตราการมีชีวิตรอดได้โดยตรง
กระบวนการได้มานั้นก็แค่อาศัยคำเตือนจากโฮสต์ไม่กี่คำโดยไม่ต้องเสียเวลาปิดระบบเพื่อทำความเข้าใจ แถมไม่ใช้ค่าประสบการณ์เลย แค่ใช้ทักษะชีวิตที่เรียนมาก็เรียนรู้ได้ง่ายๆ เหมือนกับตกลงมาจากท้องฟ้า
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าฟังก์ชันนี้แทบจะสร้างขึ้นมาเพื่อระบบโดยเฉพาะ เพราะมันเป็นฟังก์ชันที่ทำงานได้หลายอย่างพร้อมกัน เช่นนั้นถึงจะได้ผลดีที่สุด แม้ว่าคนอื่นจะได้เรียนรู้มันด้วยก็ตาม แต่ในการต่อสู้ที่ดุเดือดและผันผวนก็มักจะใช้ไม่ทัน มีเพียงแต่ระบบที่ไม่ใช่มนุษย์สามารถเปิดเธรดติดตามการโจมตีที่เสี่ยงตายได้ทุกเมื่อเท่านั้น และสามารถทำงานอัตโนมัติไปถึงขั้นขยับเขยื้อนร่างกายของฟางหนิงได้…
ทักษะที่มีประโยชน์มหาศาลเช่นนี้ ระบบที่ยึดถือการมีชีวิตรอดเป็นหลักการแรกย่อมไม่สนใจพฤติกรรมหยาบคายของฟางหนิงก่อนหน้านี้แน่นอน
กลับกันมันเคยคิดว่าถ้าฟางหนิงขอรางวัล คราวนี้ต้องใจกว้างหน่อยแล้วเพื่อกระตุ้นให้เขาเสนอความเห็นแบบนี้มากขึ้น…
แต่คาดไม่ถึงว่าหมอนี่จะแก้แค้น และหลังจากดีใจลิงโลดออกนอกหน้า ก็ไม่เอ่ยถึงรางวัลเลย…
ดูท่าอยู่กับโฮสต์ที่เป็นโอตาคุก็มีข้อดีเหมือนกัน ไม่ต้องกังวลและพอใจง่าย ระบบถอนหายใจก่อนจะปล่อยมนุษย์กลไกที่อัปเกรดเป็นระดับกลางแล้วให้แทนที่ตัวตนแท้จริงของฟางหนิงต่อไป
จากนั้นมันก็ตรวจสอบแผนที่ระบบและวางแผนการจับปีศาจคืนนี้ต่อ ทหารเทพใกล้จะสำเร็จแล้ว ต้องรีบทำเวลาอัปเกรด…
ความจริงพิสูจน์แล้วว่า ระบบคิดมากเกินไปอีกแล้ว ฟางหนิงที่เป็นนักเล่นเกมมือเก๋าจะลืมเรื่องสำคัญที่สุดอย่างรางวัลได้ยังไงกัน
เพียงแต่ว่าตอนนี้ความสนใจของฟางหนิงรวมอยู่ที่มนุษย์กลไกระดับกลางที่ระบบเพิ่งปล่อยออกมา เขาจึงเอาแต่คิดว่าฟังก์ชันของมันอาจจะยังมีประโยชน์อย่างอื่นอีก…
หลังจากระบบปล่อยมนุษย์กลไกระดับกลางออกมาแล้ว มันก็ย้อนนึกถึงสถานการณ์ที่ฟางหนิงพูดก่อนหน้านี้ มันยอมรับแล้วว่าไอคิวของโฮสต์สูงกว่ามันมากจริงๆ มันจึงเอ่ยถาม
“จริงสิ โฮสต์เพิ่งบอกว่าอาจมีคนที่มีความสามารถเก่งกาจมองทะลุร่างได้ในอนาคต แต่ตอนนี้แม้มนุษย์กลไกอัปเดตเป็นระดับกลางแล้ว แต่รับมือได้แค่คนธรรมดาเท่านั้น หากมีผู้แข็งแกร่งที่มีความสามารถมองทะลุได้ ก็คงดูออกทันทีว่าความจริงแล้วมันเป็นเพียงอะไหล่ ไม้ และเหล็กกล้า ถึงตอนนั้นมนุษย์กลไกก็คงใช้การไม่ได้อีก…”
ฟางหนิงกำลังจดจ่อกับฟังก์ชันมนุษย์กลไกระดับกลาง ทันทีที่ได้ยินก็ตื่นตะลึงกับคำพูดของระบบ แต่พอฟังชัดแล้วก็ตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจ
“แกกังวลเรื่องขี้ประติ๋วแบบนี้หรอกเหรอ ตราบใดที่แกไม่ทำอะไรพลการทำให้ร่างกายของฉันเสียหายก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”
ฟางหนิงไม่เคยอธิบายเรื่องนี้อย่างชัดเจนมาก่อน ตอนนี้เขาจึงอธิบายให้ระบบงี่เง่าเข้าใจในครั้งเดียว มันจะได้ไม่เอาแต่คิดว่าไอคิวของมันไล่ตามโฮสต์ของตัวเองทัน และจัดการทำอะไรเองโดยไม่ปรึกษาเขาก่อนอีก
“พวกเขารู้ว่ามนุษย์กลไกเป็นของปลอมแล้วมันสำคัญยังไงล่ะ ฉันเคยบอกแล้วว่าไม่ต้องกังวลปัญหานี้ อย่างมากถึงตอนนั้นฉันจะประกาศให้ทุกคนรู้ฉันมีพลังพิเศษสร้างมนุษย์กลไก สร้างมนุษย์กลไกวางในที่แจ้งทำงานแทนมาตลอด ส่วนตัวตนของฉันจะหลบซ่อนอยู่ในหลืบ ใครจะกล้าว่าอะไรได้ล่ะ ตอนนี้ข้างนอกก็ไม่ปลอดภัยเลยสักนิด โอตาคุอย่างฉันจะเก็บตัวก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ขอแค่ไม่พบความเกี่ยวข้องที่ชัดเจน พวกเขาจะคิดเชื่อมโยงอัศวิน A ที่ไล่จับปีศาจไปทั่วกับฉันที่เป็นโอตาคุตัวพ่อได้ยังไงกัน ขอแค่ไม่มีอะไรเชื่อมโยงกัน พวกปีศาจและศัตรูตัวฉกาจที่แกจับก็จะมุ่งเป้าหมายแก้แค้นไปที่อัศวิน A ที่ไร้ร่องรอยเท่านั้น ไม่มีทางกระทบธุรกิจสร้างรายได้ของเราแน่นอน…”
ระบบคิดแล้วก็คล้อยตาม มีเพียงโอตาคุตัวพ่อเช่นโฮสต์เท่านั้นที่จะหาเหตุผลที่ไม่ถูกคนสงสัยได้
ระบบไม่พูดอะไรอีก แต่คำพูดเมื่อครู่ของมันก็เตือนสติฟางหนิงอีกครั้ง ทำให้เขาเข้าใจเรื่องหนึ่งแจ่มแจ้ง และเริ่มร้องขอรางวัลที่ไม่เคยเอ่ยถึงทันที
“เฮ้ ฉันเพิ่งช่วยให้แกได้ทักษะเจ๋งสุดๆ มานะ คิดว่าควรจะให้รางวัลอะไรฉันดีล่ะ”
ระบบได้ยินก็เซ็งทันที ถ้ารู้แต่แรกไม่ถามตอนนี้ดีกว่า ปล่อยให้โฮสต์ลืมขอรางวัลก่อน…
“โฮสต์อยากได้อะไรล่ะ” แต่สุดท้ายมันก็ตัดสินใจที่จะให้โฮสต์เสนอมา
“อ้อ ฉันคิดว่าแกใช้ไม้ เหล็ก และเลือดสร้างมนุษย์กลไกได้เจ๋งขนาดนี้ แล้วก็ยังมีความสามารถควบคุมจากระยะไกล แถมแกยังเรียนรู้ทักษะทางการแพทย์และการปลูกถ่ายอวัยวะได้ งั้นช่วยทำขาเทียมสองข้างที่เดินไปไหนมาไหนได้อิสระให้หน่อยสิ”
“โฮสต์จะทำอะไร กำลังเตรียมการล่วงหน้าเผื่อพิการเหรอ” ระบบย้อนถาม
“หึๆ ขอแค่แกไม่แอบทำอะไรวุ่นวาย ฉันก็ไม่ปล่อยให้ตัวเองแขนขาขาดหรอก บอกมาก่อนสิว่าทำได้ไหม…”
“แน่นอน แต่ถ้าต้องใส่กับคนอื่น อาจต้องใช้ค่าประสบการณ์มากขึ้น”
ฉันรู้อยู่แล้วว่าราคาที่ต้องจ่ายไม่น้อยเลย ถ้าไม่มีความดีความชอบบ้าง อย่าคิดว่าระบบจะยอมช่วย แต่เก็บเรื่องนั้นไว้ในใจมานานแล้ว ไม่ใช่แค่ต้องทำให้สำเร็จ ยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดี ฟางหนิงคิดกับตัวเอง
“ฉันต้องการรางวัลอันนี้แหละ ช่วยทำให้ใครคนหนึ่งหน่อย แต่ต้องแอบทำเงียบๆ ล่ะ อย่าให้คนอื่นรู้เด็ดขาด”
ระบบจนปัญญา ใครใช้ให้อีกฝ่ายทำให้มันเรียนทักษะสุดแจ่มนั่นได้ล่ะ คิดๆ ดูแล้วยังคงยอมตกปากรับคำ
…
ดวงดาวส่องแสงระยิบระยับยามราตรี ณ ลานบ้านแสนจะธรรมดาในหมู่บ้านชนบทเขตชานเมืองฉี หลอดไฟที่แขวนเอียงกะเท่เร่บนเสาไม้ส่องแสงนวลสลัวๆ พืชผักมากมายทั้งมะเขือเทศ มันฝรั่ง ขึ้นฉ่ายวางเรียงรายบนแผ่นพลาสติกผืนใหญ่ที่ชื้นด้วยน้ำค้างฤดูใบไม้ร่วง…
ชายวัยกลางคนอายุสี่สิบกว่านั่งบนรถเข็น ขากางเกงของเขาว่างเปล่า เขากำลังออกแรงก้มลงไปหยิบผักที่เน่าเสียแล้ววางมันกองไว้ทางหนึ่ง คัดออกมาให้เหลือไว้แต่ผักที่ยังคุณภาพดี
แสงไฟริบหรี่ให้ความสว่างได้ไม่มากนัก ท่ามกลางความมืดมิดยามราตรี ณ ลานนอกบ้าน ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังมองไปที่กลางลานบ้าน
คนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นฟางหนิงนั่นเอง
“โฮสต์คิดจะใส่ขาเทียมให้กับชายคนนี้เหรอ” แม้ว่าไอคิวของระบบจะต่ำมาก แต่มันก็พอคาดเดาเป้าหมายได้
“ถูกต้อง แกต้องใช้เลือดของเขาไปทำไหม”
“นั่นเป็นเรื่องปกติ ถ้าต้องการให้เขาควบคุมขาเทียมได้คล่องตัวก็ต้องทำอย่างนั้น”
“งั้นก็รีบเถอะ ด้วยความสามารถของแก ทำให้คนธรรมดาๆ สักคนสลบคงไม่ใช่เรื่องยาก”
“เดี๋ยวก่อน มีผู้หญิงอีกคนกำลังจะออกมาจากบ้าน”
……………………………………………………..