เมื่อผมโดนระบบครองร่าง - บทที่ 80 อัศวิน A อยากกินอิ่ม ก็แค่ฆ่าคนเลว แบบนี้ถึงจะอยู่ร่วมกันได้
- Home
- เมื่อผมโดนระบบครองร่าง
- บทที่ 80 อัศวิน A อยากกินอิ่ม ก็แค่ฆ่าคนเลว แบบนี้ถึงจะอยู่ร่วมกันได้
บทที่ 80 อัศวิน A อยากกินอิ่ม ก็แค่ฆ่าคนเลว แบบนี้ถึงจะอยู่ร่วมกันได้
สามวันต่อมา เฉียวอันผิงลงนามและปล่อยตัวเจิ้งต้าวด้วยตัวเอง เขาเฝ้าดูอีกฝ่ายและอัศวิน A ออกจากเทียนฮุ่ยวิลล่า
เฉียวอันผิงมองพวกเขาจากทางด้านหลังที่ไกลห่างไปผ่านทางชั้นบนของสำนักงาน
จากนั้นเขาก็โทรศัพท์
“ผู้เฒ่าสวี่ อัศวิน A ออกไปแล้ว เขาจากไปด้วยความพึงพอใจ และเจิ้งต้าวได้ถูกตรวจสอบแล้วว่าเขาบริสุทธิ์”
“อืม แบบนี้ก็ดีแล้ว ฉันเคยบอกไปก่อนหน้านี้แล้วว่า ผู้เฒ่าไป๋เป็นคนทรยศ กองกำลังปราบปรามทั้งเจ็ดของสำนักสัจธรรมของพวกเรา เมื่อคนน้อยลง ก็ไม่มีใครพูดถึง และยังดึงคนของเราอีกคนไปปกป้องเขา ตอนนี้จึงเหลือกองกำลังเพียงแค่ห้ากองเท่านั้น ต้องขอบคุณการปรากฏตัวของอัศวิน A ที่บังคับให้ผู้เฒ่าไป๋ยอมจำนน ทำให้พวกเราไม่ต้องดึงคนออกมา เราต้องรวบรวมกำลังทั้งหมดที่เรามี”
“ผมจะทำทุกอย่างตามที่ท่านต้องการ แต่ติดปัญหาอยู่เล็กน้อย”
“ปัญหาเล็กน้อยเหรอ? ปัญหาอะไรกัน อันผิง ฉันสบายใจที่นายเป็นคนจัดการเรื่องทุกอย่างให้ฉัน นายเองก็รู้นิสัยของอัศวิน A เป็นอย่างดี จะมีปัญหาได้ยังไง”
“อ้อ คือเรื่องมันเป็นแบบนี้…” เฉียวอันผิงจะรายงานเรื่องที่อีกฝ่ายกินวัตถุดิบและสมุนไพรพิเศษจำนวนมหาศาลเข้าไป“ผมจะชดเชยส่วนต่างเอง แต่มีวัตถุดิบและสมุนไพรบางอย่างไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน ผมต้องการให้ท่านพิจารณา”
“พิจารณาอะไร? นี่เป็นเรื่องดี”
เฉียวอันผิงสงสัย “มันจะยังเป็นเรื่องดีได้ยังไงกัน?”
“ในเมื่อมังกรตัวจริงอย่างเขากินอาหารได้เอร็ดอร่อยขนาดนี้ เขาต้องคิดที่จะอยากกินอีกถูกไหม? ตอนนี้มีเพียงสำนักสัจธรรมเท่านั้นที่มีวัตถุดิบและสมุนไพรพิเศษซึ่งสามารถตอบสนองความอยากอาหารของเขาได้ หากเป็นเช่นนี้ นายคิดว่าถ้าเขาสามารถจัดการและรับมือกับอันตรายใหญ่ที่อาจจะขึ้นเกิดที่นี่ได้ เขาจะเพิกเฉยเหรอ?”
“ผู้เฒ่าสวี่ ท่านเป็นคนมองการณ์ไกลจริงๆ”
“ไม่ต้องประจบหรอก นายยังมีหน้าที่ของนายอยู่ และการรับมือกับสถานการณ์เฉพาะหน้าของนายยังมีปัญหาอยู่เล็กน้อย นายจำเป็นต้องชดเชยเงินทั้งหมดหรอก จ่ายแค่หนึ่งในสามก็พอ คนอื่นจะได้ไม่นินทา ของพวกนั้นจริงๆ แล้วมีประโยชน์อย่างมาก แต่จะมีประโยชน์มากกว่าหากสามารถผูกมิตรกับมังกรตัวจริงต่อไปได้ ขอเพียงแค่เราเข้าใจในเรื่องนี้ แต่คนบางคนอาจจะไม่คิดอย่างนั้น”
เฉียวอันผิงวางสายโทรศัพท์ ไม่มีความเศร้าหมองบนใบหน้าของเขาแม้แต่น้อย เขาถอนหายใจออกมาแทน
“อัศวินคนนี้ไร้ที่ติจริงๆ เพียงแต่เขาไม่ใช่มนุษย์ ด้วยความอยากอาหารของมังกร หลังจากนี้เราคงไม่สามารถนั่งร่วมโต๊ะกินกับเขาได้แล้วสินะ อย่าว่าแต่ดื่มเลย น่าเสียดายจัง”
“อย่าเสียดายไปเลยน่าคุณลุง… ความอยากอาหารของเขามีมากขนาดนั้น ไม่ว่าครอบครัวเฉียวของเราจะรวยแค่ไหน ก็เอาไม่อยู่หรอก ปู่สวี่ ขอให้ลุงจ่ายเงินแค่หนึ่งในสาม เพื่อจะได้ไม่เป็นขี้ปากของคนอื่น แต่นั้นเป็นเงินเจ็ดสิบล้านหยวนเลยนะคะ” เฉียวจื่อเอ่ยเสียงฉุน
เฉียวอันผิงยิ้มหัวเราะ “เอาเถอะ ลุงรู้ว่าครั้งนี้ให้แกเป็นคนจัดการอีกก็ไม่ได้ลำบากอะไร แม้แกจะเป็นจูเก๋อของตระกูลเฉียวของเรา แต่แกก็ยังแอบอวดตัวเองอยู่เสมอว่าระดับไอคิวของแกคือผลรวมของลุงและจื่อซานรวมกัน แต่น่าเสียดายที่แกไม่ได้หยิ่งผยองขนาดนั้น”
เฉียวจื่อเจียงกระอักเลือด แค่ความหยิ่งผยองของพวกลุงทั้งคู่ก็พอแล้ว ไม่ช้าก็เร็ว พวกลุงนั่นแหละที่จะทำลายครอบครัวของลุงเอง
เฉียวอันผิงสั่งสอนอีกครั้ง “อย่าเพิ่งมั่นใจไปเลย ปู่ของแกบอกลุงก่อนที่เขาจะจากไปว่าเงินเป็นของนอกกาย ตราบใดที่แกมีเพื่อนแท้ ทุกอย่างที่แกก็ต้องการก็จะกลับมาหาแก แต่ในทางกลับกัน หากแกรวยพันล้าน แต่คบเพื่อนที่ไม่ดี มันจะทำให้แกสูญเสียทุกอย่างภายในคืนเดียว พวกเราได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับอัศวิน A คนนี้แล้ว เพราะฉะนั้นตระกูลเฉียวของเราจะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอนาคตไปอีกหลายพันปี”
เฉียวจื่อเจียงได้ยินดังนั้นก็คิดว่าลุงของเธอมั่นใจในสิ่งที่เขาพูดมาก ลุงของเธอ อายุเพียงแค่สี่สิบก็สามารถเลื่อนตำแหน่งเป็นรองคณบดีของสถาบันฝึกอบรมพิเศษ เขาเป็นคนใจกว้างและใจดี แต่นั่นเป็นเพียงแค่เหตุผลหนึ่ง แต่ความสามารถในการมองคนที่สามารถเป็นประโยชน์ต่อเรานั้นเป็นเรื่องที่สำคัญ
ใช่แล้ว ร่างที่แท้จริงของอัศวิน A คือมังกร และสามารถอยู่ได้อย่างน้อยพันปี ด้วยบุคลิกของอีกฝ่ายแล้ว ดูเป็นเรื่องยากที่จะทำลายครอบครัวของอีกฝ่าย อีกฝ่ายจะไม่ลงมือจริงๆ ใช่ไหม? นั่นเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
เฉียวจื่อเจียงพยักหน้า “นั่นก็จริง แต่ลุงจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเขาจะยอมเป็นมิตรด้วย?”
อันที่จริง เธอสงสัยเรื่องนี้มาโดยตลอด สายตารีบหันมองไปที่ลุงผู้ที่มีความทะเยอทะยานของเธอทันที แต่ในบรรดาเพื่อนที่เขาผูกมิตรด้วยนั้น ไม่มีใครคนไหนที่ดูไม่จริงใจหรือเป็นคนไม่ดีเลย
เหมือนกับบรรพบุรุษของตระกูลไป๋ ผู้ที่เป็นมิตรและร่าเริงอยู่เสมอ แต่ลุงของเธอบอกกลับเธอว่าเขามองผู้ชายคนนี้ไม่ออก ยากที่จะบอกว่าเป็นคนดีหรือไม่ดี จึงสั่งเธอและพี่ชายว่า ให้ติดต่อกับฝ่ายนั้นน้อยลงจะเป็นการดี แต่มุมมองนี้ สามารถนำมาใช้สำหรับการผูกมิตรกับคนอื่นเท่านั้น แต่ไม่สามารถนำมาวิจารณ์อีกฝ่ายได้
ตัวเธอเองก็อาศัยความเฉลียวฉลาดและความสามารถในวิเคราะห์รายละเอียดบุคลิกของคนอื่นได้บ้าง แต่ลุงของเธอจะตัดสินคนได้แม่นยำขนาดนี้ได้เชียวเหรอ?
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉียวอันผิง ก็ยิ้มอีกครั้ง “ลุงรู้ว่าแกต้องสงสัย ลุงไม่ได้มีความคิดแบบแก จื่อเจียง ลุงมองคนออกว่าคนนี้สามารถผูกมิตรได้ เพราะอีกฝ่ายโลภมาก แต่เขาบอกว่าเขาไม่เคยบังคับให้พ่อครัวฝีมือระดับเทพอย่างฟางหนิงทำอาหารให้ เรื่องนี้เขาจะไม่โกหก เพราะคนอื่นจะมองออกได้”
เฉียวจื่อเจียงงุนงง “แต่นั่นแหละก็หมายความว่าเขาไม่ได้รังแกคนอ่อนแอ แต่ทำไมลุงถึงยังคิดว่าเขาจะปล่อยให้ตระกูลเฉียวของเราพึ่งพาเขาเป็นเวลาตั้งพันปี”
เฉียวอันผิงยิ้มเล็กน้อย “เพราะเขาได้รับการฝึกฝนด้วยวิธีที่โหดเหี้ยม”
เฉียวจื่อเจียงไม่เข้าใจยิ่งกว่าเดิม “ในเมื่อลุงรู้ว่าเขาเป็นคนที่ได้รับการฝึกฝนมาแบบนั้น ทำไมถึงยังคิดอย่างนั้น? ตอนที่ได้ยินในสิ่งที่พี่พูดถึงในตอนนั้น เมื่อได้ยินเกี่ยวกับวิธีที่โหดเหี้ยมและใช้ความคิด ฉันรู้สึกกลัวเล็กน้อย คิดว่าเขาต้องเป็นคนไร้ความปราณีอย่างแน่นอน”
เมื่อเฉียวอันผิงได้ยินแบบนั้น เขาก็ตบไหล่ของเฉียวจื่อเจียงเบาๆ แล้วเอ่ยปลอบ “แกจะกลัวอะไร? คนอื่นคงกลัว แต่ตระกูลเฉียวของเราไม่ต้องกลัว วิธีที่โหดเหี้ยมไม่มีอะไรต้องกลัว ในการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มีความรู้สึกอยู่ในนั้นด้วยเหรอ? พวกมันทำให้คนกลัวไหมล่ะ? ไม่ เพราะพวกมันเคลื่อนย้ายแบบนี้เป็นประจำ ขึ้นอยู่กับสิ่งมีชีวิต นี่เป็นหลักการ เป็นเพราะอัศวิน A ฝึกฝนด้วยวิธีพวกนั้น หลักการของเขาเสถียรพอๆ กับการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ และจะไม่ถูกเปลี่ยนแปลงโดยสิ่งแวดล้อมภายนอก
หลักการของเขานั้นง่ายมาก นั่นคือ เขาไม่ได้กดขี่ผู้บริสุทธิ์และผู้อ่อนแอ และลงโทษเฉพาะผู้ที่ทำบาปเท่านั้น แน่นอน แกไม่สามารถใช้สิ่งนี้เพื่อจูงใจเขาได้ ตราบใดที่ตระกูลเฉียวของเราปฏิบัติตามกฎของบรรพบุรุษ ไม่ทำชั่ว ทำสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น ไม่สงสัยเขา แบบนี้จะไม่มีความขัดแย้งใดๆ ระหว่างเราและเขา มีแต่การเสริมกำลัง พึ่งพาอาศัยกันเท่านั้น”
เฉียวจื่อเจียงยิ้ม “ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง ท้ายที่สุดเป็นเพราะลุง และพรสวรรค์ในการฝึกฝนก็สูง ไม่น่าแปลกใจเลยที่ลุงอายุเพียงแค่สี่สิบปี จะกลายเป็นหนึ่งในเจ็ดผู้นำแห่งสำนักงานความจริง ด้านการฝึกกังฟู ขนาดฉันที่เป็นหลานสาว ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหน ก็ยังไม่อาจสู้ลุงได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉียวอันผิงจึงยิ้มด้วยความพอใจ “ฮ่าฮ่า จื่อเจียง แกนี่ไม่เลวจริงๆ เมื่อเทียบกับลุงและจื่อซาน ยังต่างระดับกันอยู่เล็กน้อย แต่การสืบทอดการฝึกของตระกูลเฉียว มีเพียงแค่เราสองคน แกก็ควรศึกษาให้หนักและเรียนรู้สิ่งอื่นๆ ด้วย แกไม่สมควรที่จะออกไปเสี่ยงอันตราย ไม่อย่างนั้นแกก็สมัครเป็นครูของสถาบันสิ ตอนนี้เปิดให้ลงทะเบียนแล้ว คนยังลงไม่มาก นี่คือสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า”
เมื่อเฉียวจื่อเจียงได้ยินก็รีบเปลี่ยนเรื่องทันที “พูดถึงอัศวิน A จบแล้ว แล้วคนที่มีอำนาจอื่นๆ ล่ะ?”
พูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของเฉียวอันผิงก็เรียบนิ่ง ไม่นาน เขาก็ถอนหายใจและกล่าวว่า “คนที่มีอำนาจสูงสุดอื่นๆ น่ะเหรอ การผูกมิตรกับพวกมันนั้นง่ายและน่ากังวลน้อยกว่าการผูกมิตรกับอัศวิน A เห็นได้จากวิถีชีวิตของอัศวิน A เขาจะกินอิ่มก็ต่อเมื่อรู้ว่าเขาต้องฆ่าคนเลว เขาไม่เคยมีความคิดหรือการคำนวณใดๆ เลย และไม่มีเป้าหมายใหญ่ในการเป็นราชาหรือต้องการควบคุมโลก เขาโดดเดี่ยว แกก็เจอเขาแล้ว ไม่พูดไม่จา ไม่มีมารยาทเท่าไหร่ แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร”
เฉียวจื่อเจียงพยักหน้า “ประเด็นนี้ได้ยินคนพูดถึงกันมามาก ไม่เช่นนั้นทุกคนคงไม่รู้สึกโล่งใจนัก ที่ชายที่แข็งแกร่งอย่างเขาตระเวนอยู่ข้างนอก”
เฉียวอันผิงเอ่ยเสียงเข้ม “มันยากเกินไปที่จะร่วมมือกับผู้มีอำนาจอื่นๆ ดังนั้นลุงจะพูดสั้นๆ เกี่ยวกับสำนักสัจธรรมของเราบางส่วน …”
………………………………………………………………