เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] - ตอนที่ 101 เกลี้ยกล่อมเสินเซ่อเทียน / ตอนที่ 102 องค์ชายสี่ ท่านเป็นปีศาจหรือ
- Home
- เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]
- ตอนที่ 101 เกลี้ยกล่อมเสินเซ่อเทียน / ตอนที่ 102 องค์ชายสี่ ท่านเป็นปีศาจหรือ
ตอนที่ 101 เกลี้ยกล่อมเสินเซ่อเทียน
“แน่นอน!” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้ามองเสินเซ่อเทียน หัวเราะเบาๆ “หรือว่าไม่ใช่กัน นี่คือผลที่ท่านอยากเห็นมาตลอดไม่ใช่หรือ”
เสินเซ่อเทียนใคร่ครวญชั่วครู่ เอ่ยปากว่า “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน เจ้าไม่เหมือนกับคนที่ใส่ใจอำนาจ ยินดีนั่งอยู่บนบัลลังก์ผู้นั้น”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังคำพูด หันมองอีกฝ่ายคราหนึ่ง เส้นเสียงยังเบาสบายเอ่ยว่า “เมื่อก่อนเยี่ยนเป็นคนที่จะมานั่งตกปลาอย่างนั้นหรือ”
ระหว่างเอ่ยคำพูดนี้ สายตาของคนทั้งคู่มองไปยังเบ็ดตกปลาในมือเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
ก็ถูก
แต่ไรมาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ไม่ใช่คนที่จะมานั่งตกปลา
ปีนั้นไม่ใช่ครั้งเดียวที่เสินเซ่อเทียนพยายามอบรมสั่งสอนให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลายเป็นคนแบบตนเอง เขาบอกให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนตกปลา แต่อีกฝ่ายปฏิเสธ
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่มีความอดทนเช่นนี้
แต่วันนี้เขากลับมานั่งตกปลากับตนอยู่ที่นี่ มีวันหนึ่งที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยินยอมตกปลาแล้ว เช่นนั้นยังมีเรื่องอะไรหรือการเปลี่ยนแปลงใดที่ไม่อาจเกิดขึ้นกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้อีกกันล่ะ
เสินเซ่อเทียนเงียบไปชั่วครู่ เขาไม่เอ่ยวาจา ไม่ตอบว่าเชื่อและไม่เชื่อ
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับมองเขาอีกครั้ง เอ่ยอย่างยิ้มแย้มว่า “เยี่ยนมาที่นี่ ความจริงยังอยากถามอะไรจวินซ่างหน่อย ก่อนหน้านี้ท่านอยากให้เยี่ยนชิงบัลลังก์กลายเป็นผู้สืบทอดของเสด็จพ่อ เพื่อให้ท่านสามารถปลดเปลื้องภาระหนักออกจากราชสำนักเป่ยเฉินไปใช้ชีวิตสุขสบายท่ามกลางธรรมชาติได้ มาวันนี้เยี่ยนยินยอมแย่งชิง ท่าน…กลับไม่ยินดี ระแวงสงสัยอย่างนั้นหรือ”
เสินเซ่อเทียนหัวเราะ ใช้ความคิดตอบว่า “หากความคิดเจ้าเป็นดั่งคำพูดของเจ้าจริง เช่นนั้นข้าย่อมดีใจอย่างแน่นอน! เพียงแต่ข้ากลับรู้สึกว่าเรื่องหาได้ง่ายดายเพียงนี้”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเปลี่ยนไปแล้ว เสินเซ่อเทียนดูออกเช่นกัน
การสนทนากับตนในครั้งนี้ ไม่เพียงไม่ใช้หลักการบิดเบี้ยวที่อีกฝ่ายช่ำชอง ทั้งไม่แสดงท่าทีไม่เคารพใดๆ กลับกันเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแสดงท่าทางเคารพตัวเขามากถึงขั้นใช้คำเรียกขาน “จวินซ่าง” แสดงออกถึงท่าทีที่คนขอร้องสมควรมี เผยให้ตนเห็นว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนต้องการความช่วยเหลือ
ดังนั้นหากบอกว่าเสินเซ่อเทียนไม่เชื่อเลยก็เป็นไปไม่ได้
ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ฟังคำของเสินเซ่อเทียน ก็ยิ้มแย้มตอบ “หากเรื่องราวไม่เป็นเช่นนี้ เช่นนั้นจะเป็นอย่างไร จวินซ่างยังมีคำตอบอื่นอีกหรือไม่ ถึงเยี่ยนไม่มีความผูกพันกับเสด็จพ่อ แต่ว่าเยี่ยนกับเยี่ยเม่ยไม่มีความแค้นกับราชสำนักเป่ยเฉิน ดังนั้นสิ่งที่พวกเราสามารถทำได้นอกจากแย่งชิงบัลลังก์แล้วยังมีอะไรอีก หรือว่าเป็นการล้มล้างเป่ยเฉินเป็นศัตรูกับท่านกัน หากพวกเราทำเช่นนั้นยังมีประโยชน์อันใด เป้าหมายคืออะไร”
คำพูดนี้ทุกคำล้วนมีเหตุผล
หน้าที่ของเสินเซ่อเทียนก็คือคุ้มครองความปลอดภัยของราชสำนักเป่ยเฉิน ความจริงขอเพียงแค่เป่ยเฉินเซียวปลอดภัย ภายหน้าใครจะขึ้นครองราชย์สำหรับเขาก็มีผลกระทบไม่มาก หากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนครองบัลลังก์ต่อ เสินเซ่อเทียนยิ่งยินดีที่จะได้เห็น เพราะว่าจะมีวันที่เขาสามารถจากไปได้
นอกจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเยี่ยเม่ยล้มล้างราชสำนักเป่ยเฉิน เขาถึงยื่นมือมาขัดขวาง
แต่พวกเขาทั้งคู่ไม่มีเหตุผลที่จะทำเช่นนี้มิใช่หรือ อย่างนี้ตอนนี้เสินเซ่อเทียนก็ยังหาเหตุผลอื่นไม่ได้
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เสินเซ่อเทียนยอมเชื่อแล้ว เขาเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะเก็บความระแวงสงสัยไว้ก่อน แต่ว่า…ข้าจะจับตามองพวกเจ้าเอาไว้ พวกเจ้าอย่าคิดทำอะไรเกินเลย ข้าไม่อยากเป็นศัตรูกับพวกเจ้า!”
“เยี่ยนเข้าใจแล้ว!” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า ไม่ช้าก็มองเสินเซ่อเทียน “ในเมื่อท่านอยากให้ข้าเป็นฮ่องเต้ ต่อหน้าเสด็จพ่อ…ท่านคงจะช่วยข้ากระมัง”
ตอนที่ 102 องค์ชายสี่ ท่านเป็นปีศาจหรือ
เสินเซ่อเทียนสงบนิ่งสักพัก กลับคลี่ยิ้มออกมา “ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า จะมีวันหนึ่งที่เจ้าหวังให้ข้าช่วยเหลือ”
ในสายตาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน คนที่ต้องการความช่วยเหลือก็คือผู้ไร้สามารถ ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแต่ไรมาก็เป็นวีรบุรุษฉายเดี่ยว ไม่เคยเสียดายความช่วยเหลือของผู้อื่นสักน้อย
สรุปแล้วเขาคิดอยากครองราชบัลลังก์นั้นจนแทบทนไม่ไหว เพื่อสงบใจให้เร็วขึ้นหน่อยหรือเป็นเพราะ…
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแล้วจริงๆ
เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยิ้มเอ่ยว่า “เยี่ยนคิดไม่ถึงเช่นกัน…หากเยี่ยนรู้ได้ว่าจะมีวันนี้ บางทีตอนนั้นสมควรเกรงใจจวินซ่าง…ไม่สิ…อาจารย์สักหน่อย สานสัมพันธ์อันดีกับอาจารย์ไว้ เช่นนั้นวันนี้ค่อยให้อาจารย์ช่วยนำอำนาจทางทหารมา!”
เสินเซ่อเทียนอึ้งกับความไร้ยางอายของเขาแล้ว!
เป่ยเจี้ยนเกอก็ตะลึงพรึงเพริดกับความหน้าด้านของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเช่นกัน! ต่อให้เป้าหมายคือให้จวินซ่างช่วยเหลือ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยชัดเจนขนาดนี้กระมัง สมควรอ้อมค้อมเสียหน่อยมิใช่หรือ!
หึ หากรู้แต่แรกว่าข้าต้องให้ท่านช่วย ข้าก็จะเกรงใจท่านเสียหน่อย ยังมีวิธีการผีสางแบบนี้ด้วยหรือ
องค์ชายสี่คงไม่ใช่ปีศาจหรอกกระมัง…
ที่สำคัญก็คือในสถานการณ์ปกติ คำพูดพวกนี้เอ่ยออกมายังมีคนยินยอมช่วยอีกหรือ ไม่อาจไม่บอกว่าโชคดีที่จวินซ่างมิชอบอ้อมค้อม ไม่เช่นนั้นมีความเป็นไปได้ถึงแปดส่วนที่จะไล่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนลงเขาไป
หลังจากเสินเซ่อเทียนสะอึกไปครู่หนึ่ง ค่อยเอ่ยปากเสนอว่า “บางทีเจ้าน่าจะเกรงใจสักนิด พูดจามีมารยาทกับข้าสักหน่อย”
หรือว่าตลอดหลายปีที่เขาอบรมสั่งสอนเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ไม่เคยอบรมเรื่องความรู้สึกกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเลยสักนิด ถึงได้ทำให้เขาเอ่ยวาจาประเภทนี้ออกมาได้
เสินเซ่อเทียนเริ่มสงสัยอีกครั้งว่า ความสามารถและวิธีการสั่งสอนศิษย์ของตนถูกต้องหรือไม่
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกวาดตามองเสินเซ่อเทียน เอ่ยคำพูดไร้ยางอายเข้าไปอีกว่า “เยี่ยนก็อยากจะเกรงใจสักหน่อย เพียงแต่อาจารย์ไม่เคยสอนเยี่ยนเลย!”
เสินเซ่อเทียน “…” อ้อ ยังเป็นความรับผิดชอบของข้าด้วยสินะ
หลังจากนิ่งไปสักพักใหญ่ เสินเซ่อเทียนถามอีกว่า “เจ้าต้องการอะไร”
ในเมื่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยปากเช่นนี้แล้ว เขาก็ย่อมมีคำขอร้อง
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนชะงักเล็กน้อย ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “เสด็จพ่อไม่ชอบเยี่ยน อาจารย์คงทราบดี ดังนั้นหากอยากขึ้นครองบัลลังก์ นอกจากท่านช่วยพูดให้ข้าแล้ว ย่อม…ต้องมีอำนาจทางหทาร! หากราชสำนักเป่ยเฉินมีศึกอีก หวังว่าอาจารย์จะสนับสนุนเสด็จพ่อให้เยี่ยนนำทัพออกศึก!”
หากเป็นเช่นนี้ ทันทีที่ต้องการกำลังเสริม ในมือเขาก็สามารถเพิ่มอำนาจทางทหารขึ้นมาอีก
เป่ยเจี้ยนเกอที่อยู่ด้านข้างทนฟังต่อไปไม่ได้อีกแล้ว! องค์ชายสี่พอเสียทีเถิด เมื่อมีคำขอร้องต่อจวินซ่างทั้งเรียกอาจารย์ เรียกท่านก็กล่าวออกมาได้ ทำไมเมื่อก่อนเขาไม่รู้เลยว่าองค์ชายสี่เป็นคนที่ตรงไปตรงมาและเห็นแก่ได้เช่นนี้
ยังดีที่องค์ชายสี่มีความเพียบพร้อมมากพอ จวินซ่างถึงใจกว้างกับเขา
เป่ยเจี้ยนเกอรู้สึกว่าหากตนเองเป็นจวินซ่างคงไม่คิดเอ่ยมากความกับคนตรงไปตรงมาเช่นนี้!
ส่วนเสินเซ่อเทียนได้ฟังคำพูดของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้ว กลับดื่มด่ำกับความรู้สึกที่ได้เป็น ‘อาจารย์’ ที่ออกมาจากลูกศิษย์ที่ไม่เคยยอมรับตนเป็นอาจารย์มาก่อน
หลังจากเขาเสพสุขจากความรู้สึกของคำนั้นจบแล้ว ก็พยักหน้าด้วยความเคลิบเคลิ้ม “ได้ ในเมื่อเจ้ามีความจริงใจเช่นนี้ อาจารย์ก็จะช่วยเจ้าสักครั้ง แต่หวังว่าเจ้าจะไม่หลอกอาจารย์ !”
เป่ยเจี้ยนเกอ “…” ความจริงใจที่ไหนกัน?
นอกจากความเห็นแก่ได้อย่างชัดเจนและความตรงไปตรงมา เป่ยเจี้ยนเกอไม่พบเห็นอะไรอื่นอีก จวินซ่างตามใจเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมากไปหรือเปล่า…
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าฟัง “แน่นอน! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เวลานี้สายมากแล้ว เยี่ยนขอตัวกลับก่อน”
“ไสหัวไปเถอะ!”
ทันทีที่คิดได้ว่าเมื่อเขากลับไปใช้ชีวิตอยู่ในโลกของเราสองคนกับเยี่ยเม่ย อารมณ์ของเสินเซ่อเทียนพลันขุ่นมัวขึ้นมา แทบจะใช้เบ็ดตกปลาไล่คนไปเสียดื้อๆ
เป่ยเจี้ยนเกอแสดงออกว่า จวินซ่างท่านสมควรไล่เขาไปตั้งนานแล้ว ตั้งแต่เขาเอ่ยว่า…หากรู้ว่าต้องมีสักวันที่จะขอร้องท่าน ก็สมควรเกรงอกเกรงใจท่านสักหน่อย
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหัวเราะเบาๆ ลุกขึ้น ก้าวเท้าออกไป คล้ายไม่สนใจคำว่าไสหัวไปของเสินเซ่อเทียน
…
รอจนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจากไปแล้ว
เป่ยเจี้ยนเกอมองแผ่นหลังเสินเซ่อเทียน ถามขึ้นว่า “จวินซ่าง คำพูดขององค์ชายสี่ ท่านรู้สึกว่าน่าเชื่อหรือ”
เสินเซ่อเทียนนิ่งไปครู่หนึ่ง ตอบว่า “หากข้ารู้สาเหตุที่เขาหรือว่าเยี่ยเม่ยคิดร้ายต่อราชสำนักเป่ยเฉิน เช่นนั้น…คำพูดของเขาย่อมไม่อาจเชื่อได้ แต่ว่าข้าไม่มีเหตุผลนั้นก็สามารถเชื่อได้ ในยามนี้ก็ไม่มีเหตุผลเสียด้วย!”
เป่ยเจี้ยนเกอเข้าใจแล้ว
ก็ถูก หาสาเหตุที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเยี่ยเม่ยจะคิดร้ายต่อราชสำนักเป่ยเฉินไม่ได้เลยสักน้อย หากบอกว่า องค์ชายสี่ถูกรังแกมาตั้งแต่เด็ก ต้องการแก้แค้นก็คงลงมือไปนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องรอมาถึงบัดนี้
ดังนั้น คำพูดของเขาน่าจะเชื่อถือได้
เป่ยเจี้ยนเกอถามขึ้นอีกว่า “เช่นนั้นจวินซ่าง ท่านเชื่อพวกเขาทั้งหมดเชียวหรือ”
เสินเซ่อเทียนหัวเราะเล็กน้อย ตอบว่า “เชื่อชั่วคราวก่อนก็เท่านั้น หากบอกว่าเชื่อทั้งหมดก็เสี่ยงเกินไป หากเจ้าเด็กนี่หลอกข้า ราชสำนักเป่ยเฉินคงต้องล่มสลายแล้ว! ดังนั้นหลังจากนี้ไปเจ้าคอยจับตาดูพวกเขาให้ดี ทั้งสืบการเคลื่อนไหวระยะนี้ของเยี่ยเม่ยไปด้วย พูดตามตรงแล้ว ข้ามักรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง!”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว!”
……
จวนจงซาน
วันนี้เขาได้รับของขวัญมากมาย ได้ยินว่ามาจากท่านอ๋องน้อยเซี่ยโหว มีทั้งสมบัติล้ำค่าหายากจากที่ต่างๆ ที่เตรียมให้จงรั่วปิง ในบรรดาของเหล่านั้นยังมีกระบี่ล้ำค่าจำนวนไม่น้อย สำหรับจงรั่วปิงที่ท่องยุทธภพอย่างเคยชินมาเป็นเวลาหลายปี เรียกได้ว่าเอาใจนางได้เป็นอย่างดี
เห็นของขวัญกองเต็มไปหมด จงรั่วปิงมีอารมณ์ดีไม่เลว
ว่าไปตามสัตย์ ตอนแรกที่อยู่ข้างกายเยี่ยเม่ยเห็นบุรุษรูปงามมากมายรุมชอบอีกฝ่าย จากนั้นก็มีของกำนัลแบกเข้าบ้านมา ขอเพียงเป็นสตรีย่อมเกิดความรู้สึกอิจฉา
ซือหม่าหรุ่ยยึดมั่นปักใจคิดถึงเซียวชินผู้เดียว จึงไม่มีใจคิดมาก
แต่นางกับซินเยว่เยี่ยนสองคนกลับรู้สึกอิจฉาเป็นอย่างยิ่ง หวังว่าสักวันหนึ่งจะได้พบบุรุษผู้หนึ่ง เตรียมของขวัญเพื่อเอาใจนาง วันนี้เมื่อมีคนผู้นั้นแล้ว หากบอกว่าไม่ดีใจเลยก็คงเป็นไปไม่ได้
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเซี่ยโหวเฉินผู้นี้เป็นคนที่บิดาของนางเห็นว่าเป็นมังกรท่ามกลางผู้คนอีกด้วย
หลังจากจงซานกลับมาจากประชุมเช้า เห็นสีหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความเบิกบานของจงรั่วปิง ก็อดไม่ไหวเอ่ยคำพูดเหมือนสาดน้ำเย็นใส่นาง “เจ้าอย่าเพิ่งด่วนดีใจไป รู้เสียก่อนว่าเซี่ยโหวเฉินต้องการอะไรกันแน่ค่อยว่ากันเถอะ เจ้าอย่าลืมว่าก่อนได้พบเจ้า เขาก็มาสู่ขอก่อนแล้ว!”
เห็นได้ชัดว่าเดิมทีสิ่งที่เซี่ยโหวเฉินต้องการก็คือฐานะลูกเขยของเขา ตอนนี้เขาเอาอกเอาใจจงรั่วปิง มีเป้าหมายอันใดก็ยากบอกได้
เมื่อจงซานกล่าวเช่นนี้ จงรั่วปิงก็ไม่พอใจ มองจงซานคราหนึ่ง “ท่านพ่อ! คำพูดนี้ของท่านหมายความว่าอย่างไรกันหรือ หรือท่านรู้สึกว่าข้าไม่คู่ควรให้ผู้อื่นมอบของขวัญให้”
ผู้อื่นมอบของขวัญให้นาง ต้องมีเจตนาไม่ดีอย่างแน่นอนหรืออย่างไร
นี่กำลังจะบอกว่านางไม่มีเสน่ห์ใช่หรือเปล่า
จงซานรู้ว่าจงรั่วปิงเข้าใจผิดแล้ว แต่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นบุรุษ จะมีความคิดอ่านละเอียดลออเท่าสตรีที่ใดกัน
เขาไม่มีทางคิดได้ว่าคำพูดเช่นนี้ของตน ทำให้จงรั่วปิงเข้าใจผิด
เห็นนางมีท่าทางโมโห จงซานนิ่งเงียบไปชั่วขณะ สรุปสาระสำคัญออกมา “ไม่ใช่ข้าเข้าใจว่าเจ้าไม่คู่ควรให้ผู้อื่นมอบของขวัญให้ แต่ก็ต้องดูด้วยว่าผู้ส่งนั้นคือใคร เซี่ยโหวเฉินผู้นี้ไม่ธรรมดา ข้าเพียงไม่อยากให้เจ้าถูกทำร้ายเท่านั้น!”
เมื่อเขาอธิบายจงรั่วปิงก็เยือกเย็นลง อย่างไรเสียท่านพ่อของนางก็จริงใจเอาใจใส่นางมาตลอด ไม่มีทางกินอิ่มนอนหลับจนไม่อยากเห็นนางได้ดี คำพูดของเขาในวันนี้ ความจริงก็แค่เป็นห่วงตัวนางเท่านั้นเอง
จงรั่วปิงพยักหน้า “ได้ ข้าจะใจเย็นก่อน ค่อยๆ คิดดูอีกที!”
จงซานได้ยินนางตอบเช่นนี้ค่อยวางใจลง เอ่ยต่อว่า “เจ้าเข้าใจเหตุผลก็ดี ข้าผู้เป็นบิดาใจดี ไม่มีทางก้าวก่ายความคิดเจ้า แต่เจ้าก็ต้องจำไว้ ยิ่งเป็นบุรุษที่เจ้าคิดใช้ชีวิตร่วมกับเขา เจ้าต้องศึกษาเขาให้ถี่ถ้วนก่อน อย่าเชื่อคนง่ายๆ เข้าใจหรือไม่”
สิ้นเสียงเขา
จงรั่วปิงตอบด้วยความจริงจังว่า “ข้าเข้าใจแล้ว!”
ครั้นเห็นนางตอบรับ จงซานค่อยระบายลมหายใจคลายใจลงได้
…
จวนเซี่ยโหวเฉิน เขายืนอยู่หน้าประตูจวนอ๋องของตน เดินวนไปเวียนมาด้วยความลังเล เหวยซื่อทนไม่ไหวจึงเอ่ยปากว่า “ท่านอ๋องน้อย นี่ท่านจะไปทำอะไรกันแน่ ท่านไปเลยมิได้หรือ อย่าได้เดินวนไปวนมาอยู่หน้าประตูแบบนี้อีกเลย!”
เขามองจนตาลายไปหมดแล้ว
เซี่ยโหวเฉินถลึงตาใส่เหวยซื่อทันที
เหวยซื่อก็รู้ว่าตัวเองหมดคำพูดจริงๆ ถึงได้เอ่ยเกินกว่าเหตุออกไป เขารีบคุกเข่าลงเอ่ยปากทันทีว่า “ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว ท่านอ๋องอย่าได้โมโห!”
“หึ!” เซี่ยโหวเฉินแค่นเสียงเย็นคำหนึ่ง
เหวยซื่อเอ่ยสั่นๆ ว่า “เช่นนั้นท่านอ๋องน้อย ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่”
เซี่ยโหวเฉินตอบตามตรง “ข้าคิดไปหาแม่นางจง แต่…ข้า ข้าพบนางแล้วไม่รู้จะพูดอะไร!”
เมื่อคิดถึงจงรั่วปิง เขาเพียงแค่เอ่ยต่อหน้าเหวยซื่อก็หน้าแดงโดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว
เหวยซื่อ “…” ข้าก็นึกว่าเป็นเรื่องใหญ่โตอะไรเสียอีก! วุ่นวายอยู่ครึ่งค่อนวันที่แท้ก็เรื่องนี้เอง!
เหวยซื่อเอ่ยด้วยความจนปัญญา “ท่านอยากไป ท่านก็ไปพบนาง ท่านไม่ไปแสดงความจริงใจ แม่นางจงจะรู้ถึงความในใจท่านได้อย่างไร”
“ที่เจ้าพูดก็ไม่ผิด แต่ว่าเมื่อข้าไปแล้ว ข้าสมควรพูดอย่างไร” เซี่ยโหวเฉินมองเหวยซื่อด้วยความลำบากใจยิ่ง
เหวยซื่อ “…ท่านอ๋อง ท่านคงไม่คิดให้ข้าน้อยสอนท่านทีละประโยคๆ ว่าหลังจากได้พบแม่นางจงแล้วควรพูดว่าอะไรหรอกกระมัง”
นี่ออกจะน่าขันไปหน่อยหรือเปล่า สรุปแล้วใครกันแน่ที่คิดหาภรรยากัน!
เซี่ยโหวเฉินมองเหวยซื่ออย่างจริงจัง “หรือว่าไม่ได้ เจ้าช่วยข้าทำอะไรสักหน่อยไม่ได้เชียวหรือ”
เหวยซื่อ “ย่อมได้แน่นอน ท่าน…ท่านดีใจก็พอ !”
มีอะไรไม่ได้กันเล่า ต่อให้ถึงเวลานั้นจีบแม่นางจงได้แล้ว ผู้อื่นยินยอมแต่งงานกับท่าน ถึงเวลานั้นจะนับว่าท่านจีบหรือว่าข้าน้อยจีบกัน
คำพูดนี่เหวยซื่อกลับไม่กล้าเอ่ยออกมา
“งั้นก็ดี พวกเราไปจวนตระกูลจงกัน!” เซี่ยโหวเฉินเอ่ยพลางมุ่งหน้าไปยังจวนตระกูลจง เหวยซื่อรีบติดตามไป
จากนั้นยังไม่ทันก้าวไปเกินสองก้าว ฝีเท้าของเซี่ยโหวเฉินก็ชะงัก
เขาระบายลมหายใจออกมายาว กลับไม่รู้จริงๆ ว่าหลังจากไปแล้วจะเผชิญหน้าจงรั่วปิงอย่างไร จะให้เหวยซื่อสอนเขาทีละประโยคๆ คิดดูแล้วก็น่าอดสูมาก
ถึงหันกลับมาเอ่ยว่า “ช่างเถอะ ไปจวนองค์ชายใหญ่!”
เหวยซื่อ “…” ระยะนี้ท่านอ๋องน้อยเปลี่ยนไปมาก จนเขาแทบตามไม่ทันแล้ว
……
จวนองค์ชายใหญ่
ครั้นเห็นเซี่ยโหวเฉินเข้ามา เป่ยเฉินเสียงก็ยิ้มแล้วยิ้มอีก “ไม่ได้พบท่านอ๋องน้อยมาระยะหนึ่งแล้ว ไฉนวันนี้ถึงมีเวลามาได้กัน”
ท่าทีที่เป่ยเฉินเสียงมีต่อเซี่ยโหวเฉินไม่ค่อยดีนัก
แต่ความจริงหลังจากคิดได้ว่าเซี่ยโหวเฉินเป็นปรปักษ์กับเป่ยเฉินอี้อยู่ตลอด ใจเขายังเชื่อถือเซี่ยโหวเฉินอยู่มาก แต่เพราะหลายวันก่อนเป่ยเฉินอี้ทำให้เขาเสียอำนาจทางทหารไป ต่อให้ไม่ชอบเซี่ยโหวเฉิน แต่เป่ยเฉินเสียงก็รู้ดีว่า ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร
เซี่ยโหวเฉินไม่ใส่ใจน้ำเสียงคำพูดของเป่ยเฉินเสียงเลยสักนิด
เอ่ยปากตามตรงว่า “ข้าได้ยินมาว่า ระยะนี้ใต้เท้าจงกับเยี่ยเม่ยค่อนข้างสนิทสนมกัน ดังนั้นคิดว่าต้องมาเตือนองค์ชายใหญ่เสียหน่อย อย่างไรเสีย…ไม่ว่าจะพูดอย่างไร องค์ชายสี่ก็เป็นหนึ่งในผู้สืบทอดราชบัลลังก์ ใต้เท้าจงจงรักภักดีต่อท่านจริงหรือไม่ก็ยากรับรองได้!”
เหวยซื่อ “…” ท่านอ๋อง ข้ามิได้ฟังผิดไปหรอกกระมัง!
ทางหนึ่งท่านก็ชอบแม่นางจง อีกทางหนึ่งท่านก็แทงมีดใส่พ่อตาในอนาคต ท่านจริงจังใช่ไหม ท่านคิดว่าทำเช่นนี้เหมาะสมหรืออย่างไร
จิตใจอันแสนดีงามของท่านไม่เจ็บปวดเลยสักนิดหรือ
ในความเป็นจริงไม่ใช่ครั้งแรกที่เป่ยเฉินเสียงได้ฟังคำพูดเช่นนี้ ยามท่านเสนาบดีเป็นฝ่ายพูดคนเดียว เขาไม่เชื่อ แต่มาวันนี้เซี่ยโหวเฉินผู้มีสติปัญญารองจากเป่ยเฉินอี้เอ่ยเช่นกัน เป่ยเฉินเสียงย่อมไม่อาจไม่สงสัยได้
เขามุ่นคิ้วเอ่ย “เจ้าสงสัยว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนต้องการราชบัลลังก์?”
เซี่ยโหวเฉินชะงักเล็กน้อย ตอบว่า “ก็ไม่บอกไม่ได้! แต่ว่าแผนการของเป่ยเฉินอี้ ทำให้เยี่ยเม่ยได้อำนาจทางทหารไป ข้อสรุปนี้ข้าว่าไม่สมเหตุสมผล เพราะอาจารย์ของข้าผู้นี้ไม่เคยวางแผนการผิดพลาดมาก่อน แทนที่จะเชื่อว่าแผนการของเขาทำให้เยี่ยเม่ยได้ผลประโยชน์ไปง่ายๆ ข้ายินยอมเชื่อว่านับตั้งแต่ต้นเขาก็คิดช่วยเยี่ยเม่ยแล้ว!”