เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] - ตอนที่ 111 เหตุใดข้าต้องโมโหด้วย
ข้ายอม!
ท่านหึงได้!
เยี่ยเม่ยกวาดตามองเขา เอ่ยเสียงนิ่งว่า “ไป๋หลี่ซือซิวเคยเป็นบุรุษรูปงาม มีสตรีนับไม่ถ้วนเรียงแถวรอพบเขาหรือไม่ ข้าไม่รู้ แต่อย่างน้อยเวลานี้เขาก็เป็นตาแก่ ดังนั้นท่านยังมีอะไรให้หึงอีกเล่า”
หรือว่านางจะสนใจตาแก่คนหนึ่งกัน
นางคิดว่ากล่าวออกไปเช่นนี้แล้ว เขาน่าจะเข้าใจเหตุผล คิดไม่ถึงว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับแค่นเสียงเย็นชาออกมาคำหนึ่ง ตวัดสายตามองนาง “เยี่ยเม่ย ต่อให้วันนี้เจ้าเห็นว่าเขาเป็นตาแก่ แต่…ในราชสำนักจงเจิ้งตอนนั้น เจ้าต้องเคยเห็นโฉมหน้าของเขา!”
เยี่ยเม่ยมุมปากกระตุก
นางสูญเสียความทรงจำ ถึงแม้ได้ความทรงจำกลับคืนมาแล้ว แต่นางก็จำได้เฉพาะเรื่องสำคัญเท่านั้น อย่างเรื่องเหตุการณ์น่าสลดใจในตอนนั้น ส่วนเรื่องไม่สลักสำคัญอื่นๆ เป็นต้นว่าไป๋หลี่ซือซิวมีหน้าตาอย่างไรนั้นไม่อยู่ในความทรงจำเลยแม้แต่น้อย นางจะบอกเขาเช่นนี้ได้หรือเปล่านะ
แต่เยี่ยเม่ยรู้อยู่แก่ใจ ในตอนนี้สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญอีกแล้ว
ที่สำคัญก็คือระยะนี้นางกับจงซานใกล้ชิดกันมากเกินไป ทำให้เจ้าคนใจคอคับแคบนี่เก็บมาใส่ใจ
นางมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เอ่ยว่า “ท่านก็น่าจะรู้ ข้ากับเขาปรึกษาเรื่องอะไรกัน มีแต่เรื่องงานทั้งนั้น! ท่านไม่อาจหึงเพราะเรื่องเหลวไหลพรรค์นี้ เช่นนั้นข้าไม่ต้องทำงานทำการแล้วหรือไง”
“เยี่ยนไม่เคยหวังว่าเจ้าจะไม่ทำอะไร เพียงแต่…” สายตาลุ่มลึกของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองเยี่ยเม่ย “เยี่ยนอยากรู้ว่าทำไมเวลาพวกเจ้าหารือกันมักกันข้าออกไปด้วย หรือสำหรับเจ้าแล้ว เยี่ยนไม่ใช่คนกันเอง เจ้าสนิทชิดเชื้อกับไป๋หลี่ซือซิวมากกว่าเยี่ยนอีกหรือ”
เมื่อคิดถึงหลายครั้งหลังจากออกจากวังหลวง เยี่ยเม่ยกับจงซานมักสนทนาโดยกันเขาออกห่าง เขาก็โมโห
คิดไปแล้วเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังถามว่า “หรือว่าระหว่างพวกเจ้าสองคนมีเรื่องที่ไม่อาจให้ข้ารับรู้ได้”
เรื่องที่ไม่อาจให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรู้ได้มีอยู่จริงๆ
นั่นก็คือเรื่องที่จงซานช่วยนางสืบเรื่องระหว่างเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและมู่หรงเหยาฉือ ไม่อาจให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรู้ได้
แต่หัวข้อนี้เยี่ยเม่ยเอ่ยออกไปได้หรือ
แน่นอนว่าเอ่ยออกไปไม่ได้!
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยต่ออีกว่า “หรือว่าไป๋หลี่ซือซิวมักให้ร้ายข้าต่อหน้าเจ้า”
คราวนี้เยี่ยเม่ยไม่กล้าส่งเสียงมาสักแอะ
อีกทั้งยังสัมผัสถึงความรู้สึกร้อนตัวอย่างที่เคยได้ฟังผู้บอกเล่ามา! ไป๋หลี่ซือซิวใช้เซี่ยชูมั่วไปสืบเรื่องจากมู่หรงเหยาฉือ หลังจากกลับมาก็บอกว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนน่าจะมีความสัมพันธ์ไม่ถูกต้องกับมู่หรงเหยาฉือ นี่ก็คือการนินทาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนลับหลังแล้ว
ทั้งยังให้ร้ายเขาอีกด้วยใช่ไหม
ถึงเยี่ยเม่ยรู้อยู่แก่ใจว่า ทุกอย่างเป็นเพราะมู่หรงเหยาฉือเข้าใจผิดไปเอง อีกฝ่ายถูกคนหลอกลวง ทั้งไม่อาจนับว่าเป็นความผิดของไป๋หลี่ซือซิว แต่ความจริงก็เป็นเช่นนี้ เขาไม่ได้ช่วยพูดแทนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเลย
นางทำได้เพียงหัวเราะฮ่าๆ “ไอ้หยา จะพูดเรื่องพวกนี้ไปทำไม หากท่านไม่พอใจ ต่อไปข้าพูดคุยกับเขา ให้ท่านอยู่ด้วยก็พอแล้ว!”
เห็นได้ชัดว่าเยี่ยเม่ยพยายามกลบเกลื่อนให้เรื่องผ่านไป
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแค่นเสียงเหอะออกมา ทั้งไม่พูดมาก
ในความเป็นจริงเป่ยเฉินเสียเยี่ยนรู้อยู่แก่ใจ ไป๋หลี่ซือซิวไม่มีทางพูดให้ร้ายหรือพูดจาช่วยเหลือเขาในด้านดี ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นคนของราชวงศ์เป่ยเฉิน ส่วนเป้าหมายของไป๋หลี่ซือซิวก็คือล้มล้างราชวงศ์เป่ยเฉิน ในเมื่อรู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบเขา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจึงไม่หวังว่าอีกฝ่ายพูดถึงเขาในแง่ดี
เพียงแต่คนผู้นี้จงรักภักดีต่อเยี่ยเม่ย ไม่มีทางหลอกลวงปิดบังนาง ดังนั้นเขาจึงไม่อยากคิดเล็กคิดน้อย เพียงแต่ต้องการเตือนสติสตรีนางนี้ว่าอย่าทำเกินกว่าเหตุ เอาแต่สนทนากับบุรุษอื่นต่อหน้าสามีตนก็เท่านั้นเอง
……
ข่าวลือเรื่องหนังสือภาพชุนกงย่อมแพร่ไปถึงจวนเป่ยเฉินอี้
เขาพลิกดูภาพวาดพวกนั้นด้วยสีหน้าสงบไม่เปลี่ยนแปลง มุมปากกลับหยักยิ้ม
ชิงเกอและเอ้อเฟิงมองเจ้านายอย่างงงงวย รู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมาในชั่วขณะว่าเจ้านายกำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ ตามหลักแล้วเมื่อเห็นของสิ่งนี้ ท่านอ๋องสมควรโมโหมากมิใช่หรือ ทำไมถึงยิ้มออกเล่า
หรือท่านอ๋องโมโหเจ้าคนที่ทำให้ชื่อเสียงท่านอ๋องเปื้อนมลทินจะเสียสติไปแล้ว
ชิงเกอถามด้วยความระวัง “ท่านอ๋อง ท่าน…ท่านไม่โกรธหรือ”
“โกรธ” เป่ยเฉินอี้เลิกคิ้ว กวาดตามองชิงเกอไม่ใส่ใจเลยสักน้อย เอ่ยเสียงนิ่งว่า “มีคนวาดภาพที่ตรงใจของข้าออกมาเผยแพร่สู่ภายนอกเช่นนี้ ข้ามีอะไรให้โกรธกัน”
ชิงเกอ “…” หา
ข้าไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม!
ท่านไม่เห็นต้องทำเช่นนี้เลย…ที่แท้ยามที่ท่านว่างจากงานไร้เรื่องราว ในใจท่านคิดเรื่องพวกนี้อยู่หรือ ดูท่าข้าน้อยติดตามท่านมาตั้งนานจะไม่เข้าใจท่านสักนิดเดียว! ก็ถูก ท่านอ๋องเป็นบุรุษปกติ ผ่านมาตั้งหลายปีแล้วยังเป็นชายบริสุทธิ์อยู่เลย จะคิดถึงหญิงที่อยู่ในดวงใจบ้าง ก็เหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร
เพียงแต่…
เอ้อเฟิงกลืนน้ำลายลงคอ ถามว่า “แต่ท่านอ๋อง เรื่องนี้ไม่ว่าเอ่ยอย่างไรข่าวลือก็สะพัดมั่วไปทั่ว ไม่ดีต่อชื่อเสียงท่าน พวกเราไม่ต้องหยุดยั้งหรือ”
เป่ยเฉินอี้วางกระดาษในมือลงด้วยท่วงท่าสูงศักดิ์ ไม่ใส่ใจสักน้อย เป่ยเฉินอี้หยิบหมากตัวหนึ่งขึ้น เอ่ยเสียงนิ่งว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล จะมีคนไปจัดการเอง! ส่วนคนที่แอบอยู่ผู้นี้…”
คนที่แอบอยู่…
ชิงเกอถามว่า “ท่านอ๋อง จะให้พวกเราไปสืบว่าผู้ร้ายที่แอบอยู่เป็นใครหรือไม่”
“ไม่จำเป็น! ข้ารู้อยู่ในใจแล้ว!” เป่ยเฉินอี้ตอบตามตรง เรื่องนี้ใครเป็นคนทำ เขารู้ดีไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว เพียงแต่…
เป่ยเฉินอี้หัวเราะเย็นชา “ข้ากลับแปลกใจเหลือเกิน ไป๋หลี่ซือซิววางคนไว้ข้างกายเซี่ยชูมั่ว ไฉนถึงปล่อยให้นางทำเรื่องพรรค์นี้ออกมาได้ หรือว่าข้าประเมินไป๋หลี่ซือซิวสูงเกินไปแล้ว”
ไป๋หลี่ซือซิวแฝงตัวเข้ามาอยู่ในราชสำนักเป่ยเฉินหลังจากราชวงศ์จงเจิ้งล่มสลาย เป่ยเฉินอี้มองปราดเดียวก็ดูออกแล้ว เรื่องนี้ไม่มีเหตุผลกลอื่นเลย นอกเสียจากว่าปราชญ์ล้วนเข้าใจปราชญ์ด้วยกันเอง
ในปีนั้นฮ่องเต้จงเจิ้งไม่ฟังคำทัดทานของไป๋หลี่ซือซิวเพราะจงเจิ้งซีเป็นเหตุ การศึกกับเป่ยเฉินอี้ ไป๋หลี่ซือซิวก็นับว่าแพ้แล้ว
ดังนั้นไม่ว่าเพื่อตอบแทนบุญคุณของฮ่องเต้จงเจิ้ง หรือว่าเพื่อประลองกับเป่ยเฉินอี้อีกครั้ง ไป๋หลี่ซือซิวต้องปรากฏตัวในราชสำนักเป่ยเฉินอย่างแน่นอน
ส่วนเวลาที่จงซานปรากฏตัวนั้นก็ประจวบเหมาะพอดี ยิ่งได้เห็นฝีมือของคนผู้นี้ ทั้งๆ ที่เขาฉลาดหลักแหลม ทว่าเอาแต่หลบเลี่ยงไม่แสดงตัว แต่ในใจเขาแฝงไปด้วยแผนการ
เพียงแต่หลังจากจงเจิ้งซีตายไป เป้าหมายของเป่ยเฉินอี้ก็เปลี่ยนไปเป็นล้มล้างราชสำนักเป่ยเฉิน กลายเป็นว่าเดินบนหนทางเดียวกับไป๋หลี่ซือซิว จึงไม่อาจประลองเป็นศัตรูกับไป๋หลี่ซือซิวอีกครั้ง และแน่นอนว่าเขาก็ไม่จำเป็นต้องเปิดโปงฐานะของอีกฝ่าย
มาวันนี้…เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น หรือว่าเขามองไป๋หลี่ซือซิวสูงไปจริงๆ
ชิงเกอไม่เข้าใจ ถามว่า “ท่านอ๋องท่านคิดว่า เซี่ยชูมั่วเป็นคนทำหรือ ไฉนท่านคิดไปถึงนางได้”
เป่ยเฉินอี้ตอบกลับอย่างไม่ยี่หระ “คนที่ทำเรื่องพรรค์นี้และกล้าทำเรื่องพรรค์นี้ ทั้งสามารถแพร่ข่าวออกไปได้ในระยะเวลาอันสั้น นั่นหมายความว่าผู้อยู่เบื้องหลังไม่เพียงมีเงิน แต่ต้องมีอำนาจด้วย มิเช่นนั้นก็ไม่อาจปล่อยข่าวได้ในเวลาเพียงสั้นๆ แต่ต่อให้จ่ายเงินมากแค่ไหน ก็ไม่มีใครกล้าวาดภาพแบบนี้ของข้ากับเยี่ยเม่ย!”
ชิงเกอพยักหน้า ถาม “เพราะอะไรท่านถึงมั่นใจว่าต้องเป็นฝีมือเซี่ยชูมั่ว แต่ไม่ใช่ศัตรูของท่าน”
เป่ยเฉินอี้ยังเล่าต่ออย่างไม่ใส่ใจนัก “คนที่คิดลูกไม้นี้ได้ ต้องเป็นพวกสตรีไร้สมองอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนเท่านั้น เป้าหมายก็คือทำให้ข้ารักษาระยะห่างกับเยี่ยเม่ย คนที่คิดเช่นนี้ย่อมเป็นคนที่มีใจให้ข้า! ส่วนคนที่มีฝีมือเ**้ยมโหดและมีใจให้ข้ากอปรกับมีอำนาจ ในบรรดาสตรีสูงศักดิ์ทั่วเมืองหลวง นอกจากเซี่ยชูมั่วแล้วก็ไม่มีใครให้คิดถึงอีกเป็นคนที่สอง!”
คราวนี้ชิงเกอก็เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว
เขาเอ่ยถามว่า “ท่านอ๋อง เซี่ยชูมั่วก่อเรื่องขึ้นมา เยี่ยเม่ย…”
เป่ยเฉินอี้วางหมากลงในกระดาน เอ่ยเนิ่บๆ ว่า “เยี่ยเม่ยไม่เข้าใจเซี่ยชูมั่วนัก เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็คร้านจะใส่ใจพวกคนไม่เกี่ยวข้องกับเขา ยามนี้พวกเขาคงกำลังสืบว่าเป็นฝีมือใครกันแน่ รอข้าเดินหมากตานี้จบ พวกเขาก็คงสืบความได้กระจ่างแล้ว!”
ชิงเกอถามต่อ “เช่นนั้นพวกเขาจะไม่กำจัดเซี่ยชูมั่วหรือ”
เมื่อชิงเกอถาม มือของเป่ยเฉินอี้ชะงักไปเล็กน้อย เอ่ยอย่างมีเลศนัยว่า “นี่คือจุดที่ข้าคิดทดสอบไป๋หลี่ซือซิว เขาวางคนไว้ข้างกายเซี่ยชูมั่วแต่กลับเกิดเรื่องผิดพลาดมหันต์เช่นนี้ ข้าอยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะเสนอให้เยี่ยเม่ยจัดการปัญหาอย่างไร หากเขาไม่ห้ามเยี่ยเม่ยสังหารคน ข้าคงผิดหวังในตัวเขาอย่างสุดซึ้ง!”
“หา” ชิงเกอไม่เข้าใจเลย ทำไมไม่อาจสังหารเซี่ยชูมั่ว “ท่านอ๋อง เป็นเพราะอะไรกัน”