เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] - ตอนที่ 15
ตอนที่ 15 เป่ยเฉินอี้ช่วยเจ้าได้ เยี่ยนก็ช่วยเจ้าได้
เยี่ยเม่ยใจเต้นตึกตัก พลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง
นางมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ดึงมือเขาบนบ่านางออกช้าๆ “ดังนั้นเล่า ท่านอยากพูดอะไรกันแน่ จงเจิ้งซีคือใคร ข้าไม่รู้จักด้วยซ้ำ!”
“ไม่รู้จักหรือ” ดวงตาคู่ร้ายของเขาแฝงแววขบขัน เขาปัดปอยผมของนาง น้ำเสียงน่าฟังค่อยๆ เอ่ย “หากไม่รู้จัก เจ้าจะอธิบายเรื่องที่เจ้าต้องการเข้าสู่ราชสำนักเป่ยเฉินว่าอย่างไร หากไม่รู้จัก เจ้าอธิบายเรื่องที่อยู่ๆ เป่ยเฉินอี้ที่เป็นปรปักษ์ยามอยู่ชายแดน กลับมาถึงเมืองหลวงเขาต้องการจะแต่งงานกับเจ้าว่าอย่างไร”
อารมณ์ของเยี่ยเม่ยเปลี่ยนไป เอ่ยปาก “นั่นก็เพราะว่า เขาต้องการฆ่าข้า เขาสังหารข้าที่ชายแดนไม่สำเร็จ รอจนข้ากลายเป็นพระชายาเขาแล้ว ก็ทุกอย่างก็กระทำได้ง่ายขึ้นมาก”
“อย่างนั้นเจ้าจะอธิบายเรื่องที่เจ้าบังเอิญทำทุกอย่างสำเร็จได้อย่างไร ซ้ำเจ้ายังยังมีใบหน้าเหมือนจงเจิ้งซีไม่มีผิดเพี้ยน!” ยามเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ย สายตาของเขาจับจ้องมาที่นาง สีหน้ามั่นใจหนักแน่น คล้ายกับว่าไม่ว่าเยี่ยเม่ยจะโต้แย้งอย่างไร เขาก็ไม่มีทางเปลี่ยนความเข้าใจในยามนี้ไปได้
ดังนั้นจากสายตาของเขา เยี่ยเม่ยก็เข้าใจแล้ว ไม่ว่านางจะปฏิเสธอย่างไร เขาก็ไม่มีทางเชื่อ
หลังจากเงียบสักพัก
เขาก็เอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงเขาทุ้มลง ถามเบาๆ ว่า “เยี่ยเม่ยเจ้ากล้าบอกเป่ยเฉินอี้ แต่กลับไม่กล้าสารภาพกับเยี่ยน เจ้ากลัวเยี่ยน…ทรยศเจ้าอย่างนั้นหรือ”
ระหว่างเอ่ยดวงตาเขาเพ่งมองเยี่ยเม่ย ไม่ยอมพลาดอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ บนใบหน้านาง
แต่เยี่ยเม่ยยังคงจับความเจ็บช้ำที่เขาได้รับจากก้นบึ้งของดวงตาคู่นั้นได้ ราวกับว่าหากคำตอบของนางเป็นเช่นนี้จริงๆ เช่นนั้นเขารังแต่ยิ่งจะเสียใจมากขึ้น
หลังจากนางนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก็เบือนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างตอบเสียงนิ่งว่า “นี่คือเรื่องของข้า ท่านไม่จำเป็นต้องรู้!”
เมื่อนางตอบเช่นนี้ เขาที่ยืนอยู่ด้านหลังนางก็ค่อยๆ กล่าวว่า “เป่ยเฉินอี้ช่วยเจ้าได้ เยี่ยนก็ช่วยเจ้าได้! แม้ฐานะของเขาในราชสำนักเป่ยเฉินจะโดดเด่นกว่าเยี่ยน แต่หากเยี่ยนแสร้งเป็นร่วมมือกับเสด็จพ่อ ช้าเร็วอย่างไรเสด็จพ่อต้องมอบอำนาจให้เยี่ยนแน่นอน หากเยี่ยนทำเช่นนี้ ไม่แน่ว่ายังจะได้ผลไวกว่าเจ้าร่วมมือกับเป่ยเฉินอี้!”
เยี่ยเม่ยอึ้งไปเล็กน้อย
คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดเช่นนี้ออกจากปากเขา นางหันกลับไปมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนถามว่า “วันนี้สิ่งที่ท่านเอ่ยในท้องพระโรงว่า ขอเพียงเสด็จพ่อของท่านให้ท่านแต่งกับข้า ท่านก็จะเชื่อฟังเขา…เป็น…”
“ไม่ผิด เป็นแผนการ”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนคลี่ยิ้มน่ามอง ริมฝีปากคลี่ยิ้ม เอ่ยออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ภาพเหมือนใบนั้น เยี่ยนเพิ่งได้รับเมื่อเช้านี้ ดังนั้นจึงเริ่มวางแผนการ! ขอเพียงเสด็จพ่อเชื่อคำพูดเยี่ยน เช่นนั้นก็เท่ากับสำเร็จอย่างราบรื่น ภายหน้า…”
ยามพูดมาถึงตรงนี้ เขาก็ไม่เอ่ยต่อไปอีก
เขาเชื่อว่าเยี่ยเม่ยเข้าใจความหมายของเขา
เสี้ยวอึดใจหนึ่ง เยี่ยเม่ยไม่รู้ว่าสมควรพูดอะไร คนที่ทำอะไรตามอำเภอใจอย่างเป่ยเฉินเสียเยี่ยน คนที่ไม่สนใจใยดีอะไรทั้งนั้น ถึงกับวางแผนการเพื่อนาง หากบอกว่านางไม่ซาบซึ้ง ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว
เพียงแต่…
นางสบสายตาของเขา ถามออกว่า “แต่ท่านอย่าลืมว่าราชวงศ์เป่ยเฉินคือรากเหง้าของท่าน ราชสำนักเป่ยเฉินคือมาตุภูมิของท่าน!”
นางเอ่ยคำพูดนี้ออกมา
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรู้สึกคล้ายกับได้ฟังเรื่องตลกอย่างมาก เขาเอ่ยเป็นลำดับว่า “รากเหง้าคือะไร รากเหง้าของคนคือความคิดในจิตใจ ใจนับเป็นต้นตอของทุกสิ่ง มาตุภูมิหรือ มีเพียงคนที่ได้รับเกียรติยศ ได้รับการปกป้องและรับผลประโยชน์จากบ้านเมืองเท่านั้นถึงมีคำว่ามาตุภูมิอยู่ในใจ เยี่ยนไม่ต้องการ ดังนั้นเยี่ยนไม่ใส่ใจมาตุภูมิอะไรทั้งนั้น!”
เยี่ยเม่ยรู้สึกว่าเขาแยกแยะคำว่ามาตุภูมิไม่ถูกต้อง แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล
ช่างเถอะ เหตุผลบิดเบี้ยวของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ใครในโลกต่างก็พูดไม่ชนะเขา
หลังจากเยี่ยเม่ยเงียบไปสักครู่
นางจ้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เอ่ยนิ่งๆ ว่า “แต่ท่านก็เคยบอกว่า ท่านไม่ต้องการเป็นศัตรูกับเสินเซ่อเทียน!”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรุดก้าวขึ้นหน้ามาก้าวหนึ่ง แววตาฉายความจริงใจ ตอบว่า “แต่เจ้าไม่ได้ยินประโยคสุดท้าย หากทำเพื่อเจ้าแล้ว เยี่ยนยอมลงมือสังหารเขา!”
เยี่ยเม่ยตะลึงงัน
วันนั้นนางไม่อยากทนฟังต่อไป จึงถอยออกมาก่อน ดังนั้นนางจึงไม่ยินคำพูดประโยคนั้น แต่นางก็เชื่อ
เห็นท่าทางลังเลของเยี่ยเม่ย
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจับมือนาง เอ่ยอย่างอ่อนโยน “เยี่ยเม่ย หากเยี่ยนใส่ใจมาตุภูมิที่ว่าจริงๆ ใส่ใจคนของราชสำนักเป่ยเฉินจริง เวลานี้เยี่ยนไม่ควรปรากฏตัวอยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือ ยามที่เยี่ยนได้รับภาพเหมือนใบนั้น ทันทีที่เยี่ยนเกิดความสงสัย ก็สมควรไปเปิดโปงฐานะของเจ้าต่อเสด็จพ่อแล้ว!”
คำพูดของเขากลับเป็นความจริง
เยี่ยเม่ยเข้าใจ หากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอยู่ฝั่งเดียวกับราชสำนักเป่ยเฉิน เขาต้องเลือกขายนางในทันที เปิดโปงฐานะของนางออกไป ไม่ใช่มาเอ่ยวาจาเหล่านี้กับนางที่นี่
เมื่อเอ่ยถึงตอนนี้
เยี่ยเม่ยจ้องมองเขา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่ปฏิเสธแล้ว ตอนนี้ท่านรู้ฐานะของข้า ดังนั้นท่านก็น่าจะเข้าใจว่าตั้งแต่แรกข้าเข้าใกล้ท่านเพราะว่ามีเป้าหมายอื่น นับตั้งแต่เริ่มต้น ข้าก็ต้องการเข้ามาอยู่ในราชสำนักเป่ยเฉินแล้ว ไม่มีความจริงจังกับท่านเลยสักน้อยนิด ดังนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้…”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังมาถึงตรงนี้ ก็ไม่ยินยอมฟังต่อไปอีก
เขาตัดบทนาง ค่อยๆ กล่าวออกมาทีละคำว่า “ใช่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เยี่ยนก็ยังอยากช่วยเจ้า อยากแต่งงานกับเจ้า อยากทำทุกอย่างเพื่อเจ้า ต่อให้ตายก็ขอเป็นเพียงตัวหมากในมือเจ้า ต่อให้หลังจากเจ้าล้มล้างราชสำนักเป่ยเฉินไปแล้ว จะลงมือสังหารข้าด้วยตัวเองเพื่อแก้แค้นให้ตระกูลของเจ้า ข้าก็ไม่ถือโทษโกรธเคือง!”
หากนางแค้นราชสำนักเป่ยเฉิน เกลียดแค้นคนของเป่ยเฉินทั้งหมด อย่างนั้นนางก็คงเกลียดแค้นเขา อยากสังหารเขา
ดังนั้นเขาถึงบอกว่าต่อให้สุดท้ายสังหารคนของเป่ยเฉินจนหมดสิ้นแล้วยังไม่ยอมปล่อยเขาไป เขาก็ยินยอมพร้อมใจ
ยามนี้เยี่ยเม่ยตกอยู่ในความตะลึงงัน
นางเห็นความจริงจังอัดแน่นในแววตาร้าย ไม่มีความเสแสร้งจอมปลอมเลยสักกระผีก ยิ่งไม่มีความเจ้าเล่ห์เพทุบาย ทว่าความจริงใจนี้ ทำให้นางในยามนี้ไม่รู้จะรับมืออย่างไร
นางเบือนหน้ากลับไป ไม่มองเขาอีก
หลับตาลง “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ไม่ใช่ข้าไม่เคยคิด หากท่านไม่แซ่เป่ยเฉิน บางทีบทสรุปของพวกเราอาจเปลี่ยนไป บางทีข้าอาจชอบท่านจากใจจริง อาจรักท่าน!”
คำพูดของนางครึ่งแรกคือความจริง ครึ่งหลังคือคำลวง
นางชอบเขาแล้ว ทั้งรักเขาแล้ว แต่ว่านางพูดไม่ได้ นางไม่อาจยอมรับกับศัตรูว่านางรักเขา
เขาได้ฟังนัยน์ตาหม่นลงไปมาก เข้าใจความหมายในคำพูดนาง นางไม่รักเขา ทั้งยังหมายความว่าเพราะเขาแซ่เป่ยเฉิน นางจึงไม่อาจหลงรักเขา
หลังจากความปวดใจผ่านไป
เขาค่อยกล่าวว่า “ในเมื่อไม่รัก จะแค้นก็ไม่เป็นไร เยี่ยเม่ย เยี่ยนอยากให้เจ้ารู้ว่า หากจะเลือกหมากเพื่อใช้งาน เยี่ยนก็ไม่แย่กว่าคนอื่น เวลานี้เจ้าต้องการพันธมิตรผู้หนึ่ง…ก็ถือว่าเป็นผลประโยชน์ เจ้าแต่งกับข้าได้หรือไม่”