เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] - ตอนที่ 17
เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] – ตอนที่ 17 ไม่ใช่เจ้าบอกว่า ตั้งท้องลูกข้าแล้วหรือ
เยี่ยเม่ยนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ
นางเอ่ยคำพูดอื่นออกมา เพราะนางรู้ ไม่ว่านางจะพูดอะไร เขาก็ไม่มีทางยอมปล่อย เขาตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้ว
เขากอดนางเงียบๆ ชั่วนาทีนั้น เยี่ยเม่ยไม่ผลักไสเขาออก
ไม่รู้ว่าคนทั้งคู่ยืนอยู่นานเท่าไรแล้ว
จนกระทั่งนางเริ่มรู้สึกขาชาถึงเอ่ยว่า “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ท่านกลับไปก่อนเถอะ!”
เขาชะงักไปเล็กน้อย ก้มหน้าลงมองนาง
เขาฟังออกด้วยไหวพริบว่า นางบอกว่ากลับไปก่อน กลับไปก่อน…นั่นก็หมายความว่า เขายังพอมีหวังใช่ไหม
“ข้าจะใคร่ครวญให้ดี ท่านพูดไม่ผิด คุณค่าในการใช้งานท่านดีกว่ากูเยว่อู๋เหินมากนัก” เยี่ยเม่ยเอ่ยไปอีกประโยคหนึ่ง
ความหมายก็คือ นางจะเลือกคนใดคนหนึ่งระหว่างเขากับเป่ยเฉินอี้ใช่หรือเปล่า
ไม่รอให้เขาเอ่ยปาก
เยี่ยเม่ยช้อนตาขึ้น มองเขา “ข้ากับท่านไม่เหมือนกัน ข้าจำได้ว่าเหง้าของข้าคือราชวงศ์จงเจิ้ง ข้าจดจำแผ่นดินมาตุภูมิของข้าได้ ข้าไม่อาจปล่อยวางความแค้นของวงศ์ตระกูล ดังนั้น…เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ข้าไม่คิดมีความรัก ข้าเพียงอยากชนะเท่านั้น! ไม่ว่าข้าเลือกท่าน หรือไม่เลือกท่าน ก็เพื่อเอาชนะ หวังว่าท่านจะเข้าใจ”
นางแทบอยากทำลายความคิดทั้งหมดของเขา และทำลายความคิดของตัวเองไปด้วยเช่นกัน
ส่วนเขาได้ฟังแล้ว กลับยกยิ้มมุมปาก น้ำเสียงน่าฟังแฝงไปด้วยความชั่วร้ายทว่าแน่วแน่ “เยี่ยเม่ย เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะทำให้เจ้าชนะแน่ !”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้
เยี่ยเม่ยตอบเสียงนิ่งว่า “ดังนั้นท่านกลับไปก่อนเถอะ อีกสามวัน ข้าจะให้คำตอบในท้องพระโรง ให้ข้าใช้เวลาคิดสักหน่อย ข้าเหนื่อยแล้ว อยากพักผ่อน!”
“ได้!”
เขากลับให้ความร่วมมือปล่อยนาง จากนั้นถอยออกไปสองสามก้าว ก็หมุนกายจากไป เมื่อเดินไปถึงหน้าหน้าต่าง เขาพลันหยุดชะงักลง ค่อยๆ เอ่ยว่า “หากต้องการให้ข้าช่วยเหลือ ก็มาหาข้าได้”
สิ้นเสียง เขาก็ทะยานออกจากหน้าต่างไป
เป็นอย่างคำพูดของเขา ยอมมาเมื่อนางเรียก ยอมจากไปเมื่อนางโบกมือไล่
เขาไปแล้ว อารมณ์ของเยี่ยเม่ยกลับยิ่งย่ำแย่ นางหาได้รู้สึกเบาใจลงเลยสักนิดเพราะว่าการมาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน กลับกัน…นางรู้สึกว่าเขาทำให้นางเจอปัญหายากเย็น เป็นปัญหาที่แก้ได้ยากข้อหนึ่ง
ตามคำพูดของเขา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นตัวเลือกที่ดีทางหนึ่งจริงๆ
แต่ว่า…
นางเลือกเขาได้หรือ นางจะกล้าไหม นางกลัวตัวเองใจอ่อน ยามที่อยู่ร่วมกันกับเขาแล้วจะลืมไปว่าเขาคือคนของเป่ยเฉิน ลืมว่าเดิมทีนางควรแค้นเขา
ในขณะนี้เอง
มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น คนที่มาเคาะประตูในเวลานี้ น่าจะมีแต่…
“ข้าเอง” เสียงของกูเยว่อู๋เหินส่งเข้ามาด้านใน
เยี่ยเม่ยคิดแค่ว่าคืนนี้ออกจะคึกคักเกินไป นางเดินไปถึงหน้าประตู เปิดประตูออกก็เลิกคิ้วถาม “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านมาหัวเราะเยาะข้าหรือ”
วันนี้นางต้องเผชิญหน้ากับคนที่มาคุยเรื่องแต่งงานแล้ว กูเยว่อู๋เหินปรากฏตัวยามนี้ เยี่ยเม่ยได้แต่เข้าใจเช่นนี้แล้ว
กูเยว่อู๋เหินมองนางแวบหนึ่ง เอ่ยเสียงเรียบว่า “เจ้ามิใช่บอกว่า เจ้าเป็นคนของข้าแล้ว ข้ายังไม่มาดูเจ้าได้หรือ”
“แค่ก…” เยี่ยเม่ยพลันสำลักออกมา เวลาเสี้ยววินาที ใบหน้าของนางแดงก่ำ อึดอัดจนพูดไม่ออก
หลังจากนางอึกอักอยู่สักพัก มองกูเยว่อู๋เหิน ถามขึ้นว่า “นี่ คือท่านได้ยินแล้วหรือ”
ระหว่างเอ่ย นางก็เบี่ยงกายเปิดทางให้กูเยว่อู๋เหินเดินเข้ามา
กูเยว่อู๋เหินพยักหน้า น้ำเสียงเรียบเหมือนเคยดังว่า “เสียงดังขนาดนั้น ไม่อยากฟังก็ต้องฟัง แต่ว่าพวกเจ้าสองคนอารมณ์แปรปรวนไม่น้อยเชียว ข้าเดินเข้ามาแล้ว พวกเจ้ายังไม่รู้สึกอีก”
เขาเอ่ยเช่นนี้ เยี่ยเม่ยพลันเงียบ
จริงด้วย
ตามหลักแล้ว กูเยว่อู๋เหินปรากฏกายต่อให้นางไม่รับรู้ ด้วยวรยุทธ์ของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ไม่น่าไม่รู้
เพียงเพราะอารมณ์ของพวกเขาทั้งสองเมื่อครู่ขึ้นลงมากเกินไป ภายใต้คลื่นอารมณ์นั้นจึงไม่ทันสังเกตว่าเขาเข้าใกล้มาแล้ว
“คือว่า เมื่อครู่ข้าก็แค่…หวังว่าท่านจะไม่ถือสา!” เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เยี่ยเม่ยอยากเอามือกุมหน้า สรุปแล้วเกิดเรื่องน่ากระอักกระอ่วนประเภทไหนกัน ถึงกับปล่อยให้เขาได้ยิน นี่ยังเหลือยางอายอยู่อีกไหม!
กูเยว่อู๋เหินฟังแล้วกลับมองนาง ถามเสียงเรียบว่า “ทำไมข้าจะไม่ถือสา ในท้องเจ้ามีลูกของข้าไม่ใช่หรือ เจ้าจะแต่งกับคนอื่นได้อย่างไร”
“ข้า…” เยี่ยเม่ยรู้สึกเลื่อนลอยอยู่บ้าง นางใช้มือข้างเดียวกุมหน้าไว้ พูดว่า “ข้าก็แค่เอ่ยวาจาเหลวไหล ความจริงพวกเราต่างก็รับรู้นิ!”
กูเยว่อู๋เหินพยักหน้า หาที่นั่งลงรินชาด้วยท่วงท่าสง่างาม กล่าว “ถึงจะรู้ความจริง แต่กู่เยว่ก็ไม่ยินยอมให้ถูกลบหลู่ได้ หากปล่อยให้คนอื่นรู้ว่าเจ้าตั้งท้องลูกของข้าแต่กลับแต่งงานกับคนอื่น กู่เยว่จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
ให้ตายเถอะ!
เยี่ยเม่ยเกิดความรู้สึกอยากสบถก่นด่า
นางยกมือข้างหนึ่งเป็นสัญลักษณ์สาบาน เอ่ยปากว่า “ข้าขอสาบานว่า เรื่องนี้พูดกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเพียงคนเดียว ต่อไปข้าจะไม่พูดกับใครอีกเป็นคนที่สอง ท่านวางใจได้! จะไม่ปล่อยให้ใครรู้อีกจริงๆ…”
การใช้คนอื่นเป็นเกราะกำบังต้องรอบคอบหน่อย
เยี่ยเม่ยนับว่าเข้าใจแล้ว โดยเฉพาะเกราะกำบังของนางยังเป็นกูเยว่อู๋เหิน บุรุษที่ไม่อาจหาเรื่องได้ง่ายๆ ไม่เช่นนั้นจะยิ่งยุ่งเข้าไปใหญ่!
“เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรู้แล้ว ยังไม่พอหรือ” กูเยว่อู๋เหินมองนางนิ่งๆ นัยน์ตาสีอ่อนราวกับน้ำใสในบึง ทำให้เยี่ยเม่ยที่เห็นแววตาเขา แต่กลับไม่เข้าใจความคิดของเขา
ยิ่งไม่อาจรู้ว่า เขาพูดสิ่งเหล่านี้ออกมามีเป้าหมายอยู่ที่ใด
แค่ล้อเล่นหรือว่า…มีความคิดเป็นอื่น
หลังจากเงียบไปสักพัก เยี่ยเม่ยที่นั่งตรงข้ามเขาสารภาพผิดอย่างจริงใจ “ก็ได้ ข้ายอมรับ ข้าไม่ควรเอาท่านเป็นโล่กำบัง แต่ว่าก่อนหน้าท่านรับปากแล้วนิ เห็นแก่หน้าอาจารย์จะช่วยข้าแสดงละคร ตอนนี้ข้าอาจจะแสดงเกินไปหน่อย ศิษย์พี่ใหญ่เป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง ย่อมไม่คิดเล็กคิดน้อยกับข้า ใช่ไหม”
กูเยว่อู๋เหินฟังแล้ว ตอบกลับด้วยความไร้น้ำใจเสียงเรียบ “ผิดแล้ว ข้าคิดเล็กคิดเล็กน้อยมาก”
เยี่ยเม่ย “…เช่นนั้นท่านคิดจะเอาอย่างไร ให้ข้าเรียกเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับมา บอกเขาว่าเมื่อครู่ข้าโกหก ท่านถึงจะพอใจใช่หรือเปล่า” หากทำเช่นนั้นจริง ก็จะประดักประเดิดเกินไปแล้ว
“ไม่จำเป็น” กูเยว่อู๋เหินหาได้ไร้น้ำใจถึงขั้นนั้น ไม่ต้องการสร้างความลำบากให้นางเช่นนี้ เพียงเอ่ยเรียบๆ ว่า “เพียงแต่ในเมื่อเจ้ายอมรับว่าตั้งครรภ์ลูกข้าแล้ว ก็ควรภักดีกับข้าไปชั่วชีวิต คำพูดเมื่อครู่ของพวกเจ้า ข้าได้ยินหมดแล้ว อาศัยความสามารถของหมู่ตึกกู่เยว่ ภายหน้าก็ไม่แน่ว่าจะด้อยไปกว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหรือเป่ยเฉินอี้เลย เป่ยเฉินเสียเยี่ยนดูแคลนกูเยว่มากไปหน่อยแล้ว”
แน่นอนว่าเขาเข้าใจ ในฐานะศัตรูหัวใจ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่มีทางยกยอกูเยว่อู๋เหินขึ้นมาต่อหน้าสตรีในดวงใจแน่
เยี่ยเม่ยฟังแล้วก็ปาดเหงื่อบนหน้าผาก เอ่ยอย่างปวดหัวว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าก็ปวดหัวมากพอแล้ว ท่านอย่าได้ล้อเล่นอีกเลยได้ไหม”