เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] - ตอนที่ 19
เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] – ตอนที่ 19 ความเชื่อใจ
เยี่ยเม่ยมองส่งกูเยว่อู๋เหินออกจากห้องตนไปเงียบๆ
หลังจากเขาออกไปยังช่วยนางปิดประตู ในชั่วขณะนี้เยี่ยเม่ยกลับรู้สึกสับสน คิดไม่ออกว่าตัวเองควรเลือกทางไหน นางจึงเลือกที่จะหยุดคิด
หมุนตัวเดินไปที่เตียง
เมื่อถึงเตียง นางหลับตาลงฝึกกำลังภายใน เวลาสามเดือนที่ผ่านมา กำลังภายในของนางสำเร็จถึงระดับหกแล้ว แต่ว่านางเข้าใจว่ายังไม่พอ กำลังภายในเล็กน้อยนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้ายอดฝีมือยังไม่มีกำลังแม้แต่จะโต้กลับ
ฝึกกำลังภายในก่อนก็แล้วกัน ส่วนเรื่องอื่นๆ คิดได้เมื่อไรก็เมื่อนั้น
……
ตกดึก
เซียวเซ่อหยางและโอวหยางเทาที่รวบรวมตัวยาได้ครบเดินทางมาถึงจวนของเยี่ยเม่ย หลังจากได้ยินว่านางพักผ่อนแล้ว พวกเขาก็มุ่งตรงเอาของไปมอบให้ซือหม่าหรุ่ย จากนั้นก็ไปที่จวนของจงซาน
……
จวนของจงซาน
ไป๋หลี่ซือซิวมองคนสองคนตรงหน้า เอ่ยปาก “นั่งเถอะ!”
“ท่านเสนาบดี! พวกเราอยากถามเรื่องที่เกี่ยวข้องกับขุมสมบัติ พวกเราสมควรบอกองค์หญิงหรือไม่” เซียวเซ่อหยางถามไป๋หลี่ซือซิว
เห็นได้ชัดว่า เทียบกันแล้วพวกเขายังเชื่อถือไป๋หลี่ซือซิวมากกว่าเยี่ยเม่ย
ถึงในร่างของเยี่ยเม่ยจะมีสายเลือดของจงเจิ้ง ทั้งยังเป็นเชื้อพระวงศ์ มีเหตุผลในการกอบกู้บ้านเมืองที่สุด แต่ไม่ว่าเซียวเซ่อหยางหรือว่าโอวหยางเทาต่างไม่ลืมว่าปีนั้น ราชสำนักจงเจิ้งถูกทำร้ายอย่างอนาถก็เพราะเยี่ยเม่ย
พวกเขาหาได้ครหาการตัดสินใจของนาง แต่ว่ากังวลความสามารถของนางต่างหาก
หากองค์หญิงถูกคนของเป่ยเฉินหลอกลวงอีกครั้ง เช่นนั้นพวกเขาก็คง…
ไป๋หลี่ซือซิวฟังแล้ว ก็มองคนทั้งสองทีหนึ่ง เอ่ยปากว่า “ไม่ว่าช้าหรือเร็วพวกเจ้าก็ต้องเชื่อองค์หญิง อย่างไรเสียนางก็เป็นผู้นำ หากพวกเจ้าไม่มีแม้แต่ความเชื่อใจขั้นพื้นฐานให้นาง อย่างนั้นไม่ว่าเรื่องอันใดก็ไม่ต้องกระทำแล้ว!”
“แต่ว่าตอนนั้นองค์หญิง…” โอวหยางเทามุ่นคิ้วไม่เห็นด้วย
ไป๋หลี่ซือซิวมองโอวหยางเทา ถามขึ้นว่า “หรือเจ้าเตรียมฟังคำสั่งของข้า ใช้องค์หญิงเป็นเพียงหุ่นเชิดหรือ”
“เรื่องนี้…” โอวหยางเทาส่ายหน้าทันควัน “ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น ข้าเพียงไม่กล้าเชื่อความสามารถทั้งหมดขององค์หญิงก็เท่านั้น ท่านเสนาบดีพูดเช่นนั้น ก็ไม่กังวลอีก…”
ไป๋หลี่ซือซิวส่ายหน้ายิ้มๆ “เจ้ากังวลเช่นนี้ ก็เพราะว่าเจ้ายังไม่ได้พบองค์หญิง รอเจ้าพบนางแล้วเจ้าก็จะเข้าใจเอง นางในยามนี้ต่างจากกาลก่อนโดยสิ้นเชิง!”
อันที่จริงตั้งแต่แรกโอวหยางเทาและเซียวเซ่อหยางก็ไม่เคยพบเยี่ยเม่ย เพียงแค่เห็นเงาของนางไกลๆ ในวังหลวงเท่านั้น
ในความทรงจำ จงเจิ้งซีเป็นแม่นางน้อยที่ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง ไร้เดียงสาใสซื่อ หากมิใช่ชมดอกไม้ในวังก็เตะลูกขนไก่ หรือไม่ก็หาเรื่องหนีออกไปเล่นนอกวัง ความทรงจำอื่นๆ ที่เกี่ยวกับนางก็คือ นางยืนหยัดว่าเป่ยเฉินอี้เป็นคนดี ห้ามมิให้ฮ่องเต้สังหารเขา
ดังนั้นคิดให้พวกเขาเชื่อมั่นว่าคนผู้นี้จะกลายเป็นผู้นำของพวกเขาในอนาคต พาพวกเขามุ่งสู่ชัยชนะมิใช่เอาชีวิตไปทิ้ง อันที่จริงก็เป็นเรื่องยากมาก
เมื่อฟังไป๋หลี่ซือซิวกล่าวเช่นนี้ เซียวเซ่อหยางก็ถามว่า “ความหมายของท่านเสนาบดีคือ…องค์หญิงในตอนนี้คู่ควรกับความเชื่อมั่นของพวกเรา?”
ไป๋หลี่ซือซิวพยักหน้า ยิ้มตอบ “เดิมฟังว่านางเอาชนะศึกที่ชายแดนได้ ข้าก็เริ่มมีความหวังในตัวนางสูงมากแล้ว ต่อมาเมื่อได้ลองทดสอบนาง นางก็มิได้ทำให้ข้าผิดหวัง ไม่ว่าด้วยสติปัญญา นิสัยใจคอ ความสามารถ ทั้งยังมีการตัดสินใจแก้แค้นล้วนไม่จำเป็นต้องสงสัยอีก ดังนั้นพวกเจ้าสามารถเชื่อมั่นในตัวนางเช่นเดียวกับเชื่อในตัวข้า!”
เซียวเซ่อหยางและโอวหยางเทาสบตากันทีหนึ่ง
สุดท้ายเซียวเซ่อหยางก็เอ่ยว่า “ในเมื่อท่านเสนาบดีกล่าวเช่นนี้ ข้าก็เชื่อมั่นใจตัวองค์หญิงแล้ว!”
ไม่ว่าอย่างไรท่านเสนาบดีก็ดูคนไม่ผิด
ไป๋หลี่ซือซิวพยักหน้า ยิ้มกล่าว “เช่นนี้ก็ถูกแล้ว พวกเราจำเป็นต้องเชื่อมั่นใจตัวนาง ต่อให้พวกเจ้ายินยอมให้ข้าสนับสนุนองค์หญิงหุ่นเชิด แต่ข้าไม่ยินยอมเต้นตามทำนองของพวกเจ้าแน่ หากเป็นแค่หุ่นเชิด หลังจากกอบกู้บ้านเมืองแล้ว ข้ายังต้องคอยเฝ้าดูนางอยู่ในวังทั้งวันทั้งคืน ช่วยนางปกครองบ้านเมือง อย่างนั้นชีวิตตอนไปของข้าคงไร้สีสันน่าดู!”
เซียวเซ่อหยางตะลึงเล็กน้อยมองไป๋หลี่ซือซิว “ความหมายของท่านเสนาบดีคือ…”
“ไม่ผิด หลังจากกอบกู้บ้านเมืองแล้ว ข้าจะถอนตัวเข้าป่าเขา ใช้ชีวิตอิสระเสรี ข้ายามอายุเยาว์มีเลือดลมร้อนระอุ คิดสร้างคุณงามความชอบ แต่ว่าอายุปูนนี้แล้ว ข้ากลายเป็นคนเข้าสู่พระธรรม ยามนี้อยู่ต่อหน้าพวกเจ้า นั่นก็เพราะมีหน้าที่ที่วางไม่ได้เท่านั้นเอง!”
ไป๋หลี่ซือซิวเอ่ยไปก็รู้สึกถอดถอนใจ
โอวหยางเทาถามว่า “เพราะอดีตฮ่องเต้จงเจิ้งมีบุญคุณต่อท่าน?”
“ใช่! ดังนั้นหลังจากบรรลุการใหญ่นี้ ข้าก็ได้ตอบแทนเขาแล้ว ก็สมควรจากไป ข้าไม่คิดยืนอยู่ในจุดสูงสุดของตำแหน่งขุนนาง ภายหน้ามีใจทะเยอทะยานอยากเป็นอ๋อง!” ไป๋หลี่ซือซิวเอ่ยอย่างอิสระ
แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ เซียวเซ่อหยางกลับกังวล “ท่านเสนาบดี รอจนราชสำนักจงเจิ้งฟื้นฟูแล้ว หากท่านไปแล้วใครจะช่วยองค์หญิงปกครองบ้านเมือง หรือว่าให้พวกเรากัน พวกเราเป็นคนท่องยุทธจักร ไม่ถนัดเรื่องพวกนี้!”
“ดังนั้นระยะเวลาสองปีนี้ พวกเจ้าต้องเฟ้นหาอัจฉริยะบุคคล เพื่อเป็นขุนนางให้กับองค์หญิง ข้ารับคนจำนวนมากไว้ในจวนนี้ ภายหน้าก็จะแสดงผลงานให้กับราชสำนักจงเจิ้งที่ทรุดโทรมนี้ ข้าจะพยายามเบิกทางให้องค์หญิงมากที่สุด แต่พวกเจ้าก็ต้องเคารพการตัดสินใจของข้าเช่นกัน
ไป๋หลี่ซือซิวยังคิดยืนหยัดความคิด
เซียวเซ่อหยางในยามนี้ก็ไม่เกลี้ยกล่อมเขาอีก เพียงเอ่ยว่า “ถึงเวลานั้นหากองค์หญิงขาดท่านไป ก็เท่ากับขาดแขนซ้ายขวาแล้ว!”
“ดังนั้น ตอนนี้ต้องไม่ให้นางรับรู้ชั่วคราวก่อน เพื่อกันไม่ให้นางแบ่งแยกความคิดมาโน้มน้าวข้า จนไม่ตั้งใจกอบกู้บ้านเมือง เข้าใจหรือยัง” ไป๋หลี่ซือซิวสั่งการ
เซียวเซ่อหยางพยักหน้า “ท่านเสนาบดีมีความคิดอ่านกว้างไกลนัก! แต่เรื่องงานแต่งขององค์หญิง ท่านเห็นว่าอย่างไร”
เรื่องสำคัญนี้ซือหม่าหรุ่ยเล่าให้พวกเขาฟังแล้ว พวกเขาอยากฟังความเห็นของท่านเสนาบดี
ไป๋หลี่ซือซิวเงียบไปเอ่ยปากว่า “ข้าหวังว่าองค์หญิงจะแต่งกับเป่ยเฉินอี้ เขาจะช่วยเหลือพวกเราในการกอบกู้บ้านเมืองได้มากที่สุด หากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจริงใจกับองค์หญิง ก็ไม่แน่ว่าจะมีประโยชน์ด้อยกว่าเป่ยเฉินอี้ แต่ว่าข้ากลัวว่าองค์หญิงมีความรักต่อเขา ภายหน้าจะทำผิดไป”
“ข้าก็คิดเช่นนี้! ความจริงหากองค์หญิงเลือกเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ไม่แน่ว่าจะมีคนสงสัยในตัวนาง!”โอวหยางเทาเสริมมาประโยคหนึ่ง
ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ฟังข่าวลือมาบ้าง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับองค์หญิงมีสัญญาหมั้นหมาย แต่ภายหลังก็เลิกราโดยไร้สาเหตุ ความในใจทุกคนต่างก็คาดเดาเอาใหญ่ ในเมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ย่อมไม่หวังให้องค์หญิงแต่งงานกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้ว
ไป๋หลี่ซือซิวเงียบไปสักพัก ตอบว่า “ไม่ผิด นี่จะทำให้พวกเรายิ่งลำบาก! พวกเจ้าไปเตรียมตัวสักหน่อย…”