เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] - ตอนที่ 5
ตอนที่ 5 ลูกขอให้เสด็จพ่อส่งเสริมด้วย
ครั้นเอ่ยมาถึงตอนนี้
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่เงียบอยู่นานก็กลับเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งว่า “หวังว่าท่านกับเป่ยเฉินอี้จะรู้จักประมาณตน รู้ว่าพวกท่านต่างก็แก่แล้ว ไม่เหมาะสมกับนาง”
คนทั้งหมด “…?”
ในบรรดาบุรุษที่ดำรงตำแหน่งขุนนางชั้นสูงทั้งหลาย เกรงว่าต่อให้แต่งงานตอนอายุสี่สิบก็เป็นส่วนน้อยที่ถูกตำหนิว่าแก่เกินไป จวินซ่างกับอี้อ๋องยังอายุไม่ถึงสามสิบด้วยซ้ำ ไฉนจากปากขององค์ชายสี่ถึงได้กลายเป็นแก่เกินไปแล้วเล่า
ฮ่องเต้ฟังแล้ว รีบตรัสว่า “ความหมายของเจ้าคือ เจ้าคิดแต่งงานกับเหอซั่วอ๋องแล้วหรือ”
ระหว่างที่ฮ่องเต้ตรัสประโยคนี้ออกมาก็ทรงผ่อนคลายลง พระองค์กลับกลัวเหลือเกินว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะไม่เอ่ยปาก ในเวลานี้เป่ยเฉินอี้ไม่อยู่ที่นี่ หากเยี่ยเม่ยไม่คัดค้าน สุดท้ายงานแต่งงานกำหนดให้เสินเซ่อเทียนไป เช่นนั้นพระองค์ก็รู้สึกว่าโชคร้ายเข้าจริงๆ แล้ว!
เยี่ยเม่ยปวดใจ ครั้นฟังถึงยามนี้ก็ไม่รู้ว่าตนสมควรเอ่ยปากได้หรือยัง
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกวาดตามองนาง ไม่ตอบคำถามฮ่องเต้ น้ำเสียงน่าฟังของเขาค่อยๆ กล่าวว่า “เสด็จอามีคนในดวงใจมานานแล้ว เสด็จพ่อก็บอกเองว่าเยี่ยเม่ยสร้างคุณงามความชอบ ไฉนเสด็จพ่อถึงหักใจให้นางแต่งกับเสด็จอาได้เล่า”
เมื่อเขาเอ่ยออกมา ขุนนางทั้งหลายจะพยักหน้าเห็นด้วยหรือไม่พยักหน้าก็ทำตัวไม่ถูก
ถึงบอกว่าเป่ยเฉินอี้มีคนในดวงใจแล้วก็ไม่นับว่าเหมาะสมกับการแต่งงาน แต่ว่าองค์ชายสี่เองก็หาใช่ตัวเลือกที่น่าเฝ้ารอ ใครต่างก็รู้จักนิสัยไม่ยี่หระต่ออะไรขององค์ชายสี่ ไม่รู้คิดจะแต่งงานกับผู้อื่นจริงๆ หรือคิดทรมานผู้อื่นกันแน่
ในใจขุนนางทั้งหลายกำลังสับสน
ครั้นคิดได้ดังนี้ พวกเขากลับรู้สึกว่าจวินซ่างกลับเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวอย่างน่าประหลาด! ท่านลองคิดดู อี้อ๋องก็มีคนในใจแล้ว องค์ชายสี่ก็พึ่งพาไม่ได้ หากฝ่าบาทมีใจประทานสมรสให้เยี่ยเม่ยจริงๆ ประทานสมรสให้นางกับจวินซ่างถึงเป็นการจัดการที่ดีที่สุด!
คิดไม่ถึงเลยว่า
ครั้นเอ่ยถึงตรงนี้ พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มาแล้ว!
นอกท้องพระโรงเสียงไอโขลกดังเข้ามา คนทั้งหลายต่างคุ้นเคย นั่นคือเสียงของเป่ยเฉินอี้ คนจำนวนไม่น้อยที่เคยสนับสนุนเป่ยเฉินอี้ หรือคนที่ชื่นชมเลื่อมใสเป่ยเฉินอี้ อดมองไปที่ประตูด้วยน้ำตาคลอเบ้าไม่ได้
สี่ปีแล้ว
สี่ปีแล้วที่พวกเขาไม่ได้พบอี้อ๋อง!
อี้อ๋องเอาแต่เก็บตัวอยู่ในจวน เขาถูกฝ่าบาทกักบริเวณ หลังจากออกมาคราวนี้ก็มุ่งตรงไปยังชายแดน คนทั้งหลายได้แค่คิดถึงเขาอยู่ในใจ
เมื่อเห็นอี้อ๋องเดินเข้ามา
ขุนนางจำนวนไม่น้อย รวมถึงฮ่องเต้ล้วนอยู่ในอารามตกตะลึง
หลังจากเป่ยเฉินอี้เดินเข้ามา ก็คุกเข่าลง “คารวะเสด็จพี่!”
ฮ่องเต้หัวใจสั่นสะท้าน ไม่อาจสงบได้อยู่ครู่หนึ่ง มองเป่ยเฉินอี้สักพักจากนั้นค่อยเอ่ยปากว่า “ลุกขึ้นเถิด!”
“ขอบพระทัยเสด็จพี่!”
เป่ยเฉินอี้ตอบรับด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ก็ลุกขึ้น
เขาสวมชุดนอกสีดำแสดงออกถึงความสูงศักดิ์ รัดเกล้าสีทองยิ่งขับความองอาจเกินใครของเขา รัศมีราวราชาทั่วสรรพางค์กาย อี้อ๋องดูเหมือนฮ่องเต้มากเสียยิ่งกว่าฝ่าบาทจริงๆ มิน่าฮ่องเต้ถึงกักบริเวณเขา
คนจำนวนไม่น้อยต่างคิดเช่นนี้ในใจ
ยามนี้เสนาบดีทนไม่ไหว ถามว่า “อี้อ๋อง ขาของท่านหายแล้วอย่างนั้นหรือ”
เป่ยเฉินอี้ปรายตามองเขา น้ำเสียงเสนาะหู ฟังแล้วมีแต่ทำให้คนรู้สึกล้ำลึกเกินหยั่งคาดเอ่ยว่า “ไม่ผิด หายแล้ว ทำไมท่านเสนาบดีถามเช่นนี้ รู้สึกดีใจแทนข้า หรือว่าเสียใจกัน!”
น้ำเสียงของเขาไม่แข็งมาก แต่ว่าเสนาบดีกลับเกิดความหวาดกลัว รีบส่ายหน้าเอ่ยตอบอย่างว่องไว “อี้อ๋องคิดมากไปแล้ว ข้าจะเสียใจได้อย่างไร ข้าดีใจแทนท่านยังแทบไม่ทันเลย!”
ความอันตรายของเป่ยเฉินอี้ไม่ด้อยกว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเลย
ต่อให้เป็นซือถูจ้าว ก็ไม่กล้าล่วงเกินคนผู้นี้! ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่นเลย แค่ว่าไม่รู้วันใดเป่ยเฉินอี้พลันสืบทอดตำแหน่งฮ่องเต้ กลายเป็นนายเหนือหัวแล้ว เรื่องนี้ใครก็ไม่กล้ารับประกันทั้งนั้น ซือถูจ้าวไม่โง่ถึงขั้นล่วงเกินเขา
เป่ยเฉินอี้ถอนสายตากลับ ไม่มองเขาอีก
กลับมองไปที่เยี่ยเม่ย เยี่ยเม่ยเองก็หันสบตาเขาโดยไม่ปิดบัง ในสายตานางมีทั้งแววเตือน ป้องกัน ทั้งยังมีความแค้นฝังอยู่เบื้องลึก
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้เป่ยเฉินอี้เหมือนถูกทิ่มแทงใจ
แต่ความเจ็บปวดในใจนั้น เขาไม่อาจเอ่ยออกมาสักคำเดียว ทว่าภายใต้สายตาเช่นนี้ของนาง เขาเชื่อแล้วว่า นางคืออาซีจริงๆ!
หากนางเป็นแค่เยี่ยเม่ย จะไม่มีความแค้นต่อเขาถึงขั้นนี้!
หลังจากเก็บงำแววตา เขาก็หันกลับไปมองฮ่องเต้
ในใจเยี่ยเม่ยเริ่มตื่นเต้นกังวลว่า เป่ยเฉินอี้จะฟ้องร้องนาง ถึงแม้นางมอบหน้ากากผีออกไปแล้ว นางมั่นใจถึงเก้าส่วนว่าเขาจะปล่อยนาง แต่ว่ายามนี้เขาพลันปรากฏตัว นางรู้สึกกังวลอยู่บ้าง
ไม่ช้า นางก็ตระหนักได้ว่าตนเองกังวลเกินไป
เป่ยเฉินอี้หาได้มาฟ้องร้องนาง แต่สาเหตุที่เขามากลับทำให้นางยิ่งตื่นเต้นขึ้นไปอีก เขามองฮ่องเต้เอ่ยว่า “เสด็จพี่ ก่อนข้าเข้าวังมา ได้สั่งให้คนย้ายคนที่ถูกฝังอยู่ในจวนออกไปที่อื่นแล้ว ช่วงเวลาที่อยู่ชายแดน ข้าชื่นชมแม่นางเยี่ยเม่ยมาก ยินยอมแต่งงานกับนาง ขอให้เสด็จพี่ช่วยส่งเสริมด้วย!”
ยามเขากล่าวประโยคนี้คล้ายกับสายฟ้าฟาดลงมา
คนทั้งหลายเห็นอี้อ๋องที่พิการมานานหลายปี พลันปรากฏกายอย่างแข็งแรงที่นี่ก็ตระหนกมากพอแล้ว ยามนี้อี้อ๋องยังออกมาบอกว่าย้ายศพจงเจิ้งซีออกจากจวนไปแล้วด้วยหรือ
คนทั้งหลายต่างไม่อยากเชื่อ จากท่าทีของอี้อ๋องในกาลก่อน จงเจิ้งซีผู้นั้นคือคนที่เขารักอยู่ในใจ ต่อให้ตาย เขาก็ไม่ยอมห่างจากนางสักครึ่งก้าว
ใครต่างก็ไม่ลืมว่า ตอนที่ค้นหาศพจงเจิ้งซี รู้ทั้งรู้ว่าแม่น้ำมีพิษ อี้อ๋องยังกระโดดลงไปโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
คนทั้งหมดไม่อาจลืม ท่าทางกระอักเลือดด้วยหัวใจแตกสลายของอี้อ๋องในปีนั้น คราวนี้อี้อ๋องปล่อยวางได้แล้ว คนทั้งหมดต่างรู้สึกว่าน่าเหลือเชื่อเกินไป
ความรู้สึกเช่นนี้บอกว่าปล่อยวางได้ก็ปล่อยวางอย่างนั้นหรือ
แต่ว่าเมื่อพูดแล้ว เวลาผ่านไปนานสี่ปีใครก็สมควรเดินออกมาได้แล้ว ด้วยฐานะอย่างอี้อ๋อง ก็ไม่ควรทรมานตัวเองเพื่อคนที่จากไปแล้วกระมัง อีกอย่างแม่นางเยี่ยเม่ยก็เพียบพร้อมออกขนาดนี้…
ทุกคนคิดแล้วก็รีบหาเหตุผลอธิบายให้กับเป่ยเฉินอี้
ฮ่องเต้ทรงจ้องเป่ยเฉินอี้ น้ำเสียงทรงอำนาจดังขึ้นว่า “เจ้าอยากแต่งกับนางจริงหรือ”
ฮ่องเต้ไม่แปลกใจเลยสักนิด พระองค์รู้อยู่ก่อนแล้วว่าเยี่ยเม่ยมีใบหน้าเหมือนจงเจิ้งซีไม่ผิดเพี้ยน รู้สึกว่า เป่ยเฉินอี้ก็แค่หาตัวแทนเท่านั้น ดังนั้นพระองค์จึงไม่ร้อนใจ
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ! ขอให้เสด็จพี่ส่งเสริมด้วย!”
เป่ยเฉินอี้ประสานมืออีกครั้ง เอ่ยความยินยอมของตัวเองอีกครั้ง
เขาพลาดอาซีไปครั้งหนึ่งแล้ว จะไม่ปล่อยเป็นครั้งที่สองอีก! ยิ่งไม่อาจส่งนางให้ผู้อื่น
ส่วนในเวลานี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่นับตั้งแต่ออกมาจากตำหนักเขาหลิงซานก็ไม่เคยคุกเข่าอีก ก็สะบัดชายเสื้อคุกเข่าลงต่อหน้าพระพักตร์ “ลูกขอให้เสด็จพ่อส่งเสริมด้วย!”